ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 196 บรรลุข้อตกลง
ขณะที่ซย่าชิงกำลังรีบเข้าไปเปิดเตาหลอมแทนนาง โม่เทียนเกอยืนขึ้นในที่สุด
สำหรับการปรุงยา เวลาในการเปิดเตาหลอมครั้งสุดท้ายจะต้องแม่นยำมาก การเปิดเตาหลอมเร็วเกินไปจะทำให้พลังยาสลายไปอย่างรวดเร็วและยาที่ก่อตัวขึ้นจะไม่สม่ำเสมอ ถึงแม้ว่ายาจะก่อตัวสำเร็จ แต่ประสิทธิภาพทางยาของมันก็อาจลดลงเล็กน้อย การเปิดเตาหลอมช้าเกินไปก็ไม่สมควรทำพอกัน ไฟที่ใช้ปรุงยาจะเข้าไปติดอยู่ในยาวิเศษซึ่งทำให้เกิดสารตกค้างอันตรายและส่งผลกระทบต่อความบริสุทธิ์ของยาวิเศษ ทั้งการเปิดเตาเร็วและช้าเกินไปจะส่งผลให้ยาวิเศษนั้นออกมาคุณภาพต่ำ
เพราะฉะนั้นอาจารย์ปรุงยาที่มีคุณวุฒิจะต้องมีความเข้าใจช่วงเวลาเปิดเตาหลอมได้เป็นอย่างดี พวกเขาต้องเปิดเตาที่เวลาแม่นยำ ไม่เร็วเกินไป ไม่ช้าเกินไป เพื่อให้บรรลุประสิทธิภาพทางการรักษาของยานั้นได้สูงที่สุดและไม่เหลือสารตกค้างอันตรายทิ้งไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเชี่ยวชาญกันได้ง่ายๆ แม้แต่อาจารย์ปรุงยาผู้ยิ่งใหญ่ยังคำนวณเวลาพลาดบ้างเป็นบางครั้ง นอกเหนือจากการปรุงยาและวิเคราะห์ช่วงเวลาอย่างต่อเนื่องก็ไม่มีวิธีอื่นที่พวกเขาจะสามารถเชี่ยวชาญได้
ณ ตอนนี้ โม่เทียนเกอสัมผัสได้อย่างเต็มที่ว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่ในเตาหลอม ทันใดนั้นนางเคลื่อนไหวรวดเร็วในชั่วพริบตาและยิงลำแสงแห่งพลังวิญญาณซึ่งรวบฝาเตาให้เปิดขึ้น
ขณะที่ไอน้ำกระจายหายไป กลิ่นหอมหวานแผ่ซ่านในอากาศ ที่ก้นเตาหลอมมียาวิเศษเนื้อแน่นหลายเม็ดซึ่งบริสุทธิ์และไม่มีสีด่างวางนอนอยู่
โม่เทียนเกอถอนหายใจโล่งอก ที่จริงแล้วด้วยทักษะการปรุงยาของนาง นางไม่ได้ทำสำเร็จทุกครั้งในการพยายามปรุงยาจิตวิญญาณแกร่งกล้า ตอนที่แย่ที่สุดนางได้ยามาสิบเม็ดจากเตาหลอมหนึ่งเตาแต่ไม่มีเม็ดไหนที่ออกมาสำเร็จเลย นี่คือสิ่งที่นางจดจำไว้ระหว่างการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิห้าปีก่อนหน้านี้ นางพยายามปรุงยาห้าเม็ดในตอนนี้และทั้งหมดก็ออกมาสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ! ตอนแรกนางคิดว่านางอาจจะทำล้มเหลวอย่างน้อยสองเม็ดเสียอีก…
