ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 186-2 ใครคือคนที่น่าสงสารกันแน่
โม่เทียนเกอนั่งอยู่ภายในกระท่อมหลังเล็กในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนและใช้สมองคิดอยู่เป็นเวลานานเมื่อจู่ๆ นางก็คิดออก จริงสิ! นางลืมมันไปได้อย่างไร เริ่นอวี่เฟิงสาบานคำสัตย์หัวใจมารต่อนาง สาบานว่าเขาจะปล่อยให้นางออกไปอย่างปลอดภัย!
แต่ถึงกระนั้น ความคิดนี้ก็เพียงแค่แว่บผ่านมาและโม่เทียนเกอรู้สึกผิดหวังอีกครั้ง สำหรับผู้ฝึกตนจากเส้นทางฝ่ายธรรมะ คำสัตย์หัวใจมารเป็นคำสัตย์ที่สำคัญเพราะมารภายในจิตใจคืออุปสรรคใหญ่ที่สุดที่พวกเขาอาจต้องเผชิญในระหว่างการบรรลุผ่านดินแดน แต่ผู้ฝึกตนจากเส้นทางฝ่ายอธรรม ในทางตรงกันข้าม ไม่ได้ถูกจำกัดไว้ด้วยมารภายในจิตใจ หากเริ่นอวี่เฟิงกลายเป็นมารผู้ฝึกตนจริงๆ มารภายในจิตใจก็จะไม่มีบทบาทใดในสายตาเขาเพราะมารผู้ฝึกตนไม่ต้องเผชิญกับมารภายในจิตใจในระหว่างการบรรลุผ่านดินแดนของพวกเขา
ตอนนี้นางกลับมานับหนึ่งใหม่อีกครั้ง นางจะออกไปได้อย่างไร
ท้ายที่สุดโม่เทียนเกอก็ถอนหายใจและพูดสิ่งที่คิดออกมาดังๆ “ลืมมันซะ แค่คิดว่าเป็นการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิแล้วกัน บางทีก่อนที่หลายสิบปีจะผ่านไป เริ่นอวี่เฟิงอาจจะเกิดอุบัติเหตุในระหว่างการฝึกตนของเขาก็ได้ เมื่อถึงเวลานั้น…”
ขณะที่นางกำหลังหมกมุ่นอยู่ในความคิดของตัวเอง ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอก ไม่นานหลังจากนั้นเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นกลัวของชิวจื้อหมิงดังขึ้น “ศิษย์พี่เริ่น ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า”
โม่เทียนเกอเงยหน้ามองและเห็นว่าเริ่นอวี่เฟิงฝึกตนจบลงแล้ว ตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่บนแท่นสูงดูหม่นหมองอย่างที่สุด ส่วนชิวจื้อหมิงนั้น เขานอนเหยียดอยู่บนพื้นไม่ไกลมากนักพร้อมมีร่องรอยของเลือดอยู่ที่มุมปากเขา ดูเหมือนว่า… เขาจะถูกเริ่นอวี่เฟิงเหวี่ยงออกไป
เริ่นอวี่เฟิงเหลือบมองเขาด้วยสายตาดูถูก “อะไร เจ้าหวังว่าจะเกิดความผิดพลาดขึ้นในระหว่างที่ข้าฝึกตนหรือ”
เมื่อจับได้ถึงจิตสังหารที่ซ่อนอยู่ในคำถามของเขา ชิวจื้อหมิงส่ายหน้าทันที “ไม่ใช่ขอรับ ข้าแค่เป็นห่วง…”
“เป็นห่วงข้า” เริ่นอวี่เฟิงเยาะเย้ย “คงจะน่าแปลกใจมากถ้าเจ้าเป็นห่วงข้าจริง! เจ้าจะได้รอดชีวิตถ้าแค่มีอะไรเกิดขึ้นกับข้าใช่ไหม!”
