ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 200 คำขอร้อง
เรื่องที่ว่านางควรจะกลับไปหรือไม่ต้องถูกเลื่อนออกไปเพราะนางต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีกหลายเดือนที่สภาปี้เซวียน
การสอนศาสตร์แห่งการปรุงยาไม่ใช่เรื่องง่าย สูตรยาสามารถซื้อขายได้และขั้นตอนต่างๆ ก็สามารถอธิบายได้ แต่แง่มุมที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษในระหว่างกระบวนการปรุงไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนในสูตรยา อาจารย์ปรุงยาทุกคนต่างมีเคล็ดลับของตัวเองที่พวกเขาไม่มีทางส่งต่อให้คนอื่น และเคล็ดลับเหล่านั้นก็คือกุญแจสู่ความสำเร็จในระหว่างกระบวนการปรุงยานั่นเอง
นอกจากนี้ การจะทำท่ามุทราอย่างไรในระหว่างขั้นตอนการปรุงยาก็ไม่ได้ถูกอธิบายไว้อย่างชัดเจนในสูตรยา ยาวิเศษสามัญทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้ท่ามุทรา แต่ยาวิเศษชนิดพิเศษบางอย่างจำเป็นต้องใช้ท่ามุทราร่วมด้วยในระหว่างขั้นตอนปรุงยาเพื่อทำให้วัตถุดิบผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ ท่ามุทราเหล่านี้มักจะต้องมีการดัดแปลงที่เป็นเอกลักษณ์เข้ากับผู้ฝึกตนแต่ละคน ดังนั้นมันจึงแตกต่างจากสิ่งที่เขียนไว้ในสูตรยา การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ที่แตกต่างไปขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและไฟปรุงยาที่ใช้ในระหว่างขั้นตอน ทั้งหมดต้องรวมเข้าด้วยกันอย่างครบถ้วนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์การปรุงยาที่น่าพอใจที่สุด
โชคดีที่ซย่าชิงมีความสามารถมากในการปรุงยา นางจึงสามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว โม่เทียนเกอรู้สึกว่าความเก่งกาจของซย่าชิงล้ำหน้าเกินนางไปมาก แค่เพราะซย่าชิงไม่มีวัตถุดิบคุณภาพสูงให้ได้ฝึกฝนด้วย ดังนั้นทักษะการปรุงยาของนางจึงไม่ได้มีโอกาสพัฒนา
ทีละเล็ก ทีละน้อย โม่เทียนเกอสอนนางทุกอย่างตั้งแต่จะกำหนดระดับการหลอมละลายของวัตถุดิบอย่างไรไปจนถึงแง่มุมไหนที่ควรใส่ใจเมื่อทำท่ามุทราต่างๆ
นางไม่กลัวว่าเว่ยเฮ่าหลานจะไม่รักษาสัญญาหลังจากนางสอนซย่าชิงเสร็จ เมื่อนางมาที่สภาปี้เซวียนตอนแรก นางได้บอกเว่ยเฮ่าหลานไปแล้วว่านางถูกท่านอาจารย์ของนางสั่งให้ออกจากอาราม ด้วยเชาวน์ปัญญาของเว่ยเฮ่าหลาน เว่ยเฮ่าหลานน่าจะรู้ได้ว่านางเป็นศิษย์หัวกะทิของโรงเรียนเสวียนชิงหลังจากได้ยินเช่นนั้น ถึงแม้สภาปี้เซวียนในหลินไห่จะแยกตัวออกจากโลกทั้งหมดและอยู่ห่างจากเสวียนชิงเป็นพันลี้ แต่กลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ มักมีวิธีการติดตามตำแหน่งที่อยู่ของศิษย์พวกเขาอย่างแน่นอน ถ้าโม่เทียนเกอถูกคุมขังอยู่ในสภาปี้เซวียนและโรงเรียนเสวียนชิงรู้เรื่องนั้นเข้า… ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ก็เพียงพอแล้วที่จะส่งกลุ่มการฝึกตนเล็กๆ สู่ความวินาศ
นางศึกษาศาสตร์แห่งการปรุงยากับซย่าชิงทุกวัน และเมื่อนางรู้สึกขี้เกียจบ้างเป็นบางครั้ง นางก็จะพูดคุยถึงวิธีการฝึกตนกับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ของสภาปี้เซวียน เพราะฉะนั้นเวลาหลายเดือนจึงผ่านไปในชั่วพริบตา
“สหายนักพรตซย่า” โม่เทียนเกอร้องเรียกขณะที่นางจ้องซย่าชิงผู้ซึ่งพยายามจะหาน้ำหนักของวัตถุดิบ
ถ้ามีใครคนอื่นเรียกนางในขณะนั้น ซย่าชิงคงไม่เงยหน้าขึ้นมองเป็นแน่ อย่างไรก็ตาม เพราะนั่นคือโม่เทียนเกอ ซย่าชิงจึงเงยหน้าขึ้นทันที “สหายนักพรตเยี่ย ข้าทำผิดหรือ”
“ท่านไม่ได้ทำผิด” โม่เทียนเกอพูดพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นนางหยิบหยกบันทึกหลายแผ่นออกมาจากในชุดคลุมของนางและส่งให้ “มันเป็นเพราะท่านทำได้ดีมากจนข้าไม่มีอะไรสอนท่านต่อไปอีก ในนี้มีสูตรยาบางอย่างอยู่ และข้าก็ได้เขียนสรุปสิ่งที่ท่านต้องเอาใจใส่ไว้ด้วยเช่นกัน”
เมื่อได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด ดวงตาของซย่าชิงเป็นประกายทันใด นางรับหยกบันทึกมาทันทีแล้วจึงใส่จิตสัมผัสของนางเข้าไปในนั้นและอ่านผ่านๆ อย่างกระตือรือร้น
“นี่คือทั้งหมดที่ข้ารู้และข้าก็สอนท่านทุกอย่างไปเรียบร้อยแล้ว ท่านสามารถลองคิดหาคำตอบต่างๆ ได้ด้วยตัวเองจากนี้เป็นต้นไป เมื่อเวลาผ่านไป ทักษะการปรุงยาของท่านจะต้องดีกว่าข้าตอนนี้อย่างแน่นอน”
โม่เทียนเกอรู้สึกว่านางมีหลายสิ่งที่ต้องทำมากเกินไป การฝึกตนคือความสนใจหลักของนาง และปรัชญาแห่งม่านพลังก็เป็นรากฐานสำคัญเช่นกัน ขณะที่การปรุงยายังตามหลังสองสิ่งนั้นในลำดับความสำคัญ แต่ซย่าชิง ในทางกลับกัน กลับอุทิศตนอย่างเต็มที่ให้กับการปรุงยา คาดว่าถึงแม้โม่เทียนเกอจะมีพืชวิญญาณคุณภาพดีมากจนนับไม่ถ้วนไว้ใช้ แต่ความสำเร็จในอนาคตของนางในศาสตร์แห่งการปรุงยาคงจะไม่ยอดเยี่ยมเท่าซย่าชิงแน่
ซย่าชิงหยุดสนใจหยกบันทึกทันที “จบแล้วหรือ สหายนักพรตเยี่ย ข้ายังต้องเรียนรู้อีกมากมายและข้าก็ยังไม่สามารถทำสิ่งที่ท่านทำได้…”
