ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 203 ได้รับสัตว์วิเศษ
เมื่อพวกเขาคุยธุระเร่งด่วนกันเสร็จเรียบร้อย พวกเขายังคงคุยต่อไปอีกสักพักก่อนที่ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวจะกลับไปในที่สุด
โม่เทียนเกอถอนใจด้วยความโล่งอก ทุกสิ่งที่นางพูดกับผู้อาวุโสชิงเมี่ยวนั้นจริงครึ่งเท็จครึ่ง ถึงแม้นางจะไม่ได้กังวลว่าผู้อาวุโสชิงเมี่ยวจะปฏิบัติกับนางอย่างหยาบคาย แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่นางจะรู้สึกผ่อนคลายต่อหน้าผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง
ขณะที่ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวออกไป อี้หลิ่วและอี้ชิวเข้ามาหา “ศิษย์พี่เยี่ย”
“อืม” โม่เทียนเกอพูดพร้อมกับเช็ดหน้า “ทำไมพวกเจ้าใช้เวลานานนัก”
อี้หลิ่วพูด “ศิษย์น้องกลับมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่เพราะผู้อาวุโสชิงเมี่ยวอยู่ที่นี่ ศิษย์น้องจึงไม่กล้าขัดจังหวะการสนทนาของท่านเจ้าค่ะ”
แม้อาจจะเป็นเช่นนั้น แต่นางน่าจะกลับมาแล้วตอนที่หวาอี้หลินอยู่ที่นี่แต่ไม่กล้าเข้ามา ท้ายที่สุดแล้ว แม้จะเป็นความจริงที่ห้องโถงของเจ้าสำนักนั้นอยู่ไกล แต่นางก็ไม่ควรใช้เวลานานขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอไม่ได้โทษพวกนาง สุดท้ายแล้วพวกนางก็เป็นศิษย์ของสภาปี้เซวียน พวกนางต้องไม่ทำให้ทายาทของผู้อาวุโสโกรธเคืองแน่นอนอยู่แล้ว
“เจ้าได้คุยกับท่านเจ้าสำนักเว่ยหรือยัง”
อี้หลิ่วตอบ “ศิษย์น้องอธิบายให้ท่านเจ้าสำนักฟังแล้วเจ้าค่ะ และนางก็บอกข้าว่าให้เชิญศิษย์พี่ไปที่ห้องโถงของนางเพื่อคุยกัน”
แต่เดิมนางต้องการพบเว่ยเฮ่าหลานเพื่อคุยเกี่ยวกับการออกจากที่นี่ของนาง ทว่าตอนนี้เมื่อผู้อาวุโสชิงเมี่ยวพูดเรื่องพวกนั้นกับนาง นางจึงไม่จำเป็นต้องพูดถึงมันอีก อย่างไรก็ตาม คำขอของผู้อาวุโสชิงเมี่ยวก็น่าจะต้องปรึกษากับเว่ยเฮ่าหลานเหมือนกัน ท้ายที่สุดแล้วพวกผู้อาวุโสเพิ่งจะขอร้องเช่นนั้นมา บางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการทำตามคำขอนั้นยังต้องให้เจ้าสำนักเป็นคนจัดการอยู่ดี
โม่เทียนเกอพูดว่า “อืม ไปกันเถอะ” ยิ่งไปกว่านั้น นางคิดว่านางน่าจะบอกเว่ยเฮ่าหลานเกี่ยวกับถังเซิ่นด้วย ในกรณีที่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ นางไม่อยากถูกลากเข้ามาในเรื่องนี้
นางเดินอย่างเงียบๆ เมื่อนางมาถึงห้องโถง เว่ยเฮ่าหลานรอนางอยู่แล้ว เว่ยเฮ่าหลานที่เห็นนางมาถึงจึงเข้ามาหานางอย่างรักใคร่และต้อนรับนาง “สหายนักพรตเยี่ย ข้าขอโทษจริงๆ ที่ทำให้ท่านต้องรอนาน ข้าวุ่นวายกับกิจธุระประจำวันบางอย่างอยู่”
