ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 191-2 สภาปี้เซวียน
หลังจากลังเลเล็กน้อย หวงจื้อเฟิงพูดขึ้น “แม่นางเยี่ย ระดับการฝึกตนของท่านสูงกว่าพวกเรา ข้าคิดว่าสภาปี้เซวียนจะต้องพยายามชักชวนท่านเข้ากลุ่มแน่ ถ้าท่านเป็นแค่ผู้ฝึกตนเดี่ยวในคุนอู๋ จะดีกว่าหากท่านเข้าร่วมสภาปี้เซวียน สภาปี้เซวียนเป็นกลุ่มการฝึกตนสำหรับผู้ฝึกตนหญิง ดังนั้นพวกเขาจึงให้การดูแลเอาใจใส่ต่อศิษย์ผู้หญิงเป็นอย่างมาก ถ้าท่านเข้าสภาปี้เซวียน บางทีท่านอาจจะสามารถสร้างฐานแห่งพลังงานได้”
โม่เทียนเกอแสดงให้เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วน “แต่ข้าอยากกลับไปที่คุนอู๋…”
เหวยจื้อหมิงพูด “แม่นางเยี่ย ถ้าท่านไม่อยากเข้าสภาปี้เซวียนและต้องการกลับไปที่คุนอู๋แทน ข้าคิดว่าข้าควรเตือนท่านเกี่ยวกับบางอย่างไว้ก่อน” เมื่อเขาพูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็หยุดกะทันหันเพื่อให้แน่ใจว่ามีเกราะฉนวนกันเสียงรอบตัวพวกเขาก่อนพูดต่อ “อิทธิพลของสภาปี้เซวียนในหลินไห่นั้นยิ่งใหญ่มาก พวกเขามักจะหมายความตามที่พูดเสมอ ถ้าพวกเขาต้องการเกณฑ์ท่านเข้ากลุ่มจริงๆ และท่านลงท้ายด้วยการทำให้พวกเขาโกรธเพราะท่านไม่ยอมทำตาม… ไม่ดีแน่”
เหวยจื้อหมิงพูดอย่างมีชั้นเชิง แต่โม่เทียนเกอสัมผัสได้ถึงการเตือนในคำพูดของเขา ดูเหมือนการคาดเดาในตอนแรกของนางจะถูกต้อง สภาปี้เซวียนไม่ใช่แค่มีอำนาจมาก แต่พวกเขายังเผด็จการในการจัดการกับเรื่องต่างๆ มากอีกด้วย ดังนั้นนางต้องไม่บุ่มบ่ามทำให้พวกเขาโกรธเคืองเข้า
หลังจากคิดอยู่สักพัก นางยิ้มและพูดว่า “สหายนักพรต ขอบคุณที่เตือนข้า พวกท่านทุกคนเป็นผู้ฝึกตนจากแถวนี้ทั้งหมดเลยหรือ เป็นไปได้ไหมว่าท่านไม่เคยออกจากที่นี่”
หวงจื้อเฟิงยิ้มเยาะตัวเอง “แม่นาง พูดตามความจริง พวกเรามาจากตระกูลผู้ฝึกตนเล็กๆ ในท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องพูดถึงพวกเราหรอก แต่ขนาดผู้อาวุโสในตระกูลของเรายังไม่มีคนไหนเคยออกจากที่นี่เลย มันเป็นเพราะภูมิประเทศไม่ปกติของหลินไห่ที่ทำให้ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ของหลินไห่ไม่เคยจากไปไหนตลอดชีวิตพวกเขา แต่เราจะทำอะไรได้เล่า มีเพียงแค่สภาปี้เซวียนที่มีวิธีออกจากสถานที่แห่งนี้ แต่พวกเขาไม่ยินดีจะเปิดม่านพลังเคลื่อนย้ายให้กับสาธารณชน”
