ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 201 ผู้อาวุโสชิงเมี่ยว
“สหายหนักพรตเยี่ย…”
ทั้งๆ ที่ถูกปฏิเสธ ถังเซิ่นก็ไม่ยอมแพ้ แต่เพราะเขาใช้คำพูดไม่เก่ง เขาจึงไม่สามารถพูดอะไรได้อีกเพื่อให้เหตุผล เขาทำได้เพียงยังเกาะติดอยู่กับโม่เทียนเกอ
โม่เทียนเกอรู้สึกอับจนหนทางโดยแท้ “สหายนักพรตถัง สุดท้ายข้าต้องตายแน่ถ้าท่านยังทำเช่นนี้ต่อไป”
“หา” ถังเซิ่นดูสับสน
โม่เทียนเกอยิ่งรู้สึกหมดหนทางมากยิ่งขึ้น ถ้าทั้งสองคนถูกใครคนอื่นเห็นเข้าและข่าวลือของการอยู่ด้วยกันของพวกเขาแพร่ออกไป ผู้ชื่นชอบคุณชายถังผู้โด่งดังจะต้องเกลียดนางเข้ากระดูกอย่างแน่นอน พวกนางอาจจะกระโจนเข้าใส่นางพร้อมจ้วงกระบี่ไปด้วยก็เป็นได้! ด้วยนิสัยขี้หึงสุดขั้วของพวกนางแล้วนั้น นางคงไม่สามารถแก้ความเข้าใจผิดอะไรได้แน่ไม่ว่านางจะพูดอะไรก็ตาม
“พี่ใหญ่ถัง!” ขณะที่ความคิดนี้เกิดขึ้นในจิตใจนาง จู่ๆ ทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงเรียกดังขึ้นทันที
โม่เทียนเกอหันไปทางต้นตอเสียงนั้นแต่นางก็ต้องขมวดคิ้วทันที โดยไม่คาดคิด นั่นคือผู้ชื่นชอบที่บ้าคลั่งของคุณชายถังคนนี้ ศิษย์น้องหวา! คนเราสามารถนำพาโชคร้ายมาให้ตัวเองจากการคิดในแง่ร้ายได้จริงๆ! มีคนตั้งมากมายแต่กลับต้องเป็นนางที่มาเห็นพวกเขา นี่ไม่ใช่การรนหาที่ตายหรอกหรือ!
ศิษย์น้องหวาอยู่คนเดียว แต่นางกำลังมุ่งหน้าเข้ามาหาทั้งสองคนอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมจ้องโม่เทียนเกอเขม็ง จากนั้นนางถามอย่างวางท่า “สหายนักพรตเยี่ย ท่านกำลังคุยอะไรกับพี่ใหญ่ถัง”
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนพูด ไม่ใช่ข้า… โม่เทียนเกอคิดอยู่ในใจ โม่เทียนเกอจ้องศิษย์น้องหวาที่ตัวสูงกว่านางถึงครึ่งศีรษะและพูดอย่างเรียบๆ “ไม่มีอะไร สหายนักพรตหวา ท่านถามสหายนักพรตถังได้ตามตรงถ้าท่านอยากรู้”
“ไม่มีอะไร” นางจ้องโม่เทียนเกอด้วยสายตาเฉียบคมเหมือนมีดราวกับนางต้องการฟันใบหน้าของโม่เทียนเกอ
โม่เทียนเกอไม่สงสัยแม้แต่นิดเดียวเลยว่าผู้หญิงคนนี้อยากเอามีดมาเฉือนหน้าของนางทีละชิ้น ทีละชิ้น นางหัวเราะอย่างขมขื่นอยู่ในใจ ถึงแม้ผู้ฝึกตนหญิงของสภาปี้เซวียนจะเข้มแข็ง แต่สุดท้ายแล้วนี่ก็ไม่ใช่โลกที่ผู้หญิงเป็นใหญ่ แม้แต่ผู้ชายนุ่มนิ่มอย่างถังเซิ่นก็น่าจะชอบผู้หญิงดัดจริตอย่างศิษย์น้องอวิ๋นที่โม่เทียนเกอเจอในถ้ำเซียนของจื่อเวยมากกว่า ใช่ไหม แน่นอนล่ะ ผู้หญิงเข้มแข็งก็อาจจะถูกมองว่าน่ารักได้เหมือนกัน แต่ถ้าพละกำลังของพวกนางทำให้พวกนางรุนแรงและบ้าอำนาจ นั่นมันไม่น่ารักเลยสักนิด
โม่เทียนเกอไม่ได้ทำอะไรน่าอาย ดังนั้นนางจึงไม่กลัว นางไม่ถอยแม้แต่นิ้วเดียวและพูดอย่างเย็นชาว่า “สหายนักพรตหวายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”
เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอไม่ได้ดูรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย ศิษย์น้องหวาย่นคิ้วที่แสนได้รูปของนาง “สหายนักพรตเยี่ย ข้าต้องการถามท่านจริงๆ ว่าท่านพยายามจะทำอะไร มันไม่มีปัญหาเลยสักนิด แต่แทนที่จะศึกษาการปรุงยากับศิษย์น้องเซี่ยชิง ทำไมท่านถึงมาคุยกับพี่ใหญ่ถัง” หลังจากโม่เทียนเกอไม่ตอบ ศิษย์น้องหวาจึงก้าวเข้ามาใกล้อีก “สหายนักพรตเยี่ย ข้าต้องเตือนท่านไว้ อย่าเพ้อฝันถึงอะไรที่มันไม่ใช่ของท่าน!”
ถึงแม้นางจะถูกจ้องเขม็งใส่ แต่โม่เทียนเกอก็ไม่ได้ตกใจกลัว ในทางตรงข้าม ยิ่งสถานการณ์ดำเนินต่อไปมากเท่าไร นางก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันยิ่งไร้สาระมากขึ้นเท่านั้น ด้วยความคิดว่าสุดท้ายนางก็จะไปจากที่นี่อยู่ดีและไม่จำเป็นต้องยั้งตัวเองไว้ โม่เทียนเกอเผยอมุมปากเกิดเป็นรอยยิ้มแสยะอย่างเย็นชาบนใบหน้านาง “สหายนักพรตหวา ข้าคิดว่าท่านควรเก็บคำเตือนนั้นไว้เพื่อเตือนตัวเองดีกว่า”
เห็นได้ชัดว่าศิษย์น้องหวาไม่ได้คาดคิดว่าโม่เทียนเกอจะสวนกลับ และยิ่งไปกว่านั้น โม่เทียนเกอทำไปโดยไม่ถนอมน้ำใจแม้แต่น้อย นางจึงตกตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อในที่สุดนางเข้าใจคำพูดของโม่เทียนเกอ นางจึงโกรธจนเดือดดาลขึ้นทันที “เยี่ยเสี่ยวเทียน! อย่าเนรคุณและไร้ยางอายไปหน่อยเลย!”
ยิ่งศิษย์น้องหวาโกรธมากขึ้นเท่าไหร่ โม่เทียนเกอก็ยิ่งสงบนิ่งมากขึ้นเท่านั้น มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของโม่เทียนเกอด้วยซ้ำขณะที่นางพูดว่า “สหายนักพรตหวา ท่านอยากจะให้บทเรียนสั่งสอนข้ามานานแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมจนถึงตอนนี้ท่านยังไม่ทำอะไรเสียทีเล่า ข้าเองก็อยากจะให้คำแนะนำกับท่านเช่นกัน กบที่อยู่ก้นบ่อไม่ควรพูดถึงมหาสมุทร สหายนักพรตหวา นิสัยแบบนี้ของท่านคงจะไม่เป็นอะไรถ้าท่านอยู่ในหลินไห่ไปทั้งชีวิต แต่ถ้าท่านได้ไปที่คุนอู๋ละก็… ฮึ่ม!”
“เจ้า–” สีหน้าศิษย์น้องหวาเปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อได้ยินคำพูดขวานผ่าซากของโม่เทียนเกอ นอกเหนือจากผู้อาวุโสทั้งสามคน ทั้งสภาปี้เซวียนไม่เคยมีใครกล้าพูดกับนางเช่นนี้! แต่ถึงอย่างไรสีหน้าเยือกเย็นของโม่เทียนเกอก็ทำให้ความมั่นใจของนางลดลงเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น มันยังทำให้ศิษย์น้องหวาจำได้ด้วยว่าผู้อาวุโสของนางพูดอะไรไว้เมื่อหลายเดือนก่อน
“เจ้าอยากจะให้บทเรียนกับเยี่ยเสี่ยวเทียนคนนั้นน่ะรึ แม่นางสาม เจ้านี่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ!”