โม่เทียนเกอยิ้มและตอบกลับการทักทาย “ท่านเจ้าสำนักเว่ยสุภาพเกินไปแล้ว ท่านไม่ได้ทำให้ข้ารอหรอก ตรงกันข้าม ข้าต่างหากที่มาสาย”
เว่ยเฮ่าหลานเชิญให้นางเข้ามา และพวกเขาต่างก็นั่งอยู่ในที่นั่งหลักและที่นั่งแขก สาวใช้คนหนึ่งนำชาเข้ามาให้ ในช่วงเวลาหลายเดือนที่โม่เทียนเกออยู่ที่นั่น สภาปี้เซวียนมักจะดูแลนางอย่างยอดเยี่ยมในฐานะแขกของพวกเขา
เมื่อทั้งสองคนนั่งลง เว่ยเฮ่าหลานพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีความคิดบางอย่างว่าทำไมสหายนักพรตเยี่ยถึงต้องการพบข้าวันนี้ แต่… สหายนักพรตเยี่ยคงจะได้เจอกับผู้อาวุโสชิงเมี่ยวของกลุ่มข้าแล้วใช่หรือไม่
โม่เทียนเกอตอบไปตามตรง “ใช่ แต่เดิมข้ามาเพื่อขอลา แต่ตอนนี้มันไม่จำเป็นอีกแล้ว”
เว่ยเฮ่าหลานดูเหมือนจะรู้ถึงแผนของผู้อาวุโสชิงเมี่ยวมานานแล้ว ดังนั้นเมื่อนางได้ยินคำตอบของโม่เทียนเกอ นางจึงพูดทันที “ดูเหมือนว่าสหายนักพรตเยี่ยจะตอบรับคำขอของผู้อาวุโสชิงเมี่ยวสินะ”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “ในเมื่อผู้อาวุโสชิงเมี่ยวขอข้าอย่างจริงใจ ข้าจึงทำได้แค่ต้องรบกวนน้ำใจของท่านเจ้าสำนักไปอีกหลายวัน”
เว่ยเฮ่าหลานยิ้มอย่างยินดี “สหายนักพรตเยี่ยพูดอะไรกัน ทุกคนในกลุ่มจะต้องดีใจถ้าท่านอยู่ต่อนานขึ้น แต่… มีอะไรที่สหายนักพรตเยี่ยต้องการให้เราเตรียมการสำหรับเรื่องนี้หรือไม่ ถ้ามีอะไรที่ท่านไม่ชอบใจ โปรดอย่าลังเลที่จะบอกเรา”
“เกี่ยวกับเรื่องนี้…” โม่เทียนเกอครุ่นคิด เรื่องที่เกี่ยวกับการปรุงยาซึ่งไม่ถูกใจนางมีมากทีเดียว ตัวอย่างเช่น พลังวิญญาณในที่ที่ห้องปรุงยาตั้งอยู่ไม่ท่วมท้นมากพอ คุณภาพของเตาหลอมไม่สูงพอ ไฟโลกีย์ไม่ดีพอ… แต่ถึงอย่างไรสภาปี้เซวียนก็ไม่ได้มีสิ่งที่จะมาเติมเต็มความต้องการของนางได้
“ท่านเจ้าสำนักเว่ย ไฟโลกีย์ในห้องปรุงยาของท่านสามารถใช้ปรุงยาวิเศษอื่นๆ ได้ แต่มันยังไม่ค่อยดีพอสำหรับการปรุงยาฟ้ากระจ่าง ไฟในการปรุงยาที่ดีกว่านี้น่าจะเพิ่มโอกาสของการปรุงยาสำเร็จได้”
“โอ้” เว่ยเฮ่าหลานพูดทันทีว่า “ไฟในการปรุงยาแบบไหนที่สหายนักพรตเยี่ยคิดว่าเราควรใช้แทนหรือ ถ้าเราสามารถหามาได้ ข้าจะส่งกำลังของทั้งกลุ่มข้าเพื่อไปหามาให้ท่านอย่างแน่นอน”
โม่เทียนเกอยิ้ม “นั่นคงไม่จำเป็นหรอก เมื่อเราพูดกันถึงไฟในการปรุงยา ไฟที่ธรรมดาที่สุดโดยปกติแล้วคือไฟตานเถียนของผู้ฝึกตน และหลังจากนั้นก็คือไฟภายนอกซึ่งรวมถึงไฟโลกีย์และไฟสวรรค์ ไฟที่ดีที่สุดในนั้นคือไฟแท้ที่ยิ่งใหญ่ทั้งสาม นั่นคือไฟสุริยัน ไฟขั้วโลก และไฟสมาธิ ในไฟทั้งสามชนิดนี้ ที่พบเจอได้ง่ายที่สุดคือไฟขั้วโลก โดยปกติมันจะมีอยู่เมื่อเส้นเลือดไฟโลกีย์เข้าถึงคุณภาพระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถปรากฏขึ้นได้แค่เพราะเราอยากให้มันเกิด เพราะฉะนั้น หลังจากคิดเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วน ข้าทำได้แค่ต้องขอให้ผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งสามช่วยข้า”