“สหายนักพรตซย่า ทักษะการปรุงยาของข้าไม่ได้ดีกว่าท่านมากมายนัก ข้าทำได้แค่เท่านี้ อย่างไรก็ตาม ในการปรุงยา ท่านต้องทดลองและคิดทบทวนอย่างต่อเนื่อง การปรุงยาไม่ใช่สิ่งที่ท่านทำได้แค่จากการพูดถึง ข้าทำได้แค่ช่วยทำให้เส้นทางของท่านเดินง่ายขึ้นเล็กน้อย แต่จากนี้เป็นต้นไปท่านต้องพึ่งพาตัวเองและลองสิ่งต่างๆ ไปอย่างช้าๆ”
ความเข้าใจของซย่าชิงในศาสตร์แห่งการปรุงยานั้นลึกซึ้งมาก ดังนั้นเมื่อนางได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด นางก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า “ท่านพูดถูก…”
โม่เทียนเกอยิ้ม “เอาละ ท่านควรค่อยๆ ใช้เวลาฝึกฝนไป ข้าจะขอตัวก่อน”
“ตกลง” ซย่าชิงอยากจะศึกษาต่อไป หลังจากนางบอกลากับโม่เทียนเกอ นางรีบจดจ่ออยู่กับการอ่านหยกบันทึก
การเห็นความกระตือรือร้นของนางทำให้โม่เทียนเกอส่ายหน้า จากนั้นนางค่อยๆ เดินออกจากห้องปรุงยา
อี้หลิ่วและอี้ชิวรอนางอยู่ด้านนอกเรียบร้อยแล้ว เมื่อพวกนางเห็นนางออกมา พวกนางโค้งคำนับและทักทายนาง “ศิษย์พี่เยี่ย”
ในระหว่างช่วงเวลานี้ ทั้งสองคนได้รับผลประโยชน์ค่อนข้างมากจากโม่เทียนเกอ ดังนั้นตอนนี้พวกนางจึงเรียกนางว่าศิษย์พี่เยี่ยเพราะความเคารพ
แทนที่จะกลับไปทันทีเหมือนอย่างที่นางทำเป็นปกติ โม่เทียนเกอพูดกับพวกนาง “ข้าต้องการพบท่านเจ้าสำนักของเจ้า”
อี้หลิ่วและอี้ชิวต่างเหลือบมองกัน ทันทีหลังจากนั้นอี้หลิ่วกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ศิษย์พี่กรุณารอตรงนี้ครู่หนึ่ง ศิษย์น้องจะไปแจ้งให้ท่านเจ้าสำนักทราบเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “ตกลง”
อี้หลิ่วโค้งให้นางแล้วจึงรีบวิ่งออกไป
อี้ชิวพูดว่า “ศิษย์พี่ เราค่อนข้างอยู่ไกลจากห้องโถงของท่านเจ้าสำนัก เราอาจจะต้องคอยอี้หลิ่วสักพักหนึ่งเลยทีเดียว งั้นศิษย์น้องพาท่านไปเดินเล่นก่อนดีไหมเจ้าคะ”
“ได้สิ” โม่เทียนเกอตอบตกลงอย่างง่ายดาย
อี้ชิวทิ้งคำสั่งไว้สำหรับอี้หลิ่วผ่านคนงานของห้องปรุงยา จากนั้นจึงนำทางโม่เทียนเกอไปทางสวน
ที่สภาปี้เซวียนมีผู้ฝึกตนหญิงเป็นจำนวนมาก พวกเขาจึงคิดไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีในการจัดทัศนียภาพ นอกเหนือจากสวนสมุนไพรซึ่งทุกกลุ่มการฝึกตนมี พวกเขามีแม้กระทั่งสวนอุทยาน ในสวนเหล่านั้นมีสายพันธุ์พิเศษจากทะเลตะวันออกอยู่มากมาย แต่ละอย่างล้วนสวยงามก่อให้เกิดภาพงดงามน่ามองเป็นอย่างมาก
อี้ชิวพานางไปทางศาลาเล็กๆ ที่อยู่ข้างสวนหินและพูดว่า “ศิษย์พี่เยี่ย ดูดอกไม้พวกนี้สิเจ้าคะ ถึงแม้มันจะไม่ใช่พืชวิญญาณแปลกประหลาดอะไร แต่ท่านก็จะไม่ได้เห็นมันที่ไหนอีกอย่างแน่นอน!”