ชิวจื้อหมิงไม่ได้ปฏิเสธเขา เขาแค่ก้มหัวอยู่เงียบๆ
เริ่นอวี่เฟิง “ฮึ่ม” ใส่แล้วพูดว่า “เลิกฝันกลางวันได้แล้ว! ข้าจะไม่ตายและอย่าหวังว่าไอ้ตาแก่พวกนั้นจะมาช่วยเจ้า ตำหนักใต้บาดาลแห่งนี้ไม่สามารถเปิดได้โดยไม่มีวิชาที่กำหนด เราเข้ามาในตำหนักใต้บาดาลนี้ได้ก็เพราะลมปราณเทพมังกรข้างในถูกอนุสาวรีย์เทพมังกรด้านนอกดึงดูดมาจึงทำให้เปิดทางเข้าสู่ตำหนักนี้ได้ ตอนนี้มีลมปราณเทพมังกรเหลืออยู่แค่บนกระดูกมังกรเหล่านี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นตาแก่พวกนั้นไม่สามารถเข้ามาได้แน่นอน!”
ว่าแล้วเริ่นอวี่เฟิงยืนขึ้นแล้วจึงเดินลงจากแท่น “ช่างน่าเสียดายจริงๆ ที่เยี่ยเสี่ยวเทียนจากโรงเรียนเสวียนชิงหนีไปได้! หญิงคนนั้นมีสมบัติมากมาย จะดีแค่ไหนถ้าข้าได้ชิงของพวกนั้นมา…”
ชิวจื้อหมิงเงยหน้าขึ้นแล้วจึงพูดอย่างค่อนข้างลังเล “ศิษย์น้องเยี่ยคนนั้น…” จู่ๆ เขาก็หยุดกลางคัน ดูเหมือนจะตัดสินใจไม่ถูกว่าควรบอกเริ่นอวี่เฟิงหรือไม่
“อะไร” เริ่นอวี่เฟิงหันหน้าไปถลึงตาใส่เขา “แค่พูดมาถ้าเจ้ามีสิ่งใดจะพูด!”
ในเมื่อเริ่นอวี่เฟิงออกคำสั่ง ชิวจื้อหมิงจึงรีบพูดทันที “ข้าไม่เห็นศิษย์น้องเยี่ยออกไป พวกเราผู้ฝึกตนสำนักเจิ้งฝ่าใช้วิชาหลบลี้หนีน้ำอยู่ใต้น้ำ ดังนั้นความเร็วของเราจึงเร็วกว่านางมากเป็นธรรมดา แต่มันไม่มีเหตุผลเลยที่นางจะสามารถหนีได้เร็วกว่าข้า”
เริ่นอวี่เฟิงเม้มปาก “ซื่อบื้อ! เยี่ยเสี่ยวเทียนนั้นมีสมบัติมากมาย ใครจะไปรู้ว่านางมีอะไรที่ช่วยให้นางหนีได้หรือไม่” เขาหยุดเพื่อถอนใจก่อนจะพูดต่อ “ไม่เพียงแต่นางมีสมบัติมากมาย แต่ระดับการฝึกตนของนางก็ยังสูงอีกด้วย และอายุของนาง… ตามการคาดคะเนของข้า อายุของนางยังไม่เกินแปดสิบปี ข้าเกรงว่านางอาจจะเด็กกว่านั้นด้วยซ้ำ”
ชิวจื้อหมิงไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร ดังนั้นเขาจึงแค่จ้องมองเริ่นอวี่เฟิงด้วยความงุนงง
คิ้วเริ่นอวี่เฟิงขมวดมุ่นจากความใจร้อนของเขา “เจ้านี่มันโง่เสียจริง! เจ้าจำได้ไหมว่าเจียงสุ่ยหันอายุเท่าไหร่ ข้าคิดว่าเขาน่าจะอายุประมาณห้าสิบปีไม่ใช่รึ เห็นได้ชัดว่าระดับการฝึกตนของเยี่ยเสี่ยวเทียนนั้นสูงกว่าเขาแล้วในตอนนี้ แต่เขายังคงเรียกนางว่า ‘ศิษย์น้องเยี่ย’ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเยี่ยเสี่ยวเทียนนั้นยังเด็กกว่าเขา!”