โม่เทียนเกอไม่ต้องทำอะไรต่อไปเพราะซย่าชิงได้ทำแทนนางเรียบร้อยแล้ว พวกเขาเห็นซย่าชิงกระโจนไปข้างหน้าและคว้ายาวิเศษที่ก้นเตา จากนั้นนางเริ่มแตะและดม และสุดท้ายนางถึงขนาดขูดผงออกจากพื้นผิวและลองชิมมัน เมื่อเห็นการกระทำของนาง จู่ๆ โม่เทียนเกอก็รู้สึกเห็นใจผู้ฝึกตนที่ต้องกินยาวิเศษพวกนี้ภายหลังขึ้นมาทันที น่าจะเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังสามคน ใช่ไหม พวกเขาก็ไม่ได้ผ่านมาง่ายๆ เช่นกัน บางทียาวิเศษทั้งหมดที่พวกเขากินอาจจะเคยถูกคนอื่นชิมมาก่อนแล้วก็เป็นได้
ซย่าชิงคว้าตัวนาง ปลุกนางให้ตื่นจากภวังค์ความคิดและพูดอย่างร้อนรน “สหายนักพรตเยี่ย สอนข้า สอนข้าหน่อย! ท่านเก่งเหลือเกิน! คุณภาพของยาวิเศษที่ท่านทำดีกว่าของข้ามากนัก! ดูที่ความบริสุทธิ์นี่สิ ดูความเงางาม…”
ตั้งแต่นางเข้ามาในเส้นทางสู่ความเป็นเซียน นางได้เจอผู้ฝึกตนหญิงมาจำนวนหนึ่ง ในหมู่พวกนั้นมีคนที่ไร้เดียงสาอย่างมู่หรงเยียน มีชีวิตชีวาอย่างหลัวเฟิงเสวี่ย เป็นมิตรอย่างหันชิงอวี้ เย็นชาและหยิ่งยโสอย่างเว่ยจยาซือ และยังมีผู้ฝึกตนหญิงพวกนั้นที่หลงตัวเองเหมือนอย่างมนุษย์ผู้หญิงทั่วไป แต่อย่างไรก็ตาม นางไม่เคยเจอใครเหมือนอย่างซย่าชิงที่อุทิศตนอย่างเต็มที่ให้กับบางสิ่งและคลั่งไคล้กับสิ่งนั้นมากจนนางไม่สนใจกับสิ่งอื่นใดอีก
โม่เทียนเกอยอมรับว่าตัวนางเองก็บ้าคลั่งกับการฝึกตนเช่นกัน โดยปกติแล้วนอกเหนือจากการฝึกตน การปรุงยา และการศึกษาหนังสือม่านพลังและอื่นๆ นางไม่เคยสนใจในสิ่งอื่นใด อย่างไรก็ตาม นางยังเป็นผู้ฝึกตนธรรมดาเช่นกัน ดังนั้นนางจึงยังวางแผนและออกอุบาย นางไม่มีทางเป็นเหมือนซย่าชิงที่ไม่สนใจกับรูปลักษณ์ของนางหรือไม่สนใจว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกบ้างและแค่อุทิศตนให้กับแวดวงการปรุงยาเพียงอย่างเดียว
คนคลั่งเช่นนั้นแทบไม่เคยมีให้เห็นในหมู่ผู้ฝึกตนชายด้วยซ้ำ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เจอคนแบบนี้
โชคดีที่เว่ยเฮ่าหลานก็อยู่ตรงนั้นด้วย นางดึงซย่าชิงกลับไปแล้วจึงพูดตำหนิ “ศิษย์น้องซย่า เจ้าจะทำให้สหายนักพรตเยี่ยกลัวนะ ถ้าเจ้าต้องการขอคำแนะนำ เราแค่เชิญนางให้อยู่ที่นี่สักสองสามวันก็ได้ เจ้าจะรีบร้อนไปเพื่ออะไร”
“โอ้ๆ จริงด้วย!” ซย่าชิงขอโทษโม่เทียนเกอทันที “สหายนักพรตเยี่ย ขอโทษด้วย ข้าใจร้อนไปหน่อย…”
“ไม่มีปัญหา ข้าเข้าใจ” จากนั้นสายตาของโม่เทียนเกอไปจับอยู่ที่เว่ยเฮ่าหลาน “ท่านเจ้าสำนักเว่ย เกี่ยวกับเรื่องที่เราคุยกันก่อนหน้านี้ เราจะตกลงกันให้เสร็จสิ้นไปเลยทีเดียวได้หรือไม่”
