ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 183 แผนการที่ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้านานแล้ว
เมื่อทั้งสองคนต่างครุ่นคิดถึงทางเลือกอื่น ก็พลันได้ยินเสียงครืนดังมาจากด้านใน! หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงการผันผวนรุนแรงของพลังวิญญาณ
โม่เทียนเกอและเจียงซั่งหังหันมองหน้ากัน ช่างเป็นการผันผวนของพลังวิญญาณที่รุนแรงนัก… เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ
เสี้ยววินาทีต่อมา ลมปราณที่อัดแน่นอยู่เต็มโถงเทพมังกรเกิดการผันแปรอย่างรุนแรงในทันทีและพุ่งสู่ทางด้านหลังเหมือนมีสติเป็นของตัวเอง ปรากฏการณ์นี้เริ่มต้นขึ้นอย่างช้าๆ ในตอนแรก พวกเขาเพียงแค่รู้สึกว่าลมปราณเทพมังกรไหลอย่างช้าๆ ไปทางรูปปั้นเทพมังกรแต่ในตอนหลังมันไหลเร็วขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งว่ามีบางสิ่งบางอย่างดูดซับมันเข้าไปก็ไม่ปาน!
ความประหลาดใจของพวกเขามีมากยิ่งขึ้น พวกเขามั่นใจว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน แต่พวกเขาก็ต่างไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร
จุดสิ้นสุดของทางเดินหินที่แสนยาวเป็นวิหารหลักซึ่งมีรูปปั้นเทพมังกรตั้งบูชาอยู่ และก็ไม่มีทางเดินอื่นอีก สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม จะต้องเกิดอยู่ทางด้านหลังของโถงเทพมังกรอย่างแน่นอน แต่แรงกดดันของลมปราณเทพมังกรนั้นรุนแรงเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถแผ่จิตสัมผัสลึกเข้าไปในวิหารเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ปัจจุบัน พวกเขาอาจต้องเผชิญกับอันตรายได้หากเข้าไป
พวกเขายังไม่ทันได้คิดไปมากกว่านี้ ก็ได้ยินเสียงครืนดังสนั่นซึ่งฟังเสมือนเป็นเสียงประตูหินเปิดออกซึ่งมาจากส่วนลึกของวิหาร หลังจากนั้นไม่นาน เสียงที่วุ่นวายของฝีเท้าจำนวนมากปนกับเสียงตะโกนที่ดังออกมา “เร็ว! รีบไปเร็ว!”
เสียงนี้…
ทั้งสองคนมองไปยังที่มาของเสียงในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เห็นผู้คนกำลังวิ่งออกมาจากห้องโถงอย่างร้อนรน
“ศิษย์น้องถัง!”
“ศิษย์พี่เจียง!”
สายตาเจียงซั่งหังและถังฟังสบกันพอดี ทั้งสองคนต่างตะลึงงัน เสี้ยววินาทีต่อมา ถังฟังวิ่งไปด้านหน้า ดึงมือของเจียงซั่งหังและวิ่งต่อไปยังทางออก “ศิษย์พี่เจียง วิ่งเร็ว!”