ขณะที่โม่เทียนเกอมองที่ดอกไม้และต้นไม้เบื้องหน้านาง นางอดไม่ได้ที่จะชื่นชมฝีมือที่เชี่ยวชาญของศิษย์ผู้หญิงแห่งสภาปี้เซวียน นี่เป็นครั้งแรกของนางที่ได้เห็นสวนสวยเช่นนี้ นอกจากสภาปี้เซวียน จะมีกลุ่มการฝึกตนกลุ่มไหนในโลกแห่งการฝึกตนอีกที่คิดจะจัดสวน
ตอนนี้เป็นเดือนที่สิบสองแล้ว ดังนั้นอีกไม่นานก็จะเป็นปีใหม่ นี่ควรจะเป็นเดือนที่หนาวที่สุด แต่สวนนี้มีม่านพลังคอยปกป้องอยู่ ดังนั้นมันจึงยังรู้สึกอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิและดอกไม้ทุกชนิดก็ยังผลิบานอย่างเต็มที่
“โอ้” จู่ๆ อี้ชิวพูดขึ้นมากะทันหัน “อาจารย์ลุงถัง”
สายตาโม่เทียนเกอหันตามไปทางทิศที่อี้ชิวกำลังมองอยู่ นั่นคุณชายถังผู้โด่งดังไม่ใช่รึ ทำไมถึงดูเหมือนเขากำลังแอบดูพวกนางอยู่
เมื่อเห็นว่าพวกนางสังเกตเห็นว่าเขาอยู่ตรงนั้น แก้มของถังเฉินแดงขึ้นทันที โม่เทียนเกอหัวเราะอยู่ในใจ ถังเฉินคนนี้ช่างเหมือนกับหญิงสาวจากตระกูลผู้สูงศักดิ์เสียจริง เขาแก้มแดงง่ายมาก อย่างไรก็ตาม เขาจะเฝ้าดูพวกนางเพื่ออะไร
ขณะที่นางกำลังหมกมุ่นอยู่ในความคิดตัวเอง ถังเฉินกัดฟันราวกับเขาตัดสินใจได้แล้ว จากนั้นเขาเดินเข้ามาหาพวกนาง
โม่เทียนเกอยิ่งรู้สึกงุนงงขึ้นไปอีก ที่ข้างๆ นาง อี้ชิวพูดพึมพำด้วยเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน “อาจารย์ลุงถัง เขาทำอะไร–”
ก่อนที่นางจะทันพูดอะไรต่อไปได้ ถังเฉินเข้ามาถึงและกำลังยืนอยู่ต่อหน้าพวกนาง เขายังคงมองทั้งสองคนอย่างค่อนข้างเหนียมอาย แต่สายตาของเขามาจับอยู่ที่โม่เทียนเกอในท้ายที่สุด เขาพูดด้วยเสียงเบา “ส-สหายนักพรตเยี่ย…”
ในระหว่างช่วงหลายเดือนที่โม่เทียนเกออยู่ที่สถาปี้เซวียน นอกเหนือจากการไปห้องปรุงยา นางออกจากที่พักแค่ตามคำเชิญของเว่ยเฮ่าหลานเพื่อแลกเปลี่ยนวิธีการฝึกตนกันบ้างเป็นบางครั้ง นางเคยเจอถังเฉินแค่ไม่กี่ครั้ง และแต่ละครั้งพวกเขาก็ไม่เคยคุยกันมากมาย อย่างมากที่สุดพวกเขาก็แค่ทักทายกัน
เพราะเหตุนั้น โม่เทียนเกอจึงแค่พยักหน้าน้อยๆ ให้เขา “สหายนักพรตถัง ช่างบังเอิญจริง”
ถังเฉินตอบ “อืม” เขากำลังถูมืออย่างกระสับกระส่ายและเอาแต่จ้องไปที่อี้ชิว
อี้ชิวค่อนข้างสับสนเล็กน้อย แต่ถังเฉินเหลือบมองนางอย่างมีนัยอยู่หลายครั้ง ทันใดนั้นนางก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ถึงแม้นางจะประหลาดใจ แต่ก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของนางเลยแม้แต่น้อย นางโค้งไปทางทั้งสองคนและพูดว่า “ศิษย์พี่เยี่ย อาจารย์ลุงถัง ข้ายังมีเรื่องให้ต้องสะสาง เชิญท่านใช้เวลาคุยกันตามสบาย ข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