ปฏิกิริยาของซย่าชิงทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกว่าการควบคุมเหนือข้อตกลงนี้เปลี่ยนมาอยู่ในมือนาง สภาปี้เซวียนมีม่านพลังเคลื่อนย้ายเพียงหนึ่งเดียวในบริเวณนี้ แต่นางก็มีศาสตร์แห่งการปรุงยาที่พวกเขาต้องการอย่างเร่งด่วน ทุกคนต่างก็ต้องได้สิ่งที่พวกเขาต้องการทั้งนั้น
บัดนี้เมื่อโม่เทียนเกอพูดถึงข้อตกลงของพวกเขาขึ้นมา สีหน้าเว่ยเฮ่าหลานเปลี่ยนกลับไปเป็นสงบนิ่งทันที นางเหลือบมองที่ซย่าชิงแล้วจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แน่นอน สหายนักพรตเยี่ย งั้นเราไปคุยกันให้เรียบร้อยตอนนี้ดีไหม”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “ดีที่สุด”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะออกไป จู่ๆ ซย่าชิงพุ่งเข้ามาข้างหน้าทันที “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก! ท่านพาสหายนักพรตเยี่ยไปไม่ได้นะ!”
ในชั่วพริบตา โม่เทียนเกอก็ถูกดึงตัวกลับไปและให้หลบอยู่หลังนาง ซย่าชิงเหมือนกับแม่ไก่ที่ปกป้องลูกเจี๊ยบพร้อมจ้องเขม็งไปที่เว่ยเฮ่าหลาน
ทั้งโม่เทียนเกอและเว่ยเฮ่าหลานระเบิดหัวเราะออกมา ในท้ายที่สุดเว่ยเฮ่าหลานจึงปลอบใจนางให้สงบลง “วางใจเถิดศิษย์น้องซย่า ข้าแค่ต้องการพบสหายนักพรตเยี่ยเพราะข้าอยากคุยกับนางเรื่องที่เกี่ยวกับการให้นางสอนปรุงยาแก่เจ้า ถ้าเจ้าอยากจะเรียนวิชาปรุงยาของสหายนักพรตเยี่ย เจ้าไม่ควรสร้างปัญหาอะไรอีกในตอนนี้”
“จริงหรือ” ดวงตาของซย่าชิงเต็มไปด้วยความกังขา นางมองที่เว่ยเฮ่าหลานแล้วจึงมองที่โม่เทียนเกอจากนั้นนางส่ายหน้า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านดึงข้าเข้าไปร่วมในแผนของท่าน”
ครั้งนี้โม่เทียนเกอแอบยิ้มอยู่ลับๆ นางพอเดาได้คร่าวๆ ถึงนิสัยของเว่ยเฮ่าหลาน เว่ยเฮ่าหลานน่าจะเป็นคนที่ให้ความสนใจกับกลุ่มเหนือสิ่งอื่นใด ในขณะที่ซย่าชิงเป็นคนที่ไม่สนใจกับสิ่งใดนอกจากการปรุงยา เมื่อเป็นเช่นนั้น โม่เทียนเกอพบว่ามันคงเชื่อได้ยากถ้าเว่ยเฮ่าหลานไม่เคยรวมซย่าชิงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของนาง
เว่ยเฮ่าหลานถอนใจ “ศิษย์น้องซย่า ข้าเคยดึงเจ้าเข้ามาร่วมในแผนมาก่อนก็จริง แต่การกระทำของข้าเคยไม่ส่งผลดีกับการพัฒนาวิชาปรุงยาของเจ้าด้วยหรือ ในเมื่อสหายนักพรตเยี่ยสามารถช่วยพัฒนาทักษะการปรุงยาของเจ้าได้ ข้าก็ต้องไม่ปล่อยนางไปเป็นธรรมดา”