โม่เทียนเกอเบนสายตาไปยังผู้คนด้านหน้านาง ผู้ฝึกตนของสำนักเจิ้งฝ่าต่างวิ่งออกมาจากจุดลึกสุดของโถงเทพมังกร แต่มีเพียงแค่สี่คนเท่านั้นคือ ถังฟัง อวิ๋เซี่ยวหราน ชิวจื้อหมิง และซย่าโหวย่วน
ทั้งสี่คนดูซีดเซียวและสับสนอย่างมาก และอวิ๋เซี่ยวหรานก็บาดเจ็บ! สำหรับคนอื่นนอกเหนือไปจากสี่คนนี้นั้นไม่มีใครอีกแล้ว
ทันทีหลังจากที่ทั้งสี่คนออกมา ถังฟังรีบดึงเจียงซั่งหังและวิ่งไปยังทางออกด้วยแรงของเขาทั้งหมด ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงต้องวิ่งตามพวกเขาไปด้วย ผู้ฝึกตนแห่งสำนักเจิ้งฝ่าเหล่านี้คล่องแคล่วรวดเร็วยิ่งนักเมื่อพวกเขาใช้วิชาหลบลี้หนีน้ำ แม้กระทั่งโม่เทียนเกอที่ใส่รองเท้าย่ำเมฆาอยู่ก็ยังยากที่จะตามพวกเขาให้ทัน
“ศิษย์น้องถัง เกิดอะไรขึ้น แล้วศิษย์พี่เริ่นกับคนอื่นๆ เล่า พวกเราวิ่งหนีกันทำไม มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ” เจียงซั่งหังถามพวกเขาขณะที่วิ่งหนีไปด้วย
ถังฟังพูดขณะที่หายใจหอบ “ศิษย์พี่เริ่น… ศิษย์พี่เริ่น…”
ก่อนที่ถังฟังจะพูดอะไรได้อีก ชิวจื้อหมิงตะโกนออกมาด้วยความโมโห “เจ้ายังจะเรียกเขาว่า ‘ศิษย์พี่เริ่น’ เพื่ออะไร! เขาวางแผนหักหลังพวกเราตั้งแต่แรกแล้ว!”
เจียงซั่งหังตกใจ “เกิดอะไรขึ้น นี่ศิษย์พี่เริ่นก็… กับเจ้า…”
ชิวจื้อหมิงผู้ซึ่งประคองอวิ๋เซี่ยวหรานที่บาดเจ็บอยู่ชี้ไปยังบาดแผลบนหน้าอกของอวิ๋เซี่ยวหราน “นี่คือสิ่งที่ศิษย์พี่เริ่นทำ มันไม่มีสมบัติหรืออะไรก็ตามที่นี่ เขาหลอกใช้พวกเราให้เข้ามาที่ตำหนักใต้บาดาลนี้เพื่อที่เขาจะสืบทอดลมปราณเทพมังกรหลังจากนั้นก็วางแผนที่จะกำจัดพวกเราเพื่อเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ!”
“อะไรนะ” เจียงซั่งหังตะลึงงัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเดาถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่เขาก็ไม่คิดว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้จริง! เขาไม่เคยคาดคิดว่าศิษย์พี่เริ่นจะมีเจตนาเช่นนี้! “เขาอยากจะตายอย่างนั้นหรือ แม้กระทั่งปรมาจารย์จิตวิญญาณใหม่ของพวกเรายังไม่กล้าที่จะยุ่งกับลมปราณเทพมังกรแม้แต่น้อย แล้วนี่เขายังจะ…”
คนที่พูดแทรกเขาคือซย่าโหวย่วน นางพูดออกมาด้วยความโกรธเคือง “ความจริงแล้ว เขาได้รับวิชาลับจากที่นี่เมื่อครั้งที่แล้ว วิชานั้นทำให้เขาสามารถใช้ลมปราณของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จากยุคโบราณเพื่อเปลี่ยนร่างกายของเขาให้เป็นร่างที่สามารถครอบครองมรดกสืบทอดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้ หลังจากที่ได้รับวิชาลับนั้นมา เขาก็ได้วางแผนเตรียมการอย่างดีแล้วใช้พวกเราเพื่อเข้ามาที่ตำหนักใต้บาดาลนี้พร้อมเจตนาที่จะฆ่าปิดปากพวกเราเมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จ!”