ด้วยความไม่เชื่อ นางเถียงว่า “ท่านทวด นางเป็นแค่ผู้ฝึกตนจากคุนอู๋ ให้บทเรียนนางแล้วมันผิดตรงไหน ตอนนี้นางขอความช่วยเหลือจากเรา แต่นางดันบังอาจหยาบคายใส่ข้า!”
เมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด ท่านทวดของนาง ผู้อาวุโสชิงเมี่ยว จึงสะบัดแขนเสื้อและส่งเสียง “ฮึ่ม” อย่างเย็นชา “ข้าบอกว่าเจ้าไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ แต่เจ้าก็ยังไม่อยากยอมรับมัน! แม่เจ้าตามใจเจ้าเกินไปตั้งแต่ยังเด็ก! แค่ผู้ฝึกตนจากคุนอู๋งั้นรึ เจ้าก็อยู่ที่นั่นตอนที่ศิษย์พี่เจ้าสำนักของเจ้ารายงานเรื่องนี้ให้เราฟัง เจ้าไม่ได้ยินหรือไงว่านางเป็นผู้ฝึกตนจากโรงเรียนเสวียนชิงน่ะ”
“แต่นางเป็นแค่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงาน ไม่ได้มีอะไรวิเศษวิโสเสียหน่อย…”
“นางยังพูดอีกว่านางถูกท่านอาจารย์สั่งให้ออกจากภูเขาและท่องเที่ยวไปทั่ว!” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวจ้องนางเขม็ง รู้สึกไม่พอใจเพราะคาดหวังกับนางไว้ดีกว่านี้ “ในโรงเรียนเสวียนชิง มีแค่ผู้ฝึกตนในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและดินแดนสูงกว่าเท่านั้นที่สามารถรับศิษย์ได้ ท่านอาจารย์ของนางต้องเป็นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังแน่นอน! ถ้านางได้รับการสนับสนุน สถานะของนางในโรงเรียนก็ไม่ต่ำต้อยไปกว่าสถานะของเจ้า! จำนวนผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่พวกเขามีนั้นมากกว่าจำนวนผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่เรามี เราไม่อาจทำให้พวกเขาขุ่นเคืองใจได้!”
นางอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่สามารถพูดอะไรตอบได้ นางเกิดมาเป็นทายาทสายตรงของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและนางก็ได้รับความรักและตามใจอย่างเต็มที่ แต่กระนั้นผู้ฝึกตนต่างถิ่นอาจจะมีสถานะที่ไม่ต่ำไปกว่านาง…
หลังจากดึงจิตใจที่ล่องลอยไปกลับมา นางมองโม่เทียนเกอที่มองนางกลับมาอย่างเหยียดหยาม นั่นคือสีหน้าที่นางมักจะใช้กับคนอื่น เมื่อไหร่กันที่คนอื่นเคยทำสีหน้าแบบนั้นใส่นาง ด้วยความเดือดดาลสุดขีด นางด่าว่าโม่เทียนเกออย่างไม่มีเหตุผล “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครถึงกล้าพูดกับข้าเช่นนั้น!”
“แล้วท่านคิดว่าท่านเป็นใครล่ะ” โม่เทียนเกอยิ้มและพูดอย่างใจเย็น “ระดับการฝึกตนของท่านไม่ได้สูงมาก และท่านก็ไม่มีส่วนดีอะไรเลย แค่เพราะท่านมีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเป็นผู้อาวุโส ท่านคิดว่าท่านดีเลิศนักหนางั้นรึ พี่สาว ถ้านี่เป็นสภาพจิตของท่านจริงๆ งั้นก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับท่านที่จะคิดถึงเรื่องการก่อขุมพลังในชั่วชีวิตนี้ เชิญท่านอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานและฝันเฟื่องต่อไปจนตาย!”