เจียงสุ่ยหันคือชื่อปัจจุบันของเจียงซั่งหัง โม่เทียนเกอคิดว่าแม้เขาจะมีอารมณ์พิลึกพิลั่นและนิสัยโหดเ**้ยม แต่ไม่น่าเชื่อว่าเริ่นอวี่เฟิงคนนี้ไม่ได้โง่ เขาอุตส่าห์คิดหาวิธีเดาอายุของนาง
คำอธิบายของเริ่นอวี่เฟิงทำให้ชิวจื้อหมิงอ้าปากค้าง เขาพูดว่า “น้อยกว่าห้าสิบปี นี่มัน… แต่ศิษย์น้องเยี่ยอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นกลางดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว! นางน่าจะออกมาภายนอกเพื่อหาประสบการณ์ภาคสนามเพื่อบรรลุผ่านไปยังขั้นสุดท้าย ถ้านางทำสำเร็จ นางจะไม่…”
การเข้าถึงขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานตอนอายุห้าสิบปีนั้นถือว่าค่อนข้างน่าทึ่ง เป็นความสำเร็จที่แม้แต่พวกคนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะยังแทบจะทำไม่สำเร็จ
เริ่นอวี่เฟิง “ฮึ่ม” อีกครั้งจากนั้นจึงพูดว่า “ซื่อบื้อ! อย่าลืมสิว่านางมาจากโรงเรียนเสวียนชิง! ทุกวันนี้พละกำลังของโรงเรียนเสวียนชิงไม่แพ้สำนักเทียนเต้า ถ้าให้กำเนิดผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่อีกหนึ่งหรือสองคนภายในร้อยปีข้างหน้า พวกเขาก็จะขึ้นนำเหนือกว่าสำนักเทียนเต้าและกลายเป็นกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในขั้วท้องฟ้า! ไม่เหมือนกับสำนักเทียนเต้าซึ่งน่าจะมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มากมายเพราะมีลูกศิษย์อยู่มาก แต่โรงเรียนเสวียนชิงนั้นมีชื่อเสียงจากการให้กำเนิดผู้ฝึกตนอัจฉริยะ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้ายคนปัจจุบัน ประมุขเต๋าเจิ้นหยาง และผู้ฝึกตนที่ทำการบรรลุผ่านดินแดนเมื่อสองร้อยปีก่อน ประมุขเต๋าเมี่ยวอี ทั้งคู่ประสบความสำเร็จในการสร้างจิตวิญญาณใหม่เมื่อพวกเขาอายุประมาณสองร้อยถึงสามร้อยปี ในหมู่ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังของพวกเขา มีผู้ฝึกตนอย่างอาจารย์เต๋าหลิงซีและอาจารย์เต๋าโส่วจิ้งที่ก่อขุมพลังได้เมื่อพวกเขาอายุราวๆ หนึ่งร้อยปีและเป็นผู้ที่มีโอกาสสูงมากในการก้าวเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่เมื่อพวกเขาอายุประมาณสองร้อยปี เจ้ายังคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้อีกรึ”
“แต่…” ชิวจื้อหมิงยังคงสับสน “ศิษย์น้องเจียงบอกว่าตอนพวกเขารู้จักกัน ศิษย์น้องเยี่ยเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยว คนอัจฉริยะเช่นนั้นมักจะถูกเลี้ยงดูมาจากกลุ่มการฝึกตนตั้งแต่อายุยังน้อยไม่ใช่หรือ”
“เจ้าคิดว่ากลุ่มการฝึกตนพวกนั้นไม่เคยพลาดคนดีๆ ไปเพราะคิดผิดหรือ” สีหน้าเริ่นอวี่เฟิงเต็มไปด้วยการดูหมิ่น “วิชาที่ประเมินรากวิญญาณในหมู่ผู้ฝึกตนเดี่ยวไม่ใช่วิชาที่สมบูรณ์ บางทีต้นทุนที่แท้จริงของศิษย์น้องเยี่ยอาจจะไม่ได้ถูกประเมินอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ความจริงที่ว่านางสามารถเข้าโรงเรียนเสวียนชิงได้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าฝีมือนางไม่แย่ โรงเรียนเสวียนชิงไม่เหมือนสำนักเจิ้งฝ่าของเราซึ่งรับคนจากทิศเหนือสุดทุกคนที่มีรากวิญญาณ กลุ่มการฝึกตนใหญ่อย่างโรงเรียนเสวียนชิงช่างเลือกมากแม้แต่กับผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณสามธาตุ!”