โม่เทียนเกอไม่ได้เห็นดีเห็นงามด้วย แต่ถังเฉินพูดอย่างรีบร้อน “ไปสิ”
ในเมื่อถังเฉินพูดเช่นนั้นแล้ว โม่เทียนเกอทำได้แค่กล้ำกลืนคำพูดนางกลับไปและมองตามขณะที่อี้ชิวออกจากสวนไปช้าๆ
มันเป็นเวลาเย็นแล้ว ไม่มีใครเดินเล่นอยู่รอบๆ สวนและไม่มีศิษย์นอกเวลาที่ทำงานอยู่ที่นั่นเช่นกัน ทั้งสองคนเป็นพวกเดียวที่อยู่ที่นั่น
จู่ๆ โม่เทียนเกอก็รู้สึกอยากหัวเราะขึ้นมาทันที หากฉากนี้ถูกคนที่ชื่นชอบคุณชายถังมาเห็นเข้า นางน่าจะกลายเป็นศัตรูของทั้งสภาปี้เซวียนในวันพรุ่งนี้แน่ แล้วคุณชายถังคนนี้มีอะไรอยากจะพูดกับนางกัน
ถึงแม้อี้ชิวจะออกไปแล้ว ถังเฉินก็ยังดูลังเลใจอยู่ บางครั้งเขาจะถูมือของตัวเองและบางครั้งเขาก็จะเช็ดฝ่ามือของเขา
โม่เทียนเกอไม่ชอบเห็นผู้ชายทำตัวเช่นนี้จริงๆ ดังนั้นนางจึงเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน “สหายนักพรตถัง มีอะไรให้ข้าช่วยหรือ”
“อ้า โอ๊ะ!” ถังเฉินตกใจและได้สติจากความคิดตัวเองอีกครั้ง เขากลืนน้ำลาย ดูเหมือนพยายามจะสงบจิตใจตัวเอง “สหายนักพรตเยี่ย ไปนั่งคุยกันตรงนั้นเถอะ”
โม่เทียนเกอมองที่ศาลาอย่างเร็ว มีเพียงแค่โต๊ะตัวเล็กอยู่ที่นั่น ไม่ว่าพวกเขาจะนั่งอย่างไรก็จะดูใกล้ชิดเกินไปสำหรับผู้ที่ได้พบเห็น ดังนั้นนางจึงพูดว่า “มันเหมือนกันหมดถึงแม้เราจะยืนคุยกันก็ตาม”
คำตอบของนางเป็นการบอกปัดอย่างชัดเจน นางไม่อยากให้ดูเหมือนนางสนใจเขาเกินไป ถังเฉินเหลือบมองนางอย่างเร็วด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย แต่อารมณ์ของเขากลับสงบลงอย่างไม่น่าเชื่อ ตั้งแต่เขาเป็นเด็ก เขามีคนชื่นชมมากมาย สภาปี้เซวียนเป็นกลุ่มการฝึกตนสำหรับผู้ฝึกตนหญิง และสหายศิษย์ที่เขาโตมาด้วยทั้งหมดก็มักจะต้องการพยายามตีสนิทกับเขา ดังนั้นเขาจึงคิดเสมอว่าผู้ฝึกตนหญิงทุกคนเป็นเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม เขาเข้าใจได้ว่าสหายนักพรตเยี่ยคนนี้ไม่อยากจะเข้าใกล้เขาเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งทำให้เขารู้สึกโล่งใจและรู้สึกว่าตอนนี้มันง่ายขึ้นที่จะพูดในสิ่งที่เขาอยากพูด
“ข้าได้ยินว่าสหายนักพรตเยี่ยกำลังจะกลับไปที่คุนอู๋อย่างนั้นหรือ”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “ใช่ ข้าสอนทักษะการปรุงยาของข้าให้กับสหายนักพรตซย่าจากกลุ่มของท่านไปจนหมดแล้ว ข้าจะออกจากที่นี่เร็วๆ นี้”
“ถ้าเช่นนั้น…” ถังเฉินแอบเหลือบมองนางอย่างระมัดระวัง “ข้าไปกับสหายนักพรตเยี่ยได้หรือไม่”
โม่เทียนเกออึ้งไปและจ้องเขาเป็นเวลานาน เมื่อนางเห็นสีแดงระเรื่อปรากฏขึ้นบนแก้มเขาอีกครั้ง โม่เทียนเกอจึงพูดแผ่วเบา “สหายนักพรตถัง ในฐานะทายาทสุดที่รักของผู้อาวุโสชิงซี ท่านไม่น่าจะมีปัญหาหากท่านอยากจะออกจากหลินไห่ จริงไหม ทำไมท่านถึงอยากออกไปกับข้า”