“เจ้า–” โดยไม่พูดอะไรต่อไปอีก นางดึงกระบี่บินของนางออกมา ต้องการจะแทงโม่เทียนเกอด้วยกระบี่เล่มนั้น
ขณะที่โม่เทียนเกอถอยหลังไปหนึ่งก้าว นางมองไปที่มุมหนึ่งซึ่งถังเซิ่นกำลังอ้าปากค้างและจ้องมองทั้งสองคน “สหายนักพรตถัง!”
“หา” ถังเซิ่นงุนงงจนไม่รู้ว่าต้องทำอะไร
“ท่านจะยืนมองศิษย์น้องของท่านโจมตีแขกภายในกลุ่มของท่านอย่างนั้นหรือ”
“… โอ้” ถังเซิ่นไม่ได้เข้าใจคำพูดของนางและรีบคว้าเครื่องมือเวทของเขาออกมา “ศิษย์น้องหวา!”
ศิษย์น้องหวายิ่งดูโกรธมากขึ้นที่เห็นถังเซิ่นปกป้องโม่เทียนเกอ “พี่ใหญ่ถัง ท่าน! ท่านอยากจะสู้กับข้าเพื่อนางอย่างนั้นรึ!”
ถังเซิ่นไม่ได้มั่นใจมากนัก แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยังรวบรวมความกล้าและพูดว่า “แต่สหายนักพรตเยี่ยเป็นแขกคนสำคัญของเรา เจ้าจะทำร้ายแขกได้อย่างไร”
“แขกคนสำคัญเรอะ” ศิษย์น้องหวาเยาะเย้ย “ท่านเคยเห็นแขกที่ดูถูกเจ้าบ้านของพวกเขาอย่างนั้นหรือ นางเป็นคนที่เย้ยข้าก่อน”
“ที่นางพูดก็ไม่ผิด!” เสียงที่ฟังดูน่าเกรงขามดังขึ้นจากด้านข้าง
ทั้งสามคนหันหน้าไปมองที่ประตูสวนซึ่งผู้หญิงวัยกลางคนในชุดที่เรียบร้อยและเรียบง่ายกำลังยืนอยู่ ณ ตอนนี้
ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจะอายุประมาณสี่สิบปี แต่บนใบหน้านางไม่มีรอยเ**่ยวย่นเลยแม้แต่นิดเดียว นางดูสง่างามและน่าเกรงขาม
ที่ตามหลังนางมาคือสาวใช้ถือโคมหลายคน พวกนางเงียบมากและไม่ทำเสียงดังใดๆ
เมื่อพวกเขาเห็นคนคนนั้น ทั้งถังเซิ่นและศิษย์น้องหวาต่างตกใจ แต่หลังจากนั้นพวกเขารีบเก็บอาวุธเวทของตัวเองทันทีและคุกเข่าเพื่อทำความเคารพนาง
“ท่านทวด”
“คารวะท่านผู้อาวุโส”
“อืม” ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้า ขณะที่นางเดินมาหาพวกเขาช้าๆ สายตาเฉียบแหลมของนางจับจ้องอยู่ที่โม่เทียนเกอ
โม่เทียนเกอเผยรอยยิ้มจางๆ จากนั้นจึงประสานมือในท่าทางที่ไม่ได้ถ่อมตัวแต่ก็ไม่ได้โอหังเพื่อทำความเคารพนาง “ศิษย์น้องเยี่ยเสี่ยวเทียนขอคารวะผู้อาวุโสชิงเมี่ยว”
การชมเชยปรากฏแฝงอยู่ในสายตาของผู้หญิงคนนั้นเมื่อนางได้ยินคำทักทายของโม่เทียนเกอ จากนั้นนางตอบช้าๆ “ไม่จำเป็นต้องสุภาพเกินไป… เจ้าเป็นเด็กฉลาดอย่างไม่น่าเชื่อ”
โม่เทียนเกอลดมือลง ก้มหน้ามองเล็กน้อยและไม่ได้ตอบอะไร
ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวก็หยุดมองนางเช่นกัน สายตานางตอนนี้ไปจับอยู่ที่ศิษย์ผู้น้อยสองคนของนางที่กำลังคุกเข่าอยู่ “เฉินเอ๋อร์ ลุกขึ้น”