ชิวจื้อหมิงไม่ได้พูดอะไร ถึงแม้นิสัยของเริ่นอวี่เฟิงจะไม่ดี แต่ชิวจื้อหมิงก็ยอมรับว่าไม่สามารถเทียบชั้นกับเขาได้ในแง่ของความฉลาด ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าเยี่ยเสี่ยวเทียนจะเป็นอัจฉริยะหรือไม่ก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา ไม่ใช่ว่านางจะมาช่วยเขาสักหน่อย
“เยี่ยเสี่ยวเทียนเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าเสวียนอิน ถึงแม้เขาจะยังไม่ได้สร้างจิตวิญญาณใหม่ตอนที่นางนับถือเขาเป็นอาจารย์ แต่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังขั้นสุดท้ายจะยอมรับศิษย์เข้ามาแบบสุ่มๆ งั้นหรือ ยิ่งไปกว่านั้น ตัวนางเองก็พูดว่านางไม่ได้สร้างฐานแห่งพลังงานเมื่อนางเข้าโรงเรียนเสวียนชิง นางก้าวจากดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณไปสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานภายในเวลาสิบกว่าปี… ด้วยความเร็วในการฝึกตนเช่นนี้ นางจะไม่เป็นอัจฉริยะได้อย่างไร”
หลังจากหยุดครู่หนึ่งสั้นๆ เริ่นอวี่เฟิงส่ายหน้าแล้วจึงพูดพร้อมถอนหายใจ “น่าเสียดาย… คงจะดีมากหากข้าได้หญิงผู้ฝึกตนขั้นกลางและอายุน้อยเช่นนั้นมาเป็นร่างเตาหลอมของข้า…” เห็นได้ชัดว่ากำลังจินตนาการอะไรสักอย่าง ความวิปริตปรากฏขึ้นในสายตาเขา
ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน โม่เทียนเกอที่กำลังมองภาพตรงหน้านี้ตบโต๊ะอย่างแรงด้วยมือนาง
ตั้งแต่นางเข้าโรงเรียนเสวียนชิง ก็ไม่เคยเจอใครที่ต้องการให้นางเป็นร่างเตาหลอมของพวกเขา! ร่างเตาหลอมแต่เดิมคือวิธีปฏิบัตินอกรีต ขณะที่โรงเรียนเสวียนชิงเป็นโรงเรียนแห่งเต๋าขนานแท้ โรงเรียนแห่งเต๋ามักปลูกฝังให้ศิษย์ของพวกเขามีจิตใจบริสุทธิ์และมีความปรารถนาเพียงเล็กน้อย ดังนั้นหลักปฏิบัติของการใช้ประโยชน์จากคนหนึ่งเพื่อเลี้ยงบำรุงอีกคนหนึ่งจึงไม่เหมาะกับพวกเขา อย่างมากพวกเขาก็จะอนุญาตให้ทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์เท่านั้น อีกอย่าง ทันทีหลังจากที่นางเข้าโรงเรียน นางก็กลายเป็นศิษย์ลงนามของประมุขเต๋าจิ้งเหอทันที ไม่มีใครกล้าใช้นางเป็นร่างเตาหลอมของพวกเขา ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ!
ข้างนอกนั้น ชิวจื้อหมิงไม่กล้าพูดอะไรและแค่จ้องเริ่นอวี่เฟิงอย่างหวาดๆ
หลังจากใช้เวลาอยู่ในจินตนาการเพ้อฝันของตัวเองอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเริ่นอวี่เฟิงก็ได้สติกลับมา เขาส่ายหัวด้วยความเสียดายและพูดว่า “ข้าดันปล่อยให้นางหนีไปได้ ฮึ่ม! ข้าอยากจะลิ้มรสดูเหลือเกินว่ามันเป็นอย่างไรที่ได้ทำให้อภิสิทธิ์ชนเช่นนั้นต้องอับอายขายหน้า! แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสในอนาคต เมื่อใดที่ข้าฝึกวิชาลับเทพมังกรได้อย่างเหมาะสมและระดับการฝึกตนของข้าก้าวหน้าไปมาก เมื่อนั้นข้าจะไปที่คุนอู๋และทำให้ตัวข้าแข็งแกร่งขึ้น บางทีข้าอาจจะบังเอิญเจอนางในภายหลังก็ได้! ฮ่าๆๆๆ …”
หน้าตาโอหังของเริ่นอวี่เฟิงทำให้โม่เทียนเกอที่อยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนโกรธอย่างรุนแรง
สำนักเจิ้งฝ่าเป็นสำนักแห่งเต๋าเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ได้สนับสนุนหลักปฏิบัติของการใช้ประโยชน์จากคนหนึ่งเพื่อเลี้ยงบำรุงอีกคนหนึ่ง เริ่นอวี่เฟิงผู้นี้เพิ่งจะได้รับวิชาลับของเทพมังกรมาไม่นาน แต่กระนั้นเขากลับทำตัวไร้ยางอายขนาดนี้ทันที เขาน่าจะมีจิตใจโสมมมาตั้งแต่ในอดีตอยู่แล้ว!