จากนั้นเหวยจื้อหมิงพูดพร้อมถอนใจ “ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราคือฝึกตนจนกระทั่งถึงระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณเพื่อที่เราจะสามารถเข้าสภาปี้เซวียนได้ สร้างฐานแห่งพลังงานของเราให้สำเร็จ จากนั้นทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับศิษย์ผู้หญิงของสภาปี้เซวียน นี่เป็นทางเดียวที่เราจะได้โอกาสออกจากสถานที่แห่งนี้”
เย่ว์หยางมีความโหยหาอยู่บนใบหน้าเมื่อเขาพูดว่า “ตามที่ท่านพ่อบอกข้า ตระกูลเย่ว์ของเรามีบรรพบุรุษที่ครั้งหนึ่งเคยออกจากหลินไห่ และเมื่อเขากลับมา เขาบอกคนรุ่นหลังว่าโลกภายนอกนั้นใหญ่โตมาก อย่างแรกเขาพูดถึงคุนอู๋ แนวเทือกเขายาวที่แผ่ขยายไปประมาณพันๆ ลี้จากตะวันออกถึงตะวันตก ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังงานวิญญาณอย่างเราจะต้องเดินมากกว่าครึ่งปีเพื่อไปจากสุดเขตฝั่งหนึ่งไปถึงอีกฝั่ง! อีกทั้งยังมีตระกูลผู้ฝึกตนมากมายอยู่ภายนอก ท่านบรรพบุรุษของข้าบอกว่าภายนอกนั้น ผู้ฝึกตนระดับสูงส่วนใหญ่จะเป็นผู้ฝึกตนชาย ในทางกลับกัน ผู้ฝึกตนหญิงนั้น…” เย่ว์หยางหยุดกะทันหันและเลิกพูดเรื่องนั้น พร้อมเหลือบมองอย่างขอโทษขอโพยมาที่โม่เทียนเกอ “แม่นางเยี่ย อย่าถือสาข้าเลยนะ ข้าพูดไปโดยไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วน”
โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก สิ่งที่สหายนักพรตเย่ว์พูดเป็นเรื่องจริง ในคุนอู๋ ผู้ฝึกตนระดับสูงส่วนใหญ่จะเป็นผู้ฝึกตนชายมากกว่า”
เมื่อเห็นว่านางไม่ได้ถือสากับสิ่งที่เขาพูด เย่ว์หยางยิ้มแบบรู้สึกขอบคุณ จากนั้นเขาถามว่า “แม่นางเยี่ย ท่านมาจากคุนอู๋ ท่านบอกเราเกี่ยวกับโลกภายนอกสักเล็กน้อยได้หรือไม่”
“โอ้ เช่นนั้น… สหายนักพรต ท่านอยากรู้เรื่องอะไร”
พอเห็นว่านางยินดีจะคุยเกี่ยวกับเรื่องโลกภายนอก ดวงตาของทั้งสามคนเป็นประกายขึ้นมาทันที เหวยจื้อหมิงถามว่า “แม่นางเยี่ย คุนอู๋ใหญ่แค่ไหนหรือ มีกลุ่มการฝึกตนมากจนนับไม่ถ้วนจริงๆ หรือ ในกลุ่มใหญ่ๆ มีผู้ฝึกตนกี่คน พวกเขามีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่กันเยอะหรือไม่”
เหวยจื้อหมิงใจร้อนจริงๆ เขาถามคำถามเป็นชุดในคราวเดียว!
