ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 204 ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ทั้งสาม
หลังจากรับเฝยเฝยมา โม่เทียนเกอจึงกำหนดสัญญาเจ้าของ-สัตว์ในปกครองกับมันตามวิธีการของหลิวซู จากนั้นจึงให้มันอยู่ในความดูแลของอี้หลิ่วและอี้ชิว
ในช่วงนี้นางจะยังไม่เลี้ยงมันด้วยตัวเองเพราะนางไม่มีเวลาและอี้หลิ่วกับอี้ชิวก็รักสัตว์วิเศษประเภทนี้มาก พวกนางมักจะอยากสัมผัสและกอดมันอยู่เสมอ ดังนั้นนางก็น่าจะช่วยทำให้ความต้องการของพวกนางเป็นจริง
สัตว์วิเศษอย่างเฝยเฝยซึ่งทั้งน่ารักและไร้พิษสงมีผลในการช่วยสงบจิตใจและปลอบขวัญและยังมีประโยชน์สำหรับการตามหาวัตถุวิญญาณจึงเป็นสัตว์ประเภทที่สาวๆ ชอบ แต่ถึงอย่างไรตัวโม่เทียนเกอเองก็ไม่ได้มีนิสัยแบบผู้หญิงมากนัก นางมีจี้ซ่อนวิญญาณและยาวิเศษอีกนับไม่ถ้วนอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ได้คิดว่าเฝยเฝยเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วมันก็แสดงให้เห็นถึงเจตนาอันมีเมตตาของผู้อาวุโสชิงเมี่ยว การไม่ยอมรับมันจะเท่ากับตบหน้าผู้อาวุโสชิงเมี่ยวอย่างแรง
นางพักผ่อนอยู่สองสามวันแล้วจึงเริ่มเตรียมการสำหรับปรุงยาฟ้ากระจ่าง
เกี่ยวกับยาฟ้ากระจ่าง โม่เทียนเกอสามารถปรุงได้อย่างง่ายดายเพราะนางมีประสบการณ์ในการปรุงมันมามากอยู่แล้