ถังเซิ่นเงยหน้ามองอย่างกังวลเล็กน้อยก่อนที่ในที่สุดเขาจะตอบด้วยเสียงต่ำๆ “ขอรับ ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสเป็นอย่างมาก”
ศิษย์น้องหวาก็อยากจะลุกขึ้นเช่นกัน แต่เมื่อนางเงยหน้าและเห็นสายตาเข้มงวดมุ่งตรงมาที่นาง นางจึงสูญสิ้นความกล้าไป นางยังคงคุกเข่าต่อไปพร้อมทั้งกัดปากแน่น
พวกสาวใช้เก็บกวาดสภาพยุ่งเหยิงในศาลา พวกนางจัดเรียงจาน ถ้วย และหมอนใหม่อีกครั้ง พร้อมทั้งถอยออกไปอยู่ด้านข้าง
ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวเข้าไปในศาลาเล็กนั้นเพื่อนั่งลง นางรับชาที่สาวใช้เพิ่งชงเสร็จและจิบช้าๆ ก่อนจะพูดขึ้นในที่สุด “หลินเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าน่าจะอายุมากกว่าสี่สิบปีแล้วใช่ไหม”
ศิษย์น้องหวาผู้ที่ยังคงคุกเข่าอยู่กับพื้นพูดพึมพำว่า “เจ้าค่ะ” เป็นคำตอบ
โม่เทียนเกอที่ยืนอยู่ด้านข้างแสยะยิ้ม ที่จริงแล้วย้อนไปตอนที่นางเรียกนางว่า “พี่สาว” นางแค่ต้องการยั่วโมโหผู้หญิงคนนี้ อย่างไรก็ตาม โดยไม่คาดคิด ผู้หญิงคนนี้ดันแก่กว่านางจริง! เมื่อเป็นเช่นนั้น ทุกสิ่งที่นางพูดก็ไม่อาจถือได้ว่าไม่เป็นธรรมแก่นาง
นางอายุมากกว่าสี่สิบปีแล้ว ทว่านางยังทำตัวดื้อด้านเช่นนี้ ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานมีชีวิตอยู่ได้ประมาณสามร้อยปี แต่ตามวิธีที่ศิษย์น้องหวาใช้ชีวิตมาจนถึงตอนนี้ ต่อให้นางมีชีวิตอยู่จนถึงอายุสามร้อยปี นางก็จะยังไม่ก้าวหน้า ไม่มีทางเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ตลอดชีวิต และต่อให้นางสามารถก้าวหน้าถึงขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน การพัฒนาถึงขั้นสุดท้ายก็จะต้องยากเย็นสำหรับนางอย่างแน่นอน
ผู้อาวุโสชิงเมี่ยววางถ้วยลง สายตาของนางเย็นชายิ่งขึ้น “มากกว่าสี่สิบปีและเจ้าไม่ละอายใจที่จะยอมรับมัน! ข้าบอกเจ้าตั้งนานแล้วว่าไม่ให้คิดหยิ่งผยองมากเกินไป แต่เจ้าก็ไม่เคยเก็บสิ่งที่ข้าพูดกลับไปคิด!”
“แต่ท่านทวด–”
“แต่อะไร” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวตัดบทนางและตบโต๊ะ “หวาอี้หลิน เจ้าคิดว่าแค่เพราะเจ้ามีข้า หญิงชราคนนี้ เป็นคนคอยหนุนหลังเจ้า แล้วเจ้าจะทำอะไรก็ได้ตามต้องการอย่างนั้นหรือ แม่เจ้าไม่เคยสอนเจ้าให้เหมาะสมและตัวเจ้าเองก็ไม่เคยทำตามตัวอย่างที่ดีอะไรเลย! มันคงจะไม่เป็นอะไรมากหากเจ้ามีทักษะและสามารถก่อขุมพลังด้วยตัวเองได้ แต่ตอนนี้สถานะของเจ้าเป็นอย่างไร เจ้าอยู่แค่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานและเจ้าก็ไม่เคยคิดจะพัฒนาตัวเอง!”
โม่เทียนเกอยืนอยู่ด้านข้างกำลังมองพวกเขาอย่างไม่ยินดียินร้าย งั้นชื่อของศิษย์น้องหวาคนนี้ก็คือหวาอี้หลิน… ช่างน่าเสียดายชื่อที่ดีจริงๆ
หวาอี้หลินที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นเม้มปากแน่นแต่ไม่ได้พูดอะไร
ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวจ้องนางอย่างโกรธๆ “อะไร เจ้ายังรู้สึกว่าเจ้าถูกเข้าใจผิดอย่างนั้นหรือ ข้าคิดว่าสิ่งที่สหายนักพรตตัวน้อยคนนี้พูดนั้นไม่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว! เจ้าคิดว่าเจ้าดีเลิศเลอแค่เพราะเจ้ามีผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง แต่เจ้าจะหวังพึ่งข้าไปตลอดชีวิตได้ไหม! เจ้าจะไม่ข้ามผ่านดินแดนในภายหลังแล้วหรืออย่างไร ครั้งล่าสุดที่เราส่งศิษย์ออกไปภายนอก ข้าน่าจะโยนเจ้าออกไปกับพวกเขาด้วยและปล่อยให้เจ้าไปหาประสบการณ์ที่คุนอู๋เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่เป็นความอัปยศในอนาคต!”
คำพูดเหล่านี้ทั้งรุนแรงและไร้ความปรานี ดวงตาของหวาอี้หลินแดงขึ้นและนางจ้องโม่เทียนเกออย่างเกรี้ยวกราด แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่กล้าปฏิเสธ
ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวยิ่งโกรธมากขึ้น “อะไร เจ้ารับไม่ได้งั้นรึ ได้! มีแขกอยู่ที่นี่กับเราดังนั้นข้าจะไม่สั่งสอนเจ้ามากมาย เจ้าไปสำนึกด้วยตัวเอง หันหน้าเข้ากำแพงและทำสมาธิซะ! เจ้าห้ามออกไปข้างนอกจนกว่าข้าจะสั่งอย่างอื่น!”
“ท่านทวด!” หวาอี้หลินรู้สึกกลัว น้ำตาเริ่มไหลหลั่ง “ข้า…”
“ไปเดี๋ยวนี้!” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวถลึงตาใส่นาง ไม่แสดงความปรานีเลยแม้แต่น้อย
นางกัดปาก แต่สุดท้ายนางก็ยืนขึ้นและรีบออกไป
หลังจากเห็นนางออกไปอย่างเชื่อฟัง สีหน้าของผู้อาวุโสชิงเมี่ยวจึงผ่อนคลายลง จากนั้นนางเหลือบมองถังเซิ่นและพูดว่า “เฉินเอ๋อร์ ไปดูแลท่านทวดของเจ้าถ้าเจ้าไม่มีอะไรอย่างอื่นทำ นางกำลังตามหาเจ้าอยู่เมื่อครู่นี้”
ราวกับเขาเพิ่งได้รับการอภัยโทษ ถังเซิ่นรีบโค้งคำนับทันทีและพูดว่า “ขอรับ” จากนั้นเขารีบหนีออกไปทันที
ในชั่วพริบตา นอกเหนือจากโม่เทียนเกอ คนพวกเดียวที่เหลืออยู่คือผู้อาวุโสชิงเมี่ยวและสาวใช้ของนาง
สายตาของโม่เทียนเกอส่ายไปมา สุดท้ายนางก็เลือกที่จะอยู่เงียบๆ นางแสร้งทำท่าทางที่นางมักจะใช้เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสของนางที่โรงเรียนเสวียนชิง นางก้มหัวลงและยืนอยู่เงียบๆ ที่ด้านข้างในกิริยาที่ดูเรียบร้อย
ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวไม่ได้สนใจนาง นางแค่รับผ้าเช็ดหน้าที่สาวใช้ของนางยื่นให้และเช็ดหน้าเบาๆ เพียงหลังจากที่นางเช็ดเสร็จนางจึงมองมาที่โม่เทียนเกอในที่สุด
นางมองอย่างสนอกสนใจมากและนางก็ยังคงมองอยู่เป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม สีหน้าของโม่เทียนเกอยังคงสงบนิ่งอยู่ตลอดเวลา
เมื่อผู้อาวุโสชิงเมี่ยวละสายตาไปในที่สุด นางยกถ้วยชาของนางขึ้นมาอีกครั้งและพูดช้าๆ ว่า “สหายนักพรตตัวน้อย เจ้า… ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!”