โม่เทียนเกอไม่ได้ตกใจแม้แต่น้อยเมื่อได้ยินสิ่งนั้น นางและเจียงซั่งหังได้พูดคุยถึงเรื่องนี้มากันก่อนแล้ว เริ่นอวี่เฟิงคงจะได้รับวิชาลับบางอย่างมาดังนั้นเขาจึงกล้าที่จะอยากได้ลมปราณเทพมังกร สิ่งที่ซย่าโหวย่วนพูดนั้นจึงเป็นเพียงแค่การยืนยันการคาดเดาของพวกเขาเท่านั้น
“และศิษย์พี่ลู่กับคนอื่นๆ ล่ะ”
สีหน้าของถังฟังหดหู่ในทันที “พลังวิญญาณของศิษย์พี่ลู่และศิษย์พี่เซี่ยงนั้นถูกใช้ไปจนหมด และพวกเขาต่างก็ยังบาดเจ็บจากปีศาจปลาไนน้ำตอนที่พวกเขาควบคุมม่านพลังอีก พวกเขาไม่สามารถหนีได้พ้น ดังนั้นจึงถูกศิษย์พี่เริ่นฆ่าเป็นกลุ่มแรก ศิษย์พี่ไอเช่นกัน… ศิษย์พี่ไอนั้นมักจะใกล้ชิดกับศิษย์พี่เริ่นเสมอ แต่เขาก็ฆ่านางไปด้วย…”
“ถ้าเช่นนั้นสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร” เมื่อเจียงซั่งหังได้ยินเรื่องราวทั้งหมด เขาหันหลังกลับไปมองว่าเริ่นอวี่เฟิงไล่ตามพวกเขามาหรือไม่ “ศิษย์พี่เริ่นอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว และเขายังมีอายุขัยอีกกว่าร้อยปีเหลืออยู่ เขาจะต้องมุ่งหวังที่จะก่อแก่นขุมพลังเป็นแน่ ทำไมเขาถึงอยากจะทำเรื่องเหล่านี้กัน!”
“ใครจะรู้” ชิวจื้อหมิงพูดอย่างเย็นชา “ข้าถูกทำให้สับสนตั้งแต่แรกว่าทำไมเขาจึงไม่ขอให้ผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานที่เขาสนิทด้วยให้มาช่วยเขา ทำไมเขาถึงมาขอให้พวกเรามาแทน ในตอนแรกข้าก็คิดแค่ว่าเขาคงต้องการเป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในกลุ่ม ดังนั้นข้าจึงไม่รู้เลยว่าความจริงแล้วเขามีแผนการเช่นนี้!”
ความแตกต่างระหว่างขั้นสุดท้ายกับขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานนั้นค่อนข้างมาก ย้อนกลับไปในช่วงการจลาจลของสัตว์ปีศาจ ความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงและศิษย์สำนักกู่เจี้ยนบนสันเขาเฉียนเหมินแห่งภูเขาเทียนหั่ว มันเป็นเพราะค่วงจู๋ ผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของการสร้างฐานแห่งพลังงานอยู่ที่นั่น ศิษย์สำนักกู่เจี้ยนจึงไม่กล้าที่จะทำตัวบุ่มบ่าม ในภายหลังวั่นหงอันซึ่งมีเจตนาไม่ดีแอบแฝงและกระตุ้นคนอื่นให้เตรียมใช้ม่านพลังกระบี่ ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายต่างปะทะกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อค่วงจู๋เข้ามาแทรกแซง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี และพวกเขาก็ได้รับชัยชนะมาอยู่ในกำมือ
เริ่นอวี่เฟิงอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน นอกเหนือไปจากเขา ลู่ เซี่ยง และโม่เทียนเกอนั้นอยู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ขณะที่หกคนที่เหลือนั้นอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ผู้ฝึกตนขั้นกลางของการสร้างฐานแห่งพลังงานสามคนสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานได้ถ้าร่วมมือกัน แต่ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นต้นหกคน ในทางกลับกันนั้นไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะเอาชนะผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้ายได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อตัดสินจากสถานการณ์ของพวกเขาในปัจจุบัน เริ่นอวี่เฟิงนั้นได้วางแผนทั้งหมดมาเป็นอย่างดี สำหรับผู้ฝึกตนขั้นกลางของการสร้างฐานแห่งพลังงานสามคน ในตอนแรกเขาใช้ให้ลู่หรงเซิงและเซี่ยงจือหยางเป็นคนคอยดูแลม่านพลัง ทั้งสองคนก็หมดอำนาจไป เมื่อพวกเขาจำเป็นที่จะต้องเปิดกำแพงอาคมรอบๆ อนุสาวรีย์เทพมังกร เขาก็วางแผนต่อต้านโม่เทียนเกอ ดังนั้นผู้ฝึกตนขั้นกลางของการสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งสามคนจึงไม่มีกำลังที่จะไปต่อต้านเขา ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นต้นหกคนที่เหลืออยู่ก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้ ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปสู่อนุสาวรีย์เทพมังกรในตำหนักใต้บาดาล เขาจึงลงมือ!