โม่เทียนเกอยิ้มและพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องใจร้อน สหายนักพรตเหวย ขอข้าคิดก่อนนะ อืม… คุนอู๋ใหญ่แค่ไหน… ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานจะต้องบินอยู่ประมาณสองสามเดือนเพื่อเดินทางจากฝั่งตะวันออกไปตะวันตก สำหรับผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ เหมือนอย่างที่สหายนักพรตเย่ว์กล่าว พวกเขาจะต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งปี เมื่อเป็นเช่นนั้น มันก็น่าจะมีขนาดอย่างน้อยหลายพันลี้แต่ก็อาจจะมากกว่านั้น ส่วนเรื่องกลุ่มการฝึกตนในคุนอู๋ คร่าวๆ แล้วมีอยู่ประมาณหลายร้อยกลุ่ม ส่วนมากเป็นแค่กลุ่มการฝึกตนเล็กๆ ซึ่งอาจจะมีศิษย์อยู่แค่ราวๆ หลายร้อยคน และดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานก็มักจะเป็นระดับการฝึกตนสูงสุดในหมู่พวกเขา ในทางกลับกัน กลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ อาจจะมีศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังงานวิญญาณหลายพันคน ศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานหลายร้อย และมีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่หลายคนเช่นกัน”
“โอ้โฮ พวกเขามีคนเยอะจริงๆ!” เย่ว์หยางร้องอุทาน “สภาปี้เซวียนมีศิษย์แค่ประมาณพันคน และพวกเขาก็มีศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานแค่หลายสิบคนเท่านั้น…”
“จริงหรือ” โม่เทียนเกอใช้โอกาสนี้เพื่อถามว่า “ถ้าเช่นนั้นสภาปี้เซวียนมีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังบ้างหรือไม่”
เย่ว์หยางพยักหน้า “ตอนนี้สภาปี้เซวียนมีผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังสามคน”
“อ้อ… ในกรณีนั้น ในคุนอู๋ก็จะถือว่าพวกเขาเป็นกลุ่มการฝึกตนขนาดเล็กหรือขนาดกลาง” ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังสามคนไม่มีค่านักในคุนอู๋ ย้อนไปตอนนั้น สำนักอวิ๋นอู้ยังมีผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังประมาณเจ็ดหรือแปดคนแต่พวกเขาก็เป็นแค่กลุ่มการฝึกตนขนาดกลาง ถ้ากลุ่มการฝึกตนขนาดกลางเช่นนั้นมีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ พวกเขาก็สามารถขยับขยายไปเป็นกลุ่มการฝึกตนขนาดใหญ่ได้ แต่ถ้าพวกเขาทำไม่ได้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ทำได้เพียงรักษาสถานะกลุ่มการฝึกตนขนาดกลางเอาไว้
เหวยจื้อหมิงและคนอื่นๆ ทึ่งสุดขีดที่ได้ยินนางพูดถึงสภาปี้เซวียนอย่างสบายๆ เช่นนั้น “สภาปี้เซวียนไม่ได้จัดว่าเป็นกลุ่มการฝึกตนขนาดใหญ่ในคุนอู๋หรอกหรือ กลุ่มการฝึกตนขนาดใหญ่ในคุนอู๋เป็นแบบไหน พวกเขาต้องมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่หรือไม่ถึงจะจัดว่าเป็นกลุ่มใหญ่”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “ถูกต้อง แม้แต่กลุ่มการฝึกตนขนาดกลางที่ค่อนข้างทรงพลังก็ล้วนแล้วแต่มีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คอยดูแลกลุ่มของพวกเขาอยู่ ไม่ต้องพูดถึงกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ เลย ข้าคิดว่าทั่วทั้งคุนอู๋ต้องมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ประมาณห้าสิบถึงหกสิบคน และมากกว่าครึ่งนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ด”
“กลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ด” หวงจื้อเฟิงกล่าว “ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ยินว่าในกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดแห่งขั้วท้องฟ้า หกกลุ่มในนั้นตั้งอยู่ในคุนอู๋ พวกเขาทรงอำนาจอย่างมากและพวกเขาก็ยังมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่หลายคนในกลุ่มอีกด้วย”
โม่เทียนเกอส่ายหน้าแล้วจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “จะมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่หลายคนได้อย่างไร ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ไม่ได้เข้าถึงกันได้ง่ายๆ แม้แต่สำนักเทียนเต้าซึ่งอ้างตัวว่าเป็นกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในขั้วท้องฟ้าก็มีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ไม่เกินเจ็ดคน และนั่นก็คือตอนที่พวกเขาอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว”
“ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เจ็ดคน…” ความโหยหาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทั้งสามคน สำหรับพวกเขา ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มีอยู่แค่ในตำนานเท่านั้น มันเป็นเวลานานมากแล้วตั้งแต่ที่มีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ในสภาปี้เซวียน ว่ากันว่านอกเหนือจากผู้ก่อตั้งแห่งสภาปี้เซวียน มีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คนอื่นอีกแค่เพียงคนเดียวที่ปรากฏตัวขึ้นประมาณพันปีก่อน หลังจากผู้ฝึกตนคนนั้นตายจากไป ยังไม่มีใครที่สามารถบรรลุเข้าไปถึงดินแดนจิตวิญญาณใหม่ได้อีก และไม่ได้มีหลายคนนักที่สามารถก้าวเข้าไปถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังด้วยเช่นกัน
“แม่นางเยี่ย ท่านช่วยเล่าให้เราฟังเกี่ยวกับกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดอีกได้หรือไม่” ถ้าทัศนคติเดิมของพวกเขาที่มีต่อนางถือว่าสุภาพ ถ้าเช่นนั้นทัศนคติของพวกเขาตอนนี้ก็เต็มไปด้วยความคุ้นเคยและความต้องการที่จะประจบสอพลอ ถึงแม้ทั้งสามคนนี้จะเป็นเด็กจากตระกูลผู้ฝึกตนและโม่เทียนเกอก็อ้างว่าเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยว แต่พวกเขาติดอยู่ในหลินไห่ในขณะที่โม่เทียนเกอมาจากคุนอู๋ นางได้เห็นโลกมามากกว่าที่พวกเขาเคยได้เห็น
ด้วยรอยยิ้ม โม่เทียนเกอพูดว่า “แน่นอน ไม่มีปัญหา”
“กลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดแห่งขั้วท้องฟ้าคือ สำนักเทียนเต้า โรงเรียนเสวียนชิง สำนักกู่เจี้ยน สำนักเจิ้งฝ่า สำนักปี้อวิ๋น สำนักหลิงโซ่ว และโรงเรียนตานติ่ง ในหมู่พวกนั้น สำนักเจิ้งฝ่าตั้งอยู่ในเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดและมีสาขาย่อยแค่ที่เดียวในคุนอู๋ สำนักเทียนเต้าได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พวกเขามีศิษย์จำนวนมากที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มการฝึกตนอื่น มีศิษย์การหลอมรวมพลังงานวิญญาณประมาณหกถึงเจ็ดพันคน…”
โม่เทียนเกอพูดถึงโลกภายนอกให้พวกเขาฟัง แต่ในขณะเดียวกันนางก็ยังค่อยๆ รวมสภาปี้เซวียนเข้ามาในบทสนทนาด้วย เมื่อเห็นว่านางตอบคำถามอย่างจริงใจแค่ไหน ทั้งสามคนจึงพูดถึงสภาปี้เซวียนกับนางโดยไม่มีการสงวนท่าทีเลยแม้แต่น้อย
หลินไห่ไม่อาจจัดได้ว่ามีขนาดใหญ่ มีเมืองใหญ่เพียงเมืองเดียวและมีชาวประมงและชาวนาประมาณหนึ่งหมื่นคนอาศัยอยู่ในบริเวณรอบๆ ดังนั้นขอบเขตของสภาปี้เซวียนจึงไม่ใหญ่เช่นกัน
เมื่อรวมศิษย์ภายนอกเข้าไปในการคำนวณ จำนวนศิษย์ทั้งหมดที่สภาปี้เซวียนมียังแทบไม่ถึงหนึ่งพันคน พวกเขามีศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานประมาณสามสิบหรือสี่สิบคน และผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังสามคน สำหรับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ เป็นเวลานานมากแล้วตั้งแต่ที่พวกเขาเคยมีอยู่คนหนึ่ง ในหมู่ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังสามคน คนหนึ่งอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ขณะที่อีกสองคนอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งคู่
วิธีจัดการของสภาปี้เซวียนเป็นเผด็จการมาโดยตลอด เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มการฝึกตนเดียวในบริเวณนี้ พวกเขาเป็นกลุ่มเดียวเช่นเดียวกับกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงโอหังมากอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยปกติแล้วพวกเขาจะทำตัวราวกับว่าพวกเขาอยู่สูงเหนือทุกคนเวลาปฏิสัมพันธ์กับผู้ฝึกตนเดี่ยว
“โอ้ย!” เหวยจื้อหมิงถอนใจแล้วจึงพูดว่า “น่าเสียดายที่เราไม่สามารถออกไปได้ ถ้าเราทำได้ ข้าจะตามหากลุ่มการฝึกตนอย่างแน่นอนและฝึกตนอย่างพากเพียร เราคงจะไม่ถูกกลุ่มของพวกผู้หญิงบังคับให้ทำนั่นทำนี่แน่”
เมื่อนางได้ยินเรื่องนี้ สายตาของโม่เทียนเกอไปจับอยู่ที่เหวยจื้อหมิง “สหายนักพรตเหวย ท่านรู้สึกว่าท่านถูกพวกผู้หญิงบีบบังคับหรือ”
เมื่อรู้ตัวว่าเขาพูดอะไรไม่ดีออกไป เหวยจื้อหมิงรีบยิ้มและพูดว่า “แม่นางเยี่ย โปรดอย่าเข้าใจข้าผิดไป มันก็แค่… วิธีที่สภาปี้เซวียนจัดการกับเรื่องต่างๆ ค่อนข้างเจ้ากี้เจ้าการ โดยปกติแล้วในหลินไห่ พวกเขามักจะมีอำนาจตัดสินใจสุดท้าย ดังนั้นข้าก็แค่…”
โม่เทียนเกอยิ้มจากนั้นนางพูดแผ่วเบา “ต่อให้สภาปี้เซวียนไม่ใช่กลุ่มการฝึกตนสำหรับผู้ฝึกตนหญิง แล้วมันจะมีความแตกต่างอะไรหรือ คนที่ครองอำนาจยิ่งใหญ่ก็จะกลายเป็นเผด็จการอยู่ดีอย่างเลี่ยงไม่ได้ มันไม่ได้เจาะจงเฉพาะผู้หญิง”