เมื่อนางเห็นรอยยิ้มวิปริตของเริ่นอวี่เฟิงและคิดว่าเขาอาจจะมีความคิดเพ้อฝันเกี่ยวกับตัวนาง โม่เทียนเกอขนลุกซู่ทั่วทั้งร่าง นางอยากจะตบหน้าน่ารังเกียจของเขาจากนั้นก็หั่นเขาออกให้เป็นชิ้นๆ เสียจริง!
เพียงหลังจากหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้งแล้วเท่านั้นที่จิตใจของนางจึงค่อยๆ สงบลงและนางกลับไปนั่งที่
การคิดถึงเรื่องนี้ไม่มีประโยชน์ เพื่อจะฆ่าเริ่นอวี่เฟิง นางต้องวางแผนอย่างเหมาะสมไว้ล่วงหน้า แต่ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ว่านางไม่มีข้อได้เปรียบอะไรเหนือเริ่นอวี่เฟิง
อย่างแรก ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางมียาวิเศษให้ทานและพลังวิญญาณก็เต็มเปี่ยมมาก นี่เป็นสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดสำหรับให้นางฝึกตน นางรั้งการฝึกตนของนางให้ไม่ก้าวหน้ามาหลายปี ดังนั้นจึงไม่น่ามีปัญหาสำหรับนางในการพยายามพัฒนาไปสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานในตอนนี้ แค่มันจะอันตรายนิดหน่อยหากนางต้องการก่อขุมพลังในภายหลัง แต่ภยันตรายนั้นมีจำนวนเล็กน้อย มันไม่ได้หมายความว่านางจะไม่มีโอกาสทำสำเร็จเสียหน่อย
อย่างที่สอง ต้นตำรับวิชาการฝึกตนของเริ่นอวี่เฟิงยังน่าสงสัย ใครจะไปรู้ว่าผลที่ตามมาทีหลังจะเป็นเช่นไร วิชาการฝึกตนของฝ่ายอธรรมมีแนวโน้มจะทำให้เกิดการเบี่ยงเบนพลังวิญญาณมากกว่า และเริ่นอวี่เฟิงได้เข้าสู่เขตมารไปนานแล้ว บางทีวันหนึ่งเขาอาจจะเกิดอุบัติเหตุเมื่อเขาฝึกและนางสามารถจบชีวิตเขาได้โดยตรง
อย่างสุดท้าย นางอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน และเริ่นอวี่เฟิงไม่รับรู้ว่านางอยู่ตรงนั้นเลยสักนิด นางสามารถหาโอกาสซุ่มโจมตีเขาได้เสมอ!
โม่เทียนเกอคิดพิจารณาหลายสิ่งอยู่ในหัว สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจนกว่าจะมีทางแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้ นางจะแค่อยู่ที่นั่นและฝึกตนอย่างเต็มที่ นางเชื่อว่าเมื่อเป็นเรื่องของการแข่งขันรอคอย เริ่นอวี่เฟิงไม่สามารถเอาชนะนางได้แน่ เพราะนางผู้เคยใช้ยาอายุวัฒนะมาก่อน ยังมีเวลาเหลืออย่างน้อยอีกแปดร้อยปีอยู่ในช่วงอายุขัยของนาง!