โม่เทียนเกอเยาะเย้ยอยู่ลึกภายในใจ นางไม่มีความเห็นใจแม้แต่น้อยให้กับผู้ฝึกตนสำนักเจิ้งฝ่ากลุ่มนี้ เพราะย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เริ่นอวี่เฟิงหักหลังนาง พวกเขาทุกคนก็เพียงแค่กอดอกยืนดู อย่างไรก็ตามพวกเขาต่างก็ตกเป็นเหยื่อของเริ่นอวี่เฟิงตอนนี้ ดังนั้นนางจึงสามารถร่วมมือกับพวกเขาได้
“ศิษย์พี่เจียง” โม่เทียนเกอส่งกระแสจิตของนางให้เจียงซั่งหัง “ลองถามพวกเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน เริ่นอวี่เฟิงเป็นอย่างไรบ้างในตอนนี้”
เจียงซั่งหังพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อตอบรับและทำการถามคนอื่น “ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ศิษย์พี่เริ่นเป็นอย่างไร เขาครอบครองลมปราณเทพมังกรแล้วหรือยัง พวกเราจะสามารถหนีได้ไหม”
“พวกเราก็ไม่รู้” คนที่ตอบในครั้งนี้คือชิวจื้อหมิงอีกครั้ง “พวกเราตามเขาเข้าไปที่ตำหนักใต้บาดาล หลังจากนั้นก็เข้าไปที่ห้องโถงเทพมังกรมาตลอดทาง จนสุดท้ายพวกเราก็เข้าไปจนถึงแท่นบูชากระดูกมังกรซึ่งเป็นที่ที่พวกเราเห็นโครงกระดูกมังกรที่นั่น ตอนนั้นเริ่นอวี่เฟิงก็เริ่มหัวเราะเหมือนคนบ้า เขาพูดว่าในที่สุดเขาก็ได้เห็นกระดูกมังกร เขาต้องการที่จะครอบครองลมปราณเทพมังกรและเปลี่ยนเป็นลูกของเทพมังกร หลังจากนั้น ข้าไม่รู้ว่าเขาใช้วิชาลับอะไร ลมปราณเทพมังกรที่กระดูกมังกรก็วิ่งเข้าหาเขา ศิษย์พี่ลู่ตกใจมากดังนั้นจึงถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น เริ่นอวี่เฟิงพูดอย่างภูมิใจว่าตอนที่เขาเข้ามาที่ตำหนักใต้บาดาลนี้ด้วยตัวเองครั้งก่อน เขาได้ครอบครองแผ่นบันทึกหินด้านนอกโถงเทพมังกร และในแผ่นบันทึกนั้น เขาก็ได้เห็นภาพวาดเกี่ยวกับการสืบทอดลมปราณเทพมังกร เขารู้สึกต้องการมัน เวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ในที่สุดเขาก็เข้าใจภาพวาดนั้น ดังนั้นเขาจึงชวนพวกเรามาเพื่อช่วยให้เขาเข้ามาถึงที่โถงเทพมังกรอีกครั้ง เพื่อที่เขาจะนำวิชาลับของเทพมังกรออกไป!”
โม่เทียนเกอและเจียงซั่งหังหันมองหน้ากัน ความจริงแล้ว พวกเขาได้คาดเดาคร่าวๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ แต่พวกเขาไม่คิดว่าการกระทำของเริ่นอวี่เฟิงจะเป็นขนาดนี้ เขาพาพวกเขาเข้ามาข้างในเพียงเพื่อที่จะปิดปากพวกเขาทุกคน!
แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น นั่นก็หมายความว่าลมปราณเทพมังกรคือลมปราณเทพมังกรจริงๆ อย่างนั้นหรือ มันมีแม้กระทั่งโครงกระดูกมังกรอยู่ด้านใน นั่นหมายความว่ามังกรมีอยู่จริง เจ้าแห่งสัตว์วิเศษในตำนาน… ผู้ซึ่งมีชาติพันธุ์ใกล้เคียงกับพระเจ้า… ลมปราณที่ทิ้งไว้เบื้องหลังนั้นก็ทรงพลังมากแล้ว ถ้าเช่นนั้นมังกรที่แท้จริงจะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน ยิ่งไปกว่านั้น แล้ววิหารบูชายัญเกี่ยวข้องกับอะไร หรือว่านี่อาจเป็นสถานที่ฝังศพของมังกรโบราณ
ชิวจื้อหมิงพูดต่อไป “ศิษย์พี่ลู่ถามอย่างตำหนิว่าเขาหลอกใช้พวกเราหรือไม่ แต่เริ่นอวี่เฟิงก็โกรธจนไร้ซึ่งสติและบอกว่าเขาจะสืบทอดลมปราณเทพมังกร เขาบอกว่าเขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว และเขากำลังจะกลายเป็นทายาทสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเขาจึงโกรธที่ศิษย์พี่ลู่กล้าพูดเช่นนั้นกับเขา หลังจากนั้น… หลังจากนั้นเขาก็ฆ่าศิษย์พี่ลู่…” เมื่อถึงจุดนี้สายตาของชิวจื้อหมิงโกรธจัด “พวกเราตกใจกันเป็นอย่างมากเมื่อเขาฆ่าศิษย์พี่ลู่ ศิษย์น้องไอและศิษย์พี่เซี่ยงถามเขาว่าทำไมเขาถึงอยากจะทำร้ายสหายศิษย์ของเขาด้วย เขา… เขาจึงฆ่าทั้งศิษย์น้องไอและศิษย์พี่เซี่ยงทันที!”
หลังจากที่ฟังมาถึงจุดนี้ ทั้งโม่เทียนเกอและเจียงซั่งหังมองกันอย่างมีนัยยะ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเริ่นอวี่เฟิงผู้นี้ได้เสียสติไปเสียแล้ว เขาแสดงให้เห็นถึงการไร้ซึ่งความปรานีแม้กระทั่งต่อสหายศิษย์ของเขาเอง!
ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนมักจะสนใจแต่ตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาคือผู้ที่อยู่บนเส้นทางของฝ่ายธรรมะ ศิษย์จากโรงเรียนแห่งเต๋า ในโรงเรียนของพวกเขามีกฎที่ควบคุมพวกเขาอยู่ พวกเขาจะต้องไม่ทำร้ายสหายศิษย์ด้วยกันเอง อย่างไรก็ตาม เริ่นอวี่เฟิงนั้นละทิ้งซึ่งกฎของโรงเรียน! นั่นเป็นเพราะหลังจากที่เขาครอบครองลมปราณเทพมังกรแล้ว เขาไม่ได้วางแผนที่จะอยู่ที่สำนักเจิ้งฝ่าต่อไปแล้วใช่หรือไม่ หรือเขาอาจจะแค่มั่นใจว่าพวกเขาจะไม่มีทางหนีจากเขาพ้น
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นั้นทำให้สันหลังของโม่เทียนเกอเย็นวาบ
ถ้าเป็นเริ่นอวี่เฟิงก่อนหน้านี้ นางก็ยังคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาในการเอาชนะเขาซึ่งเป็นผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของการสร้างฐานแห่งพลังงานเมื่อต่อสู้ด้วยสมบัติที่นางมีอยู่ อย่างไรก็ตาม เริ่นอวี่เฟิงผู้ซึ่งกล่าวกันว่าได้ครอบครองลมปราณเทพมังกรจะแข็งแกร่งขนาดไหนในตอนนี้ นางไม่มีคำตอบแม้แต่น้อย
คำถามต่อไปที่เจียงซั่งหังถามนั้นตรงกับสิ่งที่โม่เทียนเกอต้องการจะรู้พอดี “ศิษย์พี่เริ่นแข็งแกร่งขึ้นมากเลยหรือในตอนนี้”
ชิวจื้อหมิงนิ่งเงียบ ครั้งนี้ถังฟังเป็นคนตอบ “ศิษย์พี่เริ่นน่ากลัวมากในตอนนี้ หลังจากที่ฆ่าศิษย์พี่ลู่ ศิษย์พี่เซี่ยง และศิษย์พี่ไอ พวกเราก็รู้ตัวว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้วเพราะเขาแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเคย ดังนั้นพวกเราจึงรีบหนีในทันที ดูเหมือนกับว่าศิษย์พี่เริ่นอยากจะไล่ตามพวกเรามา แต่เขายังทำการกลืนกินลมปราณเทพมังกรไม่สำเร็จ ดังนั้นเขาจึงหยุดไล่ตาม พวกเราไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหน แต่เมื่อนึกถึงความน่าเกรงขามของลมปราณเทพมังกรแล้ว เขาไม่ได้อ่อนแออย่างแน่นอน!”
สิ่งที่ถังฟังพูดทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกได้ในทันทีว่าสถานการณ์ของพวกนางนั้นเลวร้ายสุดๆ เริ่นอวี่เฟิงมีวิธีในการดูดกลืนลมปราณเทพมังกรจริงๆ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าลมปราณเทพมังกรนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน ถ้าเริ่นอวี่เฟิงรอดชีวิตจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในการครอบครองพลังน่าเกรงขามนั้น เขาจะแข็งแกร่งแค่ไหนกัน ถึงแม้ว่าการที่จะก้าวสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่โดยตรงนั้นจะเป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นไปได้สำหรับเริ่นอวี่เฟิงในการที่จะก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ในทันทีหลังจากที่ครอบครองลมปราณเทพมังกร! ”
โม่เทียนเกอเชื่อว่านางสามารถต่อกรกับสัตว์ปีศาจระดับห้าได้ และหากจะแย่ไปกว่านั้น นางก็สามารถหนีเข้าไปยังโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนได้ กระนั้นก็ตาม นางไม่มีทางต่อสู้กับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังแน่นอน! มนุษย์ครอบครองความฉลาดในขณะที่สัตว์ปีศาจนั้นไม่มี ในการต่อสู้ที่ทั้งสองฝ่ายต่างเฉลียวฉลาดพอๆ กัน ความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะตัดสินถึงผลลัพธ์ ไม่ว่านางจะมีสมบัติติดตัวมากแค่ไหน มันก็ไร้ประโยชน์ และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลัง ไม่ว่าจะด้วยกลยุทธ์ใดก็ไร้ประโยชน์
กลไกการในสมองของนางทำงานอย่างเต็มกำลัง นางวางแผนในการที่จะหลบหนีจากเรื่องนี้แล้ว ทางที่ง่ายที่สุดคือการเข้าไปยังโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน แต่นางจะทำอย่างไรไม่ให้คนเหล่านี้จับได้ อีกอย่าง ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้ห่วงคนอื่นๆ แต่อย่างน้อยนางก็อยากจะช่วยเจียงซั่งหัง