ด้วยความงุนงง เว่ยเฮ่าหลานถามว่า “ผู้อาวุโสทั้งสามต้องทำอะไรเพื่อหาไฟในการปรุงยาที่ดีอย่างนั้นหรือ”
“เราไม่จำเป็นต้องตามหา” โม่เทียนเกอพูดขณะที่นางส่ายหน้า “เราทำได้แค่บังเอิญเจอไฟสุริยันเท่านั้น และมันก็นานหลายปีมาแล้วตั้งแต่ที่มีคนเจอไฟสมาธิครั้งสุดท้าย ไฟแท้ที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถหาได้โดยทันที ไฟชนิดเดียวที่สามารถสร้างผลให้ออกมาเทียบเท่ากับไฟแท้ที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามคือไฟตานเถียนของผู้ฝึกตนระดับสูง ถึงแม้ไฟในการปรุงยาของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจะไม่ดีเท่ากับไฟแท้ที่ยิ่งใหญ่ทั้งสาม แต่มันก็ยังดีกว่าไฟโลกีย์ที่ใช้อยู่ในห้องปรุงยาของท่านตอนนี้มาก มันน่าจะเพียงพอสำหรับการปรุงยาฟ้ากระจ่าง”
“อ้อ ข้าเข้าใจล่ะ” เว่ยเฮ่าหลานเข้าใจความหมายของนางและพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นสหายนักพรตเยี่ยอยากจะขอให้ผู้อาวุโสทั้งสามใช้ไฟตานเถียนของพวกเขาเพื่อช่วยท่านในการปรุงยาหรือ”
“ใช่แล้ว” โม่เทียนเกอพยักหน้า “แน่นอนว่าผู้อาวุโสทั้งสามสามารถผลัดเปลี่ยนกันไปพักได้ ตามการคาดคะเนของข้า แม้ว่าวิธีการนี้จะใช้เวลานานหน่อย แต่สามวันก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
“นี่…” เว่ยเฮ่าหลานดูขัดแย้ง นางครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถามว่า “สหายนักพรตเยี่ย ผู้อาวุโสทั้งสามมีระดับการฝึกตนสูงที่สุดในสภาปี้เซวียน โดยปกติแล้วไม่มีใครบังอาจมาหาเรื่องเราเพราะพวกเขาทั้งสามคนนั้นอยู่ที่นี่ ถ้าพวกเขาทุกคนมายุ่งอยู่กับเรื่องนี้…”
“ข้าเข้าใจว่าท่านเจ้าสำนักหมายความว่าอย่างไร” โม่เทียนเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงพูดว่าผู้อาวุโสทั้งสามคนสามารถผลัดเปลี่ยนกันได้ การมีผู้อาวุโสให้ไฟตานเถียนกับข้าทีละคนก็เพียงพอแล้ว”
“เช่นนั้นแล้วสภาวะการใช้พลังวิญญาณของพวกเขาล่ะ เมื่อผู้อาวุโสคนหนึ่งให้ไฟตานเถียนกับท่าน ผู้อาวุโสอีกสองคนจะพักฟื้นอยู่หรือ”
โม่เทียนเกอส่ายหน้า “วางใจเถอะ ท่านเจ้าสำนักเว่ย ตามการคาดคะเนของข้า เมื่อผู้อาวุโสใช้พลังวิญญาณของนางไปจนหมดสิ้น ผู้อาวุโสอีกคนก็น่าจะฟื้นตัวเสร็จแล้ว ถ้าพวกเขาใช้ยาครอบจักรวาล ความเร็วในการฟื้นตัวของพวกเขาก็จะยิ่งเร็วมากขึ้น”