ถังเฉินเหลือบมองนางไม่หยุดหย่อนและพูดพึมพำว่า “ถึงแม้ข้าจะสามารถออกไปตอนไหนก็ได้ตามที่ต้องการ แต่ท่านทวดมักจะรู้สึกเป็นห่วงเสมอกับการที่ข้าออกไปตัวคนเดียว สหายศิษย์ผู้หญิงในกลุ่ม… ก็เกาะแกะข้ามากเกินไป สหายศิษย์ผู้ชายก็ไม่เป็นมิตรกับข้าเลยสักนิด ข้า…”
โม่เทียนเกอขมวดคิ้วและพูดด้วยความสับสน “บรรพบุรุษของท่านไม่กังวลหรือว่าข้าจะมีเจตนาไม่ดี”
“ข้าคิดว่าสหายนักพรตเยี่ยไม่ใช่คนไม่ดี” ถังเฉินเหลือบมองนางอีกครั้ง “สหายนักพรตเยี่ยอาจจะหัวเราะเยาะถ้าข้าพูดเช่นนี้ แต่ตั้งแต่ข้าเป็นเด็ก… ตั้งแต่ข้าเป็นเด็ก ข้ามักจะถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มของศิษย์พี่น้องผู้หญิง ดังนั้นข้าจึงไม่ชอบคลุกคลีกับผู้หญิง… แต่สภาปี้เซวียนก็เป็นเช่นนี้ มีผู้ฝึกตนหญิงอยู่ทั่วทุกที่ ข้าได้ยินท่านทวดบอกว่าคุนอู๋ไม่เป็นอย่างนี้ ดังนั้นข้าจึงอยาก–”
“สหายนักพรตถัง” โม่เทียนเกอพูดตัดบทเขา “อภัยให้ข้าด้วยที่ต้องพูดตรงๆ แต่ถ้าท่านไม่เคยออกจากหลินไห่และบรรพบุรุษของท่านรักและทะนุถนอมท่านมาก นั่นก็ยิ่งเป็นเหตุผลที่ข้าจะไม่ออกไปกับท่าน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน ข้าไม่สามารถแบกรับความรับผิดชอบนั้นได้”
“มันไม่ใช่แบบนั้น” หลังจากได้ยินคำปฏิเสธของโม่เทียนเกอ ถังเฉินรีบพูด “ข้าแค่ไม่คุ้นเคยกับคุนอู๋ และสหายนักพรตเยี่ยก็เป็นศิษย์ของโรงเรียนชื่อดัง ดังนั้นข้าจึงอยากตามสหายนักพรตเยี่ยไปดูที่คุนอู๋ ข้าไม่ต้องการให้สหายนักพรตเยี่ยมาแบกรับความรับผิดชอบใด”
“มันอาจจะเป็นเช่นนั้น แต่บรรพบุรุษของท่านจะคิดกับเรื่องนั้นอย่างไร” ถึงแม้นางจะไม่ได้กลัวผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังของสภาปี้เซวียนเลยแม้แต่น้อย แต่โม่เทียนเกอก็ไม่อยากมีปัญหาเช่นกัน “สหายนักพรตถัง ท่านคุยเรื่องนี้กับบรรพบุรุษของท่านแล้วหรือยัง”
ถังเฉินไม่สามารถพูดอะไรได้ เขาอ้ำอึ้งอยู่เป็นเวลานานก่อนที่สุดท้ายเขาจะส่ายหน้า “ข้าอยากจะ… รอจนกระทั่งสหายนักพรตเยี่ยตอบตกลงก่อนที่ข้าจะพูดกับท่านทวด…”
โม่เทียนเกอถอนใจอย่างช่วยไม่ได้เมื่อนางเห็นพฤติกรรมเขาตอนนี้ “สหายนักพรตถัง ข้าไม่อยากให้บรรพบุรุษของท่านคิดว่าข้าลักพาตัวศิษย์ผู้น้อยอันเป็นที่รักของนางไป ดังนั้นท่านควรไปพูดกับนางก่อน นอกจากนี้ พูดกันตามตรง ด้วยนิสัยของสหายนักพรตและวิธีจัดการสิ่งต่างๆ ข้าคิดว่ามันคงจะดีกว่าที่สหายนักพรตจะมีสหายศิษย์ของท่านไปเป็นเพื่อนด้วย ไม่ว่าสหายศิษย์ของท่านจะปฏิบัติต่อท่านอย่างไร พวกเขาก็จะน่าเชื่อถือมากกว่าคนนอกอย่างข้าเสมอ”