ซย่าชิงคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่นางจะพยักหน้าด้วยความลังเลในที่สุด “ตกลง ท่านเป็นศิษย์พี่เจ้าสำนัก ดังนั้นครั้งนี้ข้าจะยอมเชื่อฟังท่านอีกครั้ง” หลังจากนางพูดเช่นนั้น ซย่าชิงตบบ่าโม่เทียนเกอ “สหายนักพรตเยี่ย ท่านหนีไม่ได้แล้วนะ โอ้! เราต้องแลกเปลี่ยนความรู้กันก่อน ถ้าท่านต้องการอะไร ข้าจะขอให้อาจารย์ลุงชิงอี้หามาให้ท่านแน่นอน ข้ารับประกันว่าท่านจะไม่สูญเสียอะไรเด็ดขาด!”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “วางใจเถอะสหายนักพรตซย่า ถ้าศิษย์พี่ของท่านตกลงจะช่วยข้า ข้าจะบอกท่านถึงกลเม็ดทั้งหมดที่ข้ามีเกี่ยวกับการปรุงยาอย่างแน่นอน”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี” พอได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด ซย่าชิงหันไปหาเว่ยเฮ่าหลานและพูดอย่างไร้เดียงสา “ศิษย์พี่ ท่านควรจะตอบตกลงกับสิ่งที่สหายนักพรตเยี่ยขอ อาจารย์ปรุงยาที่ยอดเยี่ยมไม่ได้หาเจอได้ง่ายๆ และต่อให้เราเจอเข้าคนหนึ่ง พวกเขาก็อาจจะไม่มีทางบอกเราถึงกลเม็ดของพวกเขา ข้าจึงเรียนรู้จากพวกเขาไม่ได้”
เว่ยเฮ่าหลานรู้สึกปวดหัวขึ้นมา นางพยักหน้าและพูดว่า “ข้ารู้ เจ้าควรกลับไปได้แล้ว”
ในที่สุดซย่าชิงจึงปล่อยตัวโม่เทียนเกอผู้ที่ยิ้มและจับมือเป็นการอำลาอีกครั้งโดยพยายามกลั้นหัวเราะไว้ จากนั้นทั้งสองคนจึงออกไปด้วยกัน
ทั้งสองคนยังคงเงียบมาตลอดทาง พวกเขาไม่ได้เดินไปไกลนักก่อนที่เว่ยเฮ่าหลานจะนำทางนางเข้าไปในห้องโถงจากก่อนหน้านี้อีกครั้ง เว่ยเฮ่าหลานสั่งให้ศิษย์นอกเวลานำมาชาให้และบอกให้พวกเขาออกไป เหลือแค่ทั้งสองคนอยู่ภายในห้องโถง
“แค่ก!” เว่ยเฮ่าหลานกระแอมให้โล่งคอขณะที่เหลือบมองโม่เทียนเกอ “สหายนักพรตเยี่ย ในเมื่อศิษย์น้องของข้าพูดไปเช่นนั้น ตอนนี้ข้าจึงทำได้แค่ต้องซื่อสัตย์กับท่าน ท่านต้องการยืมม่านพลังเคลื่อนย้าย ไม่มีปัญหา ตราบใดที่ท่านสอนทักษะการปรุงยาทั้งหมดของท่านให้กับศิษย์น้องของข้า ท่านก็สามารถใช้ม่านพลังเคลื่อนย้ายได้”
ครั้งนี้โม่เทียนเกอไม่ได้เร่งรีบ นางจิบชาช้าๆ เหมือนยั่วโมโหอยู่สักพักก่อนที่นางจะตอบในที่สุด “สหายนักพรตเว่ย สำหรับอาจารย์ปรุงยามักจะมีบางสิ่งที่ต้องเก็บเป็นความลับและไม่สามารถส่งต่อให้คนอื่นได้เสมอ ถ้าข้าต้องสอนทุกสิ่งที่ข้ารู้ ท่านไม่ควรให้ผลประโยชน์อื่นข้าเพิ่มหรือ สิ่งที่ท่านกำลังขอให้ข้าทำไม่ได้มีค่าแค่สองพันศิลาวิญญาณ ท่านไม่สามารถซื้อเคล็ดลับการปรุงยาได้ด้วยแค่ศิลาวิญญาณหรอกนะ”