“อ้อ เข้าใจล่ะ…” ในกรณีนั้นก็จะมีผู้อาวุโสอีกคนเตรียมพร้อมอยู่ด้วยพลังวิญญาณเต็มเปี่ยมเสมอ เว่ยเฮ่าหลานผู้ที่ตอนนี้รู้สึกโล่งอกจึงยิ้มและพูดว่า “เรื่องนี้ช่างง่ายดาย เดี๋ยวข้าจะอธิบายให้กับท่านผู้อาวุโสทั้งสามฟังด้วยตัวเอง แต่นอกเหนือจากนี้ สหายนักพรตเยี่ยมีคำขออื่นอีกหรือไม่”
โม่เทียนเกอคิดอยู่สักพักแต่สุดท้ายก็ส่ายหน้า “สำหรับตอนนี้ข้ายังไม่มี”
คำตอบของนางทำให้เว่ยเฮ่าหลานถอนใจด้วยความโล่งอก คำขอเดียวของนางนี้จำเป็นต้องใช้ความช่วยเหลือจากผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งสามคน ถ้านางมีความต้องการอื่นอีก เว่ยเฮ่าหลานก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะสามารถทำให้สำเร็จได้หรือไม่
“ถ้าเช่นนั้นสหายนักพรตเยี่ยควรใช้เวลาสองสามวันข้างหน้าเพื่อพักผ่อนให้เพียงพอ ในอีกไม่กี่วันวัตถุดิบจะเตรียมไว้ให้พร้อมสรรพและข้าจะเรียกสหายนักพรตเยี่ยมาตรวจดู”
โม่เทียนเกอพยักหน้า นางต้องพักสักสองสามวันและทำให้ร่างกายของนางอยู่ในสภาวะที่ดีที่สุด ด้วยวิธีนั้น นางจะสามารถสัมผัสถึงสิ่งต่างๆ ได้ไวขึ้น แต่… โม่เทียนเกอดูสองจิตสองใจ แต่สุดท้ายนางก็ยังพูดว่า “ท่านเจ้าสำนักเว่ย มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่แน่ใจว่าข้าควรบอกท่านหรือไม่”
“โอ้ เรื่องอะไรหรือ” เว่ยเฮ่าหลานรู้สึกสงสัยเล็กน้อยพอเห็นสีหน้าของโม่เทียนเกอ
โม่เทียนเกอกล่าว “แค่เมื่อครู่นี้ สหายนักพรตถังเซิ่นจากกลุ่มของท่านถามข้าว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ข้าจะพาเขาไปด้วยตอนที่ข้าออกจากที่นี่”
“หา” เว่ยเฮ่าหลานตะลึงแต่ไม่ช้าก็รู้สึกตื่นตกใจ สายตาแหลมคมของนางจับจ้องอยู่ที่โม่เทียนเกอทันที
เมื่อรู้ว่าเว่ยเฮ่าหลานเข้าใจนางผิดไป โม่เทียนเกอถอนใจแล้วจึงพูดต่อ “ข้ารู้ว่าสหายนักพรตถังเป็นทายาทอันเป็นที่รักของผู้อาวุโสในกลุ่มท่าน ดังนั้นข้าจึงปฏิเสธ โปรดอภัยให้ข้าด้วยท่านเจ้าสำนักเว่ย แต่สหายนักพรตถังไม่เคยเดินทางออกข้างนอกมาก่อน… หากเขาต้องการใครสักคนให้พาเขาไป เขาก็น่าจะเลือกสหายศิษย์ของเขา คงไม่ดีที่ข้าจะเข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้”
เว่ยเฮ่าหลานเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย ดังนั้นนางจึงเข้าใจความหมายของโม่เทียนเกอได้ทันที รอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าของนางอย่างรวดเร็ว “สหายนักพรตเยี่ยสุภาพเกินไป เรื่องนี้ศิษย์น้องถังน่าจะพูดไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ มันไม่เหมาะสม ดังนั้นที่สหายนักพรตเยี่ยปฏิเสธไปก็ถูกแล้ว”