“ใช่ แม่นางเยี่ยพูดถูก” เหวยจื้อหมิงยิ้มเช่นกัน “ข้าเผลอหลุดปากพูดไป”
โม่เทียนเกอโบกมือ “ไม่สำคัญหรอก” นางหยุดครู่หนึ่งสั้นๆ แล้วจึงพูดพร้อมถอนหายใจ “นอกเหนือจากอย่างอื่น ผู้มีอำนาจสูงสุดที่ก่อตั้งสภาปี้เซวียนนี้น่าทึ่งนะ ผู้หญิงเมื่อฝึกตนจนกลายเป็นเซียนมักจะถูกอารมณ์ของตัวเองขัดขวาง ดังนั้นพวกนางจึงมักจะไม่เด็ดขาดมากพอ แต่ถึงอย่างนั้น ผู้มีอำนาจท่านนี้ก็สามารถก่อตั้งรากฐานเช่นนั้นได้ที่นี่ ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ”
นี่เป็นความคิดเห็นของนางโดยแท้จริง มีกลุ่มการฝึกตนสำหรับผู้หญิงในคุนอู๋เช่นกัน แต่ไม่มีที่ไหนที่ทรงอำนาจเท่ากับสภาปี้เซวียน และพวกนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นแค่กลุ่มการฝึกตนขนาดเล็กภายใต้การควบคุมของกลุ่มอื่น สภาปี้เซวียนเป็นกลุ่มการฝึกตนกลุ่มเดียวและใหญ่ที่สุดที่นี่ ถึงแม้ว่าภูมิประเทศที่แตกต่างจะเป็นปัจจัยที่ส่งผล แต่การก่อตั้งกลุ่มการฝึกตนเช่นนั้นให้เป็นที่ยอมรับก็ยังคงยากที่จะทำให้สำเร็จได้
“จริงด้วย” สายตาของหวงจื้อเฟิงเต็มไปด้วยความชื่นชม “ถึงแม้เราจะไม่ชอบวิธีที่สภาปี้เซวียนจัดการเรื่องต่างๆ แต่เมื่อพูดถึงท่านผู้มีอำนาจที่ก่อตั้งสภาปี้เซวียน พวกเราคนในหลินไห่ไม่มีความขุ่นเคืองใจเลยแม้แต่นิดเดียว”
ไม่ใช่แค่หวงจื้อเฟิงที่มีความรู้สึกเช่นนั้น เย่ว์หยางก็พยักหน้าเช่นกันและพูดว่า “สิ่งที่พี่ใหญ่หวงพูดนั้นถูกต้อง ท่านผู้มีอำนาจที่ก่อตั้งสภาปี้เซวียนคือแสงสว่างและมิ่งขวัญในหัวใจของผู้ฝึกตนชาวหลินไห่”
“โอ้” ความสนใจของโม่เทียนเกอถูกกระตุ้น “สหายนักพรตช่วยเล่าให้ข้าฟังเกี่ยวกับนางได้ไหม”
หวงจื้อเฟิงพูดว่า “ถ้าเราจะพูดถึงผู้ก่อตั้งสภาปี้เซวียน ถ้าอย่างนั้นเราต้องเริ่มจากต้นกำเนิดของหลินไห่ก่อน เมื่อแสนปีก่อน ผู้ฝึกตนแห่งฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมในขั้วท้องฟ้าต่างประกาศสงครามกับอีกฝ่าย สุดท้ายฝ่ายอธรรมก็พ่ายแพ้ไป พวกเขาย้ายไปที่ทางเหนือของภูเขามารและไม่ได้ย่างกรายเข้าไปในคุนอู๋อีก เมื่อฝ่ายอธรรมมาถึงที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พวกเขาย้ายไปที่แนวเทือกเขาบนฝั่งทิศเหนือของภูเขามารทันที แนวเทือกเขานี้ถูกปกคลุมไปด้วยป่าทั้งหมด มีภูเขากับหุบเขามากมาย และภูมิประเทศของมันก็ซับซ้อนอย่างมาก บังเอิญว่าทะเลตะวันออกมีพื้นที่ส่วนเล็กๆ ที่ติดกับมัน และพื้นที่เล็กๆ นี้ก็ถูกบีบอัดอยู่ระหว่างแนวเทือกเขาและทะเลตะวันออกพอดิบพอดี ดังนั้นจึงเกิดเป็นแผ่นดินที่แยกอยู่อย่างโดดเดี่ยว ทางตะวันออกคือทะเล ทางตะวันตกคือแนวเทือกเขาที่ฝ่ายอธรรมอาศัยอยู่ ในขณะที่ไม่มีถนนที่สัญจรผ่านไปมาได้ทางทิศเหนือและทิศใต้”
“… คนของหลินไห่ใช้ชีวิตเช่นนั้นมาหลายพันปี แยกตัวจากพื้นที่อื่นๆ ของขั้วท้องฟ้าโดยสิ้นเชิง ที่นี่ วิชาการฝึกตนไม่สมบูรณ์ แหล่งทรัพยากรมีจำกัด และไม่มีผู้ฝึกตนระดับสูง แม้แต่เมื่อใครสักคนที่เก่งๆ ปรากฏตัวขึ้นมา มันก็ยากมากสำหรับพวกเขาที่จะประสบความสำเร็จได้ แม้แต่การปรุงยาและขัดเกลาเครื่องมือก็ยังค่อยๆ สูญหายไปทีละน้อย บางครั้งคราวก็จะมีผู้ฝึกตนที่มายังหลินไห่โดยบังเอิญอยู่เหมือนกัน และพวกเขาก็จะส่งต่อวิชาการฝึกตนเล็กน้อยและกฎของการปรุงยาและการขัดเกลาเครื่องมือไว้ให้เรา”
หวงจื้อเฟิงดื่มชาก่อนจะพูดต่อ “ประมาณหมื่นปีก่อน ผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งได้มาถึงที่นี่โดยบังเอิญ สิ่งที่ทำให้นางแตกต่างจากคนอื่นๆ ก็คือระดับการฝึกตนของนางที่สูงมากเพราะนางเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ในขณะนั้นแม้แต่ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานก็ยังแทบไม่มีให้เห็นในหลินไห่ โดยรวมแล้วมีอยู่แค่หนึ่งหรือสองคน แต่จู่ๆ เราก็มีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ดังนั้นผู้ฝึกตนในหลินไห่ทุกคนจึงมองนางเป็นผู้ที่น่าเคารพที่สุดไปโดยปริยาย คนผู้นั้นคือท่านผู้มีอำนาจระดับจิตวิญญาณใหม่ที่ก่อตั้งสภาปี้เซวียน ปี้สุยหยวนจวิน”
“เมื่อเราบอกว่าปี้สุยหยวนจวินน่าทึ่ง เราไม่ได้พูดถึงการที่นางก่อตั้งสภาปี้เซวียนที่นี่ได้ ด้วยสถานะของนางในฐานะผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ การก่อตั้งกลุ่มการฝึกตนที่นี่นั้นง่ายดายนัก สิ่งที่น่าทึ่งเกี่ยวกับนางก็คือ ไม่เพียงแต่นางจะก่อตั้งกลุ่มการฝึกตน แต่นางยังสร้างเมืองหลินไห่อีกด้วย นางถึงขนาดสร้างม่านพลังเคลื่อนย้าย ทำให้ในที่สุดพวกเราชาวหลินไห่สามารถไปที่อื่นๆ ในขั้วท้องฟ้าได้ผ่านทางม่านพลังเคลื่อนย้าย!”
“ถูกต้อง” เหวยจื้อหมิงพยักหน้า “ส่วนเรื่องว่าทำไมนางถึงตั้งกลุ่มการฝึกตนสำหรับผู้ฝึกตนหญิง คนพูดกันว่าปี้สุยหยวนจวินครั้งหนึ่งเคยช่วยชีวิตผู้ฝึกตนหญิงที่ถูกใช้เป็นร่างเตาหลอมโดยพวกผู้ฝึกตนของคุนอู๋และเพราะเหตุนั้น นางจึงก่อตั้งสภาปี้เซวียนขึ้น”
“เช่นนั้นนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น…” โม่เทียนเกอพูดพึมพำขณะที่นางจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ไม่น่าแปลกใจที่ในสภาปี้เซวียนผู้ฝึกตนหญิงจะมีเกียรติในขณะที่ผู้ฝึกตนชายมีสถานะต้อยต่ำ… ที่จริงแล้วนี่คือเหตุผลสินะ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่เพียงแต่ปี้สุยหยวนจวินจะสมควรได้รับการเคารพแล้ว แต่ศิษย์สภาปี้เซวียนคนอื่นๆ ก็ยังไม่ใช่จอมเผด็จการผู้โหดร้ายอีกด้วย ศิษย์พี่ของพวกนางครั้งหนึ่งเคยถูกกระทำในฐานะร่างเตาหลอมโดยพวกผู้ฝึกตนชาย เป็นธรรมดาที่พวกนางจะไม่ทำตัวดีๆ กับผู้ฝึกตนชาย
การคิดถึงเรื่องนั้นทำให้นางยิ่งรู้สึกเคารพพวกนาง คงจะยากสำหรับผู้ฝึกตนหญิงเหล่านั้นที่ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อพัฒนาตัวเองและยืนอยู่ได้ด้วยลำแข้งตัวเองในท้ายที่สุด