สีหน้าของเว่ยเฮ่าหลานหดหู่ขึ้นเมื่อนางได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด “สหายนักพรตเยี่ยต้องการขึ้นราคารึ”
“ข้าไม่บังอาจ” โม่เทียนเกอพูดพร้อมรอยยิ้มจางๆ “ข้าไม่ใช่คนที่ไม่ซาบซึ้งกับความเมตตาของผู้อื่น เราได้ข้อตกลงเบื้องต้นกันแล้วก่อนหน้านี้ ดังนั้นข้าจึงแค่อยากจะปรับข้อตกลงนั้นให้ดีขึ้นอีกสักเล็กน้อย”
สีหน้าของเว่ยเฮ่าหลานดีขึ้นในที่สุด “ตกลง ถ้าสหายนักพรตเยี่ยยังมีคำขออื่นใดอีก สหายนักพรตแค่ต้องบอกข้า ตราบใดที่คำขอของท่านยังมีเหตุผล ในฐานะเจ้าสำนัก ข้าก็ยังสามารถตัดสินใจให้ท่านได้”
“ท่านเจ้าสำนักเว่ยช่างเป็นคนตรงไปตรงมา!” โม่เทียนเกอปรบมือ
เว่ยเฮ่าหลานฝืนตัวเองให้ยิ้ม “สหายนักพรตเยี่ย ท่านควรพูดคำขอของท่านมาก่อน”
แทนที่จะตอบอย่างตรงไปตรงมา โม่เทียนเกอดูเหมือนจะหลงอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองครู่หนึ่ง ที่จริงแล้วกลุ่มการฝึกตนเล็กๆ ที่สันโดษอย่างสภาปี้เซวียนไม่มีอะไรที่นางต้องการ ศิลาวิญญาณ นางก็มีของพวกนั้น ถึงแม้นางจะไม่ได้รวยพอจนสามารถเทียบได้กับพระสุธนกุมาร [1] แต่อย่างน้อยนางก็รวยกว่าผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั่วไป ยาวิเศษก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้นางมีมากได้เท่าที่นางต้องการ นางยังไม่ขาดแคลนเครื่องมือเวทและของอื่นๆ ด้วย ที่จริงแล้วนางสามารถหาอาวุธเวทมากมายหรือแม้แต่หุ่นเชิดระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้ายสองตัวมาได้ด้วยซ้ำ คาดว่าแทบจะไม่มีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานคนไหนที่มีทรัพย์สมบัติอยู่ในครอบครองมากมายเหมือนกับนาง สำหรับพวกวัตถุดิบต่างๆ ที่นี่เป็นเขตทะเลตะวันออก เว่ยเฮ่าหลานบอกนางแล้วว่าผู้ฝึกตนที่นี่ถูกจำกัดโดยการขาดทรัพยากรทางธรรมชาติต่างๆ
“ท่านเจ้าสำนักเว่ย ว่ากันตามตรง ข้าไม่ต้องการศิลาวิญญาณหรือสิ่งของอื่นๆ ข้าแค่ต้องการให้กลุ่มของท่านจัดหาสิ่งหนึ่งมาให้ข้า”
“โอ้” เว่ยเฮ่าหลานค่อนข้างงุนงง นอกเหนือจากศิลาวิญญาณและสิ่งของอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการฝึกตน จะมีของอย่างอื่นอะไรอีกที่ผู้ฝึกตนต้องการ
“ความปลอดภัย” โม่เทียนเกอพูดแผ่วเบา “ข้าจะพูดตามจริงกับท่านเจ้าสำนักเว่ย ครั้งนี้ข้าถูกส่งมาพร้อมกับศัตรูของข้า ถึงแม้เราจะไม่ได้มาถึงพร้อมกัน แต่ข้าก็ไม่สามารถรับประกันได้เช่นกันว่าคนผู้นั้นจะไม่มาลงเอยในหลินไห่”
สีหน้าของเว่ยเฮ่าหลานเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “ศัตรูรึ ระดับการฝึกตนของศัตรูท่านเป็นอย่างไร”
“เขาน่าจะอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้วตอนนี้ เขาเป็นมารผู้ฝึกตน”
“ขั้นต้นของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง…” เว่ยเฮ่าหลานพึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่ได้ถามโม่เทียนเกอว่านางกลายเป็นศัตรูกับคนนั้นได้อย่างไร นางแค่พูดแผ่วเบา “ถ้าเป็นเช่นนั้น สหายนักพรตเยี่ยสามารถวางใจได้ ข้าขอรับประกันความปลอดภัยของท่านตราบใดที่ท่านอยู่กับสภาปี้เซวียน”
“เช่นนั้นก็หมายความว่า… ท่านเจ้าสำนักเว่ยสามารถยืนยันได้ว่าข้าจะออกจากหลินไห่และกลับไปที่คุนอู๋ได้อย่างปลอดภัย”
“ด้วยผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของเราทั้งสามคน เรื่องนี้ไม่น่าเป็นปัญหาตราบใดที่สหายนักพรตเยี่ยไม่ออกไปไหนอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า”
โม่เทียนเกอยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นก็ตกลง ในเมื่อท่านเจ้าสำนักเว่ยตรงไปตรงมากับข้า ข้าก็จะตรงไปตรงมากับท่าน ตราบเท่าที่กลุ่มของท่านยืนยันความปลอดภัยของข้าและยอมให้ข้ายืมม่านพลังเคลื่อนย้ายเพื่อกลับไปยังคุนอู๋ได้ในภายหลัง ข้าก็จะสอนทักษะการปรุงยาของข้าทั้งหมดและจะไม่ปิดบังอะไรอย่างแน่นอน”
สิ่งที่โม่เทียนเกอพูดครั้งนี้ทำให้เว่ยเฮ่าหลานยิ้มออกได้ในที่สุด “ตกลง งั้นนี่ก็คือสิ่งที่เราเห็นพ้องต้องกัน”
โม่เทียนเกอพยักหน้า ทั้งสองคนจับมือกันและให้สาบาน จากนั้นด้วยการใช้ชาแทนเหล้าองุ่น พวกเขาต่างดื่มคนละถ้วย บ่งบอกว่าบัดนี้พวกเขาได้บรรลุข้อตกลงกันอย่างเป็นทางการ
ตอนนี้เมื่อกิจธุระที่แท้จริงจบลง สุดท้ายเว่ยเฮ่าหลานจึงดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย นางพินิจดูโม่เทียนเกอช้าๆ แล้วจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “รูปลักษณ์ปัจจุบันของสหายนักพรตเยี่ยดูไม่เหมือนเป็นผลจากยาคงรูป ข้าเชื่อว่าอายุจริงของท่านจะต้องยังอ่อนวัยมากอยู่เลยใช่ไหม”
ที่จริงแล้วโม่เทียนเกอใช้ยาคงรูป แต่จากอายุขัยของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงาน นางถือได้ว่ายังอายุน้อยด้วยอายุปัจจุบันของนาง ดังนั้นนางจึงยังมีความอ่อนเยาว์ตามธรรมชาติซึ่งผู้ฝึกตนอายุมากที่ใช้ยาคงรูปไม่มี
โม่เทียนเกอแค่พูดอย่างแผ่วเบา “ข้าแค่ได้รับความดูแลจากผู้อาวุโสของข้าซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าจึงสามารถเข้าถึงระดับการฝึกตนปัจจุบันของข้าได้”
ถึงแม้โม่เทียนเกอจะไม่ได้ยอมรับตรงๆ แต่เว่ยเฮ่าหลานก็ยังเข้าใจความหมายของนางได้ “สหายนักพรตเยี่ยทั้งอายุน้อยและมีอนาคต คู่ควรกับการเป็นศิษย์ของกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่”
โม่เทียนเกอยิ้มแต่ไม่ได้ตอบ ถ้าพวกเขายังคงพูดเรื่องเช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะต้องจบลงที่การต่างชมกันไปมาแน่ นางไม่ชินกับการทำเช่นนั้น
เนื่องจากเว่ยเฮ่าหลานเป็นหัวหน้าของกลุ่มการฝึกตน นางจึงมีไหวพริบดีมากกว่าคนทั่วไปเป็นธรรมดา พอเห็นสีหน้าของโม่เทียนเกอ นางจึงพูดว่า “สหายนักพรตเยี่ย ท่านเพิ่งปรุงยาเสร็จ ดังนั้นข้าคิดว่าท่านคงจะเหนื่อยใช่ไหม เรื่องของการสอนทักษะปรุงยาของท่านยังไม่ได้เร่งด่วนมากขนาดนั้น ให้ข้าจัดสถานที่สำหรับให้สหายนักพรตเยี่ยได้พักก่อนไม่ดีรึ”
ที่จริงโม่เทียนเกอก็รู้สึกเหนื่อยดังนั้นนางจึงเห็นด้วยกับข้อเสนอของเว่ยเฮ่าหลาน “ตกลง ขอบคุณที่ลำบาก ท่านเจ้าสำนักเว่ย”
เว่ยเฮ่าหลานโบกมือและเรียกด้วยเสียงดัง “ใครก็ได้!”
ผู้ฝึกตนหญิงระดับการหลอมรวมพลังงานวิญญาณสองคนที่เฝ้าประตูอยู่เข้ามาและโค้งคำนับนาง “ท่านเจ้าสำนัก มีรับสั่งอะไรหรือเจ้าคะ”
เว่ยเฮ่าหลานเผยให้เห็นสีหน้าอีกแบบหนึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าศิษย์ในกลุ่มนาง นางดูเคร่งขรึมและมีอำนาจ “จากวันนี้เป็นต้นไปศิษย์พี่เยี่ยจะมาอาศัยอยู่ในบ้านพักสำหรับแขกผู้มีเกียรติ ในภายหลังเจ้าทั้งสองจะต้องคอยรับใช้นาง เจ้าต้องไม่ปฏิบัติกับนางด้วยความไม่เคารพ เข้าใจไหม”
การได้ยินเจ้าสำนักสั่งอย่างรอบคอบเช่นนั้นทำให้ผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณทั้งสองคนกลัวว่าจะทำอะไรหยาบคายไปแม้แต่นิดเดียว พวกนางรีบโค้งคำนับและตอบว่า “ศิษย์เข้าใจเจ้าค่ะ”
เว่ยเฮ่าหลานพยักหน้า “เท่านี้ล่ะ ไปได้”
“เจ้าค่ะ” จากนั้นทั้งสองคนโค้งอย่างนอบน้อมมาทางโม่เทียนเกอเป็นการทำความเคารพ “ศิษย์พี่เยี่ย เชิญมากับเราด้วยเจ้าค่ะ”
——
[1] พระสุธนกุมาร โดยส่วนใหญ่รู้จักกันในนามพระสุธนและและซั่งไฉ หรือซั่งไฉถงจือในภาษาจีน แปลได้ว่าบุตรแห่งเศรษฐี ปรากฏในศาสนาพุทธ ศาสนาเต๋า