ในเมื่อเว่ยเฮ่าหลานเข้าใจความหมายของนาง โม่เทียนเกอจึงยิ้มเช่นกันและพูดว่า “เอาล่ะ ในเมื่อข้าบอกท่านเจ้าสำนักเว่ยเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ตอนนี้ข้าจะกลับไปพักผ่อนก่อน ส่วนพวกเรื่องจิปาถะอื่นๆ ข้าคงต้องรบกวนท่านเจ้าสำนักเว่ยช่วยจัดการให้ด้วย”
“แน่นอน สหายนักพรตเยี่ย เชิญ” เว่ยเฮ่าหลานส่งนางกลับอย่างสนิทสนม
เมื่อกลับมาที่บ้านพักแขก สาวใช้ที่ชื่อหลิวซูกำลังรอโม่เทียนเกออยู่ด้านนอกแล้ว นางอุ้มสัตว์วิเศษขนฟูสีขาวบริสุทธิ์อยู่ในอ้อมแขน มันไม่มีพลังวิญญาณมากนักและดูเหมือนจะเป็นแค่สัตว์วิเศษระดับหนึ่งเท่านั้น
ทันทีที่นางเห็นโม่เทียนเกอ หลิวซูโค้งคำนับและทำความเคารพนาง “ศิษย์พี่เยี่ย ศิษย์น้องได้รับสั่งจากท่านปรมาจารย์ให้นำเฝยเฝยมาให้เจ้าค่ะ”
“ไม่จำเป็นต้องสุภาพนัก” โม่เทียนเกอมองที่เฝยเฝยซึ่งหลิวซูกำลังอุ้มอยู่ จากนั้นจึงถามอย่างสงสัย “นี่คือตัวเฝยเฝยหรือ ทำไมมันถึงดูเหมือนเป็นแค่สัตว์ระดับหนึ่ง”
หลิวซูตอบ “ศิษย์พี่ เฝยเฝยตัวนี้ยังเป็นแค่ตัวลูกเจ้าค่ะ มันเพิ่งเกิดเมื่อตอนที่ท่านปรมาจารย์ของเราจับมันได้เมื่อไม่นานมานี้ ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีเฝยเฝยไม่ใช่สัตว์วิเศษที่มีระดับการฝึกตนโดดเด่น พวกที่โตแล้วโดยทั่วไปจะเข้าถึงแค่ระดับสองหรือสามเท่านั้น อย่างไรก็ตาม พวกมันมีความสามารถทางเวทอาคม พวกมันสามารถอยู่ร่วมกันกับสัตว์วิเศษอื่นๆ ได้อย่างสงบสุขไม่ว่ามันจะดุร้ายสักแค่ไหนก็ตาม”
“เข้าใจล่ะ…” โม่เทียนเกอยื่นมือออกไปเพื่อลูบสัตว์ตัวน้อยที่ดูเหมือนแร็กคูนและขนาดเท่าลูกแมว ดวงตาของมันปิดสนิท บางทีมันอาจจะกำลังหลับ เพราะเห็นว่ามันไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อยและยอมให้คนอื่นๆ ลูบมันได้
หลิวซูส่งเฝยเฝยมาให้ “ศิษย์พี่เยี่ย สัตว์วิเศษตัวนี้ฟักตัวออกมาแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่สามารถจำเจ้าของได้ อย่างไรก็ตาม ศิษย์พี่สามารถใช้ความหยั่งรู้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อสร้างสัญญากับมันและทำให้มันเชื่อฟังท่านได้”
“สัญญา” โม่เทียนเกอพูดพร้อมขมวดคิ้ว “สัญญากับสัตว์วิเศษควรจะเป็นสัญญาที่ทำให้พวกมันรู้จักเราในฐานะเจ้าของของมันไม่ใช่หรือ”
หลิวซูดูเหมือนจะตะลึงกับคำถามของนางแต่ไม่นานนางก็ยิ้มและพูดว่า “ศิษย์พี่ ท่านไม่รู้หรือว่ามีสัญญาสัตว์วิเศษอีกประเภทซึ่งเป็นสัญญาของทั้งสองฝ่าย” เมื่อนางเห็นหน้าตาไม่เข้าใจของโม่เทียนเกอ หลิวซูจึงอธิบายต่อ “ความเข้าใจในสัตว์วิเศษของศิษย์พี่คงไม่ลึกมากใช่ไหมเจ้าคะ ถ้าสัตว์วิเศษยังไม่ฟักตัว เราสามารถหยดเลือดเราลงเพื่อทำให้มันจำเราได้ในฐานะเจ้าของของมัน แต่ถ้ามันฟักตัวออกมาแล้ว เราสามารถสร้างสัญญาเจ้าของ-สัตว์ในปกครองกับพวกมันได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้จำเป็นต้องให้ความหยั่งรู้ศักดิ์สิทธิ์ของเราแข็งแกร่งกว่าของสัตว์วิเศษจึงจะได้ผล ในสัญญาประเภทนี้ ไม่เพียงแต่สัตว์วิเศษจะไม่ทำร้ายเจ้าของของพวกมันแล้ว แต่เจ้าของก็ยังไม่สามารถทำร้ายสัตว์วิเศษได้อีกด้วย”
