ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 184 แยกกันเพื่อหนี
ทั้งหกคนยังคงวิ่งหนีอย่างลนลาน ทว่าตำหนักใต้บาดาลนี้กว้างขวางเกินไป ในเมื่อพวกเขาใช้เวลาประมาณครึ่งวันในการเข้ามา แล้วจะออกไปได้ทันทีได้อย่างไรกัน
ขณะที่พวกเขาวิ่ง ลมปราณเทพมังกรทั้งหมดในตำหนักใต้บาดาลพุ่งอย่างบ้าคลั่งไปในทางของโถงเทพมังกร
โม่เทียนเกอรีบมองกลับไปโดยเร็ว ทางเดินมืดเงียบสงัดและแหล่งเดียวของแสงริบหรี่มาจากแสงอ่อนๆ ของหินจันทราที่พวกเขาถืออยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ในความเงียบสงัดนี้มีแรงกดดันบางอย่างที่ทำให้นางตัวสั่นไปด้วยความกลัว
ขณะที่ลมปราณเทพมังกรค่อยๆ จางไป แรงกดดันที่มันส่งมาก็เบาบางลงด้วย ทั้งๆ ที่เป็นอย่างนั้นแต่พวกเขาทั้งหกคนยิ่งรู้สึกกลัวเพราะลมปราณเทพมังกรที่จางหายไปที่จริงแล้วกำลังสะสมเพิ่มขึ้นในร่างของคนคนหนึ่ง และพวกเขาก็ไม่รู้เลยว่าคนคนนั้นจะลงเอยอย่างไรหลังจากเขาซึมซับลมปราณเทพมังกรทั้งหมดเข้าไป
ระหว่างการหนี จู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงคำรามดังกึกก้องซึ่งส่งเป็นคลื่นผ่านน้ำและสั่นสะเทือนไปทั้งตำหนักใต้บาดาล
ทั้งหกคนล้วนมีสีหน้าเปลี่ยนไป เสียงคำรามนั้นทุ้มต่ำและพวกเขาได้ยินไม่ชัดเจน แต่รับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ที่มันนำพามา อานุภาพของเทพมังกร… เป็นไปได้หรือไม่ว่าเริ่นอวี่เฟิงทำสำเร็จเข้าจริงๆ !
“ศิษย์พี่…” ถังฟังร้องเรียก สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเป็นบูดเบี้ยวน่าเกลียด “เราควรทำอย่างไรกันดี”
สีหน้าขมขื่นปรากฏบนใบหน้าชิวจื้อหมิง “วิ่งหนี! เราทำได้แค่วิ่งหนีไม่คิดชีวิตให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และหวังว่าเริ่นอวี่เฟิงจะยังทำอะไรก็ตามที่เขาทำอยู่ไม่เสร็จตอนนี้ เราต้องรีบวิ่งกลับไปที่สำนักและรายงานเรื่องนี้…” จากนั้นเขามองอวิ๋เซี่ยวหรานคนที่เขาลากและดึงมาด้วยพร้อมกับดูทุกข์ใจอย่างสุดซึ้ง “อาการบาดเจ็บของศิษย์น้องอวี๋หนักหนาเกินไป ข้า… ข้าจะพาเขาไปกับข้า พวกเจ้าควรต่างคนต่างทำอะไรที่ทำได้ วิ่งหนีเอาชีวิตรอดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!”
“ศิษย์พี่ซิว!” ถังฟังหน้าซีดเผือด “ท่านหมายความว่า…”
“พวกเราบางคนต้องหนีให้สำเร็จและรายงานกลับไปที่สำนัก หรือไม่เราทั้งหมดก็จะต้องถูกฝังอยู่ด้วยกันที่นี่!”
“ศิษย์พี่ซิวพูดถูก” ซย่าโหวย่วนพูดพร้อมกับสายตาขึงขัง “ศิษย์น้องถัง! เลิกงอแงได้แล้ว! สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องปกป้องตัวเองในตอนนี้!”
สายตาถังฟังหรี่ลงแต่สุดท้ายเขาก็กัดฟันและพยักหน้า “ก็ได้ งั้นวิ่งไปคนละทางเถอะ ใครก็ตามที่สามารถหนีได้ต้องกลับไปที่สำนักและแจ้งเรื่องนี้ ถ้าเราหนีไม่ได้ งั้นก็…”
“ก็หมายความว่าเราดวงซวย” เจียงซั่งหังกล่าว สีหน้าเขาแสดงให้เห็นความมุ่งมั่น “เมื่อเราออกจากตำหนักใต้บาดาลนี้ไปได้ เราจะแยกกันและวิ่งหนี โอกาสทำสำเร็จของเราจะสูงกว่าการที่เราหนีออกไปด้วยกัน”
นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว
โม่เทียนเกอกำลังฟังบทสนทนาของพวกเขาเงียบๆ พวกเขาทุกคนเป็นศิษย์สำนักเจิ้งฝ่า จึงยังมีความรักใคร่ต่อกันอยู่บ้าง เช่นชิวจื้อหมิงที่ยินดีจะพาอวิ๋เซี่ยวหรานหนีไปพร้อมกับเขาด้วย ถึงแม้การทำเช่นนั้นจะถ่วงให้เขาช้าลงมาก แต่นางไม่ใช่ศิษย์สำนักเจิ้งฝ่า สำหรับนางแล้ว พวกเขาก็เป็นแค่คนแปลกหน้าที่โชคชะตานำพาให้มาอยู่ด้วยกัน ดังนั้นนางจึงต้องดูแลตัวเอง
“ศิษย์น้องเยี่ย…” เจียงซั่งหังมองนางด้วยความลังเล “เจ้า…”
โม่เทียนเกอรู้ว่านางคงไม่สามารถตามวิชาหลบลี้หนีน้ำของผู้ฝึกตนสำนักเจิ้งฝ่าทันเมื่ออยู่ใต้น้ำ นางแค่สามารถตามพวกเขามาได้ตอนนี้เพราะพลังแสนพิเศษของรองเท้าย่ำเมฆาและเพราะอวิ๋เซี่ยวหรานบาดเจ็บจึงทำให้ความเร็วของพวกเขาช้าลง
“วางใจเถอะศิษย์พี่เจียง” โม่เทียนเกอพูดแผ่วเบา “ถึงแม้วิชาหลบหนีของข้าจะไม่ดีนัก แต่ข้าก็ยังพอมีวิธีในการปกป้องชีวิตของข้า”
ตอนแรกนางวางแผนหาโอกาสทำให้เจียงซั่งหังสลบและพาเขาเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนกับนาง นั่นอาจถือได้ว่าเป็นการตอบแทนสำหรับมิตรภาพที่เขามีต่อนางด้วยการยอมถูกทิ้งอยู่ข้างหลังเพื่อปกป้องนางตอนก่อนหน้านี้ ทว่าในเมื่อพวกเขามีแผนสำรองแล้วในตอนนี้ นางก็ไม่จำเป็นต้องใช้แผนของนางต่อ ท้ายที่สุดแล้วถึงแม้นางจะไว้ใจเจียงซั่งหัง แต่ความไว้ใจของนางยังไม่ถึงขั้นที่นางจะทำทุกอย่างที่ทำได้อย่างสุดชีวิตเพื่อให้มั่นใจว่าเขาจะอยู่รอด
สายตาเจียงซั่งหังเหลือบไปมาอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายเขาก็กัดฟัน “ถ้าเช่นนั้นก็… ตัวใครตัวมัน ถ้าโชคชะตากำหนด เราจะได้เจอกันอีกในสักวันหนึ่ง”
โม่เทียนเกอพยักหน้า นางอดไม่ได้ที่จะถอนใจอยู่ภายในใจ หลังจากหลายต่อหลายปี ไม่มีคนมากมายนักที่นางสามารถไว้ใจได้ ก่อนนางจะอายุยี่สิบปี นางมีเพียงแค่ท่านอาที่สอง และหลังจากนางอายุยี่สิบปี นางสามารถพึ่งพาคนไม่กี่คนจากโรงเรียนเสวียนชิง ส่วนคนอื่นๆ ที่นางเจอโดยบังเอิญ นางอาจจะสามารถร่วมมือกับพวกเขาได้ระยะหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็ไม่สามารถไว้ใจพวกเขาได้อย่างจริงใจ
ตอนแรกนางก็รู้สึกเช่นนั้นกับเจียงซั่งหัง ถึงขนาดรู้สึกโกรธด้วยซ้ำเพราะเขาปิดบังจุดประสงค์ที่แท้จริงของการไปที่นั่น แต่ถึงกระนั้น เมื่อเขาเต็มใจยอมละทิ้งโอกาสตามหาสมบัติและอยู่ดูแลนาง นางก็รู้สึกว่าบางทีนางอาจจะไว้ใจเขาได้มากขึ้นอีกนิด แต่ตอนนี้นางไม่มีเวลาจะมาพิสูจน์ความคิดของตัวเองอีกต่อไปแล้ว
เอาเถิด พวกเขาเป็นแค่คนแปลกหน้าที่พบกันโดยบังเอิญ ตัวใครตัวมัน ภายใต้โชคชะตาทุกคนก็เป็นแค่แหนที่ลอยอยู่ พวกเขาเจอกันโดยบังเอิญและแยกจากกันโดยโชคชะตา ตราบใดที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ก็อาจจะมีโอกาสได้เจอกันอีกครั้ง ย้อนไปตอนที่พวกเขาหนีจากเขาอวิ๋นอู้ พวกเขาก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกเหมือนกัน
“เช่นนั้นก็เท่านี้ เลิกพูดเยิ่นเย้อกันเสียที แยกย้ายได้!” ชิวจื้อหมิงตะโกนจากนั้นจึงเป็นคนนำในการรีบหนีออกจากตำหนักใต้บาดาล
ไม่มีใครลังเล พวกเขาหนีตามกระแสน้ำออกไปทีละคน ทีละคน
เมื่อออกจากตำหนักใต้บาดาล พวกเขาออกมาผ่านทางม่านพลังเคลื่อนย้ายบนอนุสาวรีย์เทพมังกร แล้วจากนั้นจึงเริ่มใช้วิชาหลบลี้หนีน้ำ แต่ละคนเหาะหนีไปด้วยความเร็วที่เร็วที่สุดของตัวเอง
โม่เทียนเกอเห็นแสงเหินสี่แสงวาบผ่านไปในสี่ทิศทางที่ต่างกันและหายไปในระยะไกล
โม่เทียนเกอไม่ได้หนีไปกับพวกเขา นางหันกลับพร้อมกับถอนหายใจแทน จากนั้นจึงผ่านม่านพลังเคลื่อนย้ายอีกครั้งเพื่อเข้าไปในกำแพงอาคมบนอนุสาวรีย์เทพมังกร
สี่คนนั้นมีข้อได้เปรียบตามธรรมชาติเมื่ออยู่ใต้น้ำ เพราะฉะนั้นนางต้องแย่แน่ที่ถูกพวกเขาทิ้งไว้ ถ้าเริ่นอวี่เฟิงจำเป็นต้องใช้เวลานาน ทุกคนอาจจะหนีได้ แต่ถ้าในที่สุดเขาเริ่มไล่ตามพวกนาง คนแรกที่เขาจะตามทันก็คงจะเป็นนางเอง
ขณะที่กดตรงหว่างคิ้วของนาง โม่เทียนเกอพึมพำร่ายคาถา แสงสว่างปรากฏขึ้นตรงจุดที่นางกดไว้และยิ่งสว่างขึ้นเรื่อยๆ หลายวินาทีต่อมา ร่างของนางหายไปจากสายตา หายไปจากแดนแห่งมังกรซ่อนลาย
นางชี้ไปที่ช่องว่างที่หว่างคิ้วอีกครั้งทำให้ไข่มุกปรากฏออกมา จากนั้นนางทำท่าฟันด้วยนิ้วมือ โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนแยกเปิดออกก่อให้เกิดรอยแยกซึ่งนางสามารถมองสถานการณ์ด้านนอกได้จากตรงนั้น
ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ความกลัวก่อนหน้านี้ของนางจะไม่มีทางกลายเป็นจริงขึ้นมา นางสามารถซ่อนตัวอยู่ในโลกนี้ได้อย่างสบายๆ และไม่ว่าเริ่นอวี่เฟิงจะแข็งแกร่งขึ้นมากเท่าไหร่ เขาก็ไม่มีทางหานางพบ
ยิ่งไปกว่านั้น นางอยากจะเห็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จากยุคอดีตอันไกลโพ้นที่ว่านั้นด้วยเช่นกัน นางต้องการเห็นว่าเริ่นอวี่เฟิงแข็งแกร่งขึ้นแค่ไหนหลังจากเขาซึมซับลมปราณเทพมังกรไป
ทางเข้าของตำหนักใต้บาดาลยังคงเปิดอยู่ดังเช่นก่อนหน้านี้ แต่ลมปราณเทพมังกรข้างในนั้นค่อยๆ อ่อนกำลังลง สุดท้ายแล้วลมปราณที่ยังหลงเหลืออยู่บนอนุสาวรีย์เทพมังกรก็เริ่มจะพุ่งเข้าไปทางตำหนักใต้บาดาลเช่นกัน ในไม่ช้า ลมปราณเทพมังกรในบริเวณใกล้เคียงอนุสาวรีย์เทพมังกรก็หายไปจนหมดสิ้น
โม่เทียนเกอจับจ้องอยู่ที่ทางเข้าตำหนักใต้บาดาล ร่างกายของนางตอนนี้อยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ถึงแม้นางจะสามารถมองเห็นสถานการณ์ข้างนอกแต่นางไม่สามารถใช้จิตสัมผัสของตัวเองได้ นางจึงไม่รู้ว่าเริ่นอวี่เฟิงเริ่มไล่ล่าพวกเขาแล้วหรือยัง อย่างไรก็ตาม ในเมื่อการซึมซับลมปราณเทพมังกรได้หยุดลงแล้ว มีแนวโน้มว่าเขาน่าจะออกมาเร็วๆ นี้
แน่นอนว่าหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ร่างของเริ่นอวี่เฟิงก็รีบเร่งออกมาจากทางเข้า
หลังจากมองเห็นเขาแวบหนึ่ง โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว ตัวนางไม่ได้อยู่ข้างนอก ดังนั้นนางจึงไม่สามารถสัมผัสถึงแรงเคลื่อนไหวปัจจุบันของเริ่นอวี่เฟิงได้ แต่อย่างไรก็ตาม รูปลักษณ์ภายนอกของเริ่นอวี่เฟิงนั้นต่างจากก่อนหน้านี้ไปหลายขุม!
เดิมทีเริ่นอวี่เฟิงดูเหมือนชายหนุ่มในช่วงอายุยี่สิบ เขามีกิริยาท่าทางที่ไม่น่าพึงพอใจและมีใบหน้าซีดขาว อย่างไรก็ตาม เริ่นอวี่เฟิงคนปัจจุบันมีใบหน้าสีดำสนิทและท่าทางชั่วร้าย ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งร่างของเขาแผ่พลังดำมืดราวกับว่าเขาถูกมารเข้าครอบงำ
การได้เห็นรูปลักษณ์ของเขาทำให้หัวใจของโม่เทียนเกอกระตุก มังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แห่งยุคอดีตอันไกลโพ้นซึ่งลือกันว่าน่ายำเกรงและมีแรงเคลื่อนไหวท่วมท้น พวกมันเป็นเผ่าพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับเทพเจ้าที่สุดโดยกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นลมปราณเทพมังกรบนอนุสาวรีย์เทพมังกรนี้ หรือลมปราณเทพมังกรบนรูปปั้นเทพมังกรข้างในตำหนักใต้บาดาล ทั้งคู่ล้วนให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์
แต่รูปลักษณ์ปัจจุบันของเริ่นอวี่เฟิงดูราวกับว่าเขาถูกมารเข้าครอบงำ นางไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ของลมปราณเทพมังกรในตัวเขาได้แม้แต่นิดเดียว!
โม่เทียนเกอแน่ใจว่าเขาไม่ได้ซึมซับลมปราณเทพมังกรและกลายเป็นลูกของเทพมังกรที่ว่าแน่ๆ แต่ถ้าอย่างนั้นทั้งหมดนี้มันเกี่ยวกับอะไรกัน
เริ่นอวี่เฟิงก้าวขึ้นบนม่านพลังเคลื่อนย้าย หลังจากนั้นเขาถูกส่งออกไปยังบริเวณนอกเขตกำแพงอาคมบนอนุสาวรีย์เทพมังกร
โม่เทียนเกอครุ่นคิดว่านางจะทำอะไรต่อไปอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายนางจึงกดที่พื้นที่ว่างตรงหว่างคิ้วเพื่อออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน จากนั้นจึงเดินเข้าไปในตำหนักใต้บาดาลอีกครั้ง
โลกนี้คงอยู่มาหลายล้านปีตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงยุคปัจจุบัน ในเวลาหลายล้านปีนั้นถูกแบ่งออกเป็นหลายช่วงเวลาคือ ยุคอดีตอันไกลโพ้น ยุคสูญสิ้นเทพเจ้า ยุคกลาง และยุคปัจจุบัน
เมื่อแรกเริ่มของการสร้างโลก โลกเกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาและทั้งเทพเจ้าและวิญญาณก็ปรากฏกายขึ้น นี่คือยุคอดีตอันไกลโพ้น ยุคอดีตอันไกลโพ้นอยู่มาไม่น้อยกว่าหลายล้านปี ในตอนแรกมันเป็นโลกแห่งเทพเจ้า ปีศาจ และวิญญาณ เมื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ปรากฏขึ้นในภายหลัง เหล่าเทพเจ้าจึงลาจากโลกมนุษย์ไปแต่วิญญาณยังคงอยู่ดังเดิม
ยุคที่ปีศาจ วิญญาณ และมนุษย์ใช้ชีวิตร่วมกันเรียกว่ายุคโบราณ
ในระหว่างยุคอดีตอันไกลโพ้นที่ยาวนาน ยุคโบราณเป็นเวลาหลายแสนปีที่พิเศษพอกัน มนุษย์ที่เกิดค่อยๆ กลายเป็นมันสมองของโลกนี้ และในเวลาต่อมาผู้ฝึกตนก็ปรากฏกายขึ้นในหมู่มวลมนุษย์เหล่านั้น หลายแสนปีให้หลัง สติปัญญาของพวกเขาสูงขึ้น พวกเขาเรียนรู้วิธีฝึกตนจากปีศาจและวิญญาณ คนที่โน้มเอียงไปทางวิญญาณกลายเป็นเซียน และคนที่โน้มเอียงไปทางปีศาจกลายเป็นมาร
พลังของเซียนและมารค่อยๆ แกร่งกล้ายิ่งขึ้นทีละน้อยจนสุดท้ายก็เกิดสงครามขึ้นระหว่างพวกเขา เทพเจ้าที่เป็นผู้สร้างกฎแห่งโลกใบนี้ได้เข้ามาก้าวก่าย สั่งให้เซียนและมารที่แกร่งมากพอเปลี่ยนลักษณะและบินขึ้นไปยังสวรรค์ สั่งให้ปีศาจและวิญญาณย้ายไปในอีกโลกหนึ่ง เหลือทิ้งไว้เพียงแค่ผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมที่อ่อนแอกว่าอยู่ในโลกมนุษย์ ด้วยเหตุนั้นยุคโบราณจึงสิ้นสุดลง
ในระหว่างยุคโบราณเป็นยุคที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นผู้ปกครองโลก สัตว์ศักดิ์สิทธิ์คือวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่เหมือนกับผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมะหรืออธรรมที่ฝึกฝนเพื่อให้ได้รับพลังเวท พวกมันเกิดมาพร้อมกับพลังจิตแต่กำเนิด ตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกมันเกือบจะเหมือนดั่งเทพเจ้า พวกมันแข็งแกร่งยิ่งกว่าทั้งเซียนและมารมากนัก พวกมันยังเป็นแหล่งที่มนุษย์ผู้ฝึกตนเรียนรู้ในการฝึกฝนศาสตร์ต่างๆ อีกด้วย
ตัดสินดูจากรูปวาดฉากการบูชายัญของมัน วิหารบูชายัญเทพมังกรนี้อาจจะมีมาตั้งแต่ช่วงเวลาไม่นานหลังจากมนุษย์ปรากฏขึ้น ช่วงเวลาที่มนุษย์ยังไม่ได้ฝึกตนเป็นเซียนหรือมาร ยุคอดีตอันไกลโพ้นมีอยู่มานานหลายล้านปี และยุคโบราณก็กินเวลาไปประมาณหลายร้อยปีในยุคนั้น ยุคโบราณยังเป็นช่วงที่มนุษย์เกิดขึ้นเช่นกัน ในระหว่างช่วงเวลานั้น เทพเจ้าลาจากโลกมนุษย์ไปทำให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นอำนาจที่น่าเกรงขามที่สุดที่มนุษย์ได้ติดต่อด้วย พวกมันมีสายเลือดเทพเจ้า จึงเป็นที่เคารพบูชาอย่างมาก เป็นอำนาจชนิดที่แกร่งที่สุดท่ามกลางพวกวิญญาณ
ในระหว่างยุคโบราณ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์คือเทพเจ้าในใจของพวกมนุษย์
ลมปราณเทพมังกรบนอนุสาวรีย์เทพมังกรและในตำหนักใต้บาดาลมีความยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ เท่าที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ควรมีโดยแท้
ถ้าคนคนหนึ่งซึมซับลมปราณเทพมังกรเช่นนั้นไปจริงๆ พลังวิญญาณในร่างกายพวกเขาก็จะต้องบริสุทธิ์แน่นอน มันจะไม่ดำมืดอย่างคนพวกที่ถูกมารเข้าครอบงำแน่ๆ
เซียนกำเนิดมาจากวิญญาณขณะที่มารกำเนิดมาจากปีศาจ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยสำหรับคนที่ซึมซับลมปราณจิตวิญญาณที่จะกลายเป็นมารไปได้!
โม่เทียนเกอมั่นใจว่าวิธีการซึมซับลมปราณเทพมังกรที่ว่านั้นของเริ่นอวี่เฟิงจะต้องผิดแน่นอน แต่มันจะผิดไปได้อย่างไร
ไม่มีเหตุผลเลยที่วิชาลับจากวิหารบูชายัญเทพมังกรแห่งนี้จะเปลี่ยนคนให้กลายเป็นมารผู้ฝึกตน มิเช่นนั้นแล้วจะอธิบายลมปราณเทพมังกรที่หนาแน่นนี้ได้ว่าอย่างไร
วิญญาณหยุดยั้งปีศาจ สิ่งที่เป็นจิตวิญญาณต่างๆ ก็มีพลังโดยกำเนิดที่คอยยับยั้งพวกมาร ตามหลักเหตุผลแล้ว พลังของมารไม่ควรจะปรากฏขึ้นในที่ที่มีลมปราณเทพมังกรอยู่
นอกเสียจากว่า… พลังบนร่างของเริ่นอวี่เฟิงไม่ใช่พลังของมารจริงๆ หรือว่า… นี่มันไม่ใช่ลมปราณเทพมังกรเลยสักนิด!
โม่เทียนเกอเข้าไปในโถงเทพมังกรอีกครั้ง
เมื่อไม่มีลมปราณเทพมังกร รูปปั้นเทพมังกรนี้จึงไม่มีแรงกดดันที่มันปล่อยออกมาตอนก่อนหน้านี้
นางเดินอ้อมรูปปั้นเทพมังกรแล้วจากนั้นจึงก้าวเข้าไปในประตูหินซึ่งถังฟังและคนอื่นๆ วิ่งหนีออกมาตอนก่อนหน้านี้
ถึงแม้ว่านางจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่โม่เทียนเกอก็ยังตกใจ
นี่คือโครงกระดูกขนาดใหญ่ ถึงแม้มันจะเสียชีวิตไปเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว แต่แรงกดดันที่มันทิ้งไว้นั้นช่างน่าหวาดกลัว
นี่คือโครงกระดูกเทพมังกร