“อ้อ เป็นอย่างนั้นเอง…” โม่เทียนเกอเข้าใจความคิดคร่าวๆ ว่ากันโดยทั่วไป หลังจากสัตว์วิเศษจำเจ้าของของมันได้ ทั้งตัวของมันจะกลายเป็นของเจ้าของรวมถึงชีวิตของมันด้วย ขณะที่เจ้าของไม่มีข้อผูกมัดอะไรกับมัน อย่างไรก็ตาม ในสัญญาแบบเจ้าของ-สัตว์ในปกครองนี้ เจ้าของทำได้เพียงแค่สั่งให้สัตว์ทำตามที่บอก แต่นี่ไม่ได้มีค่าเท่ากับการครอบครองสัตว์วิเศษ
ตอนนี้เมื่อนางเข้าใจแล้ว โม่เทียนเกอจึงถามว่า “แม่นาง เป็นไปได้ไหมที่เจ้าจะบอกข้าว่าจะสร้างสัญญาเจ้าของ-สัตว์ในปกครองอย่างไร”
หลิวซูยิ้ม “นี่ไม่ใช่วิชาลับหรืออะไร แน่นอนว่าข้าสามารถบอกท่านได้” จากนั้นนางอธิบายต่อไปถึงทุกอย่างเกี่ยวกับการสร้างสัญญาอย่างละเอียด ในตอนท้ายนางเสริมว่า “ศิษย์พี่ควรจะวางใจได้ สัญญาเจ้าของ-สัตว์ในปกครองนี้สามารถยกเลิกได้เสมอ ท่านผู้อาวุโสชิงเมี่ยวก็ได้ยกเลิกสัญญาที่นางตั้งไว้ ดังนั้นศิษย์พี่สามารถสร้างสัญญาใหม่กับเฝยเฝยได้เจ้าค่ะ”
“ข้าเข้าใจ ช่วยฝากความขอบคุณจากข้าไปถึงท่านปรมาจารย์ของเจ้าด้วย”
หลิวซูส่งหยกบันทึกที่ประกอบไปด้วยข้อมูลว่าจะเลี้ยงเฝยเฝยอย่างไรให้กับนาง จากนั้นจึงโค้งคำนับและออกจากบ้านพักแขก
เมื่อหลิวซูออกไป ทั้งอี้หลิ่วและอี้ชิวต่างก็เข้ามาหาและรายล้อมนาง
“งั้นนี่ก็คือเฝยเฝย! น่ารักเสียจริง!”
“จริงด้วย มันดูเหมือนกับจิ้งจอกแร็คคูนแต่น่ารักกว่ามาก!”
ทั้งสองคนอยู่กับโม่เทียนเกอมานานพอสมควรแล้ว ดังนั้นพวกนางจึงรู้นิสัยของนางดีและกล้าเข้าใกล้
เมื่อเห็นท่าทางของทั้งสองคนทำให้โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ “อย่าบอกนะว่าเจ้าทั้งสองก็ไม่เคยเห็นเฝยเฝยมาก่อนเหมือนกัน”
“แต่มันจริงนี่” อี้ชิวละสายตาขึ้นจากเฝยเฝยและพูดว่า “เฝยเฝยหายากมากอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงแม้พวกมันจะไม่มีพลังโจมตีใดๆ แต่ทักษะในการตามหาวัตถุวิญญาณของพวกมันก็ค่อนข้างดี และอีกอย่างพวกมันก็ดูน่ารักมากด้วย ทุกครั้งที่มีตัวหนึ่งปรากฏขึ้นในตลาด ราคาของมันมักจะสูงมากเสมอ แล้วเราจะมีเงินไปซื้อมาได้อย่างไรกัน”
อี้ชิวพูดต่อ “ต่อให้เรามีเงิน เราก็คงไม่สามารถซื้อได้หรอก เราจะซื้อได้อย่างไรเมื่อแม้แต่ท่านเจ้าสำนักยังไม่มีสักตัว”
“ถูกต้อง!”
ถ้าเช่นนั้น เฝยเฝยหายากมาก ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวถึงกับยอมเสียสละแค่เพื่อพยายามทำให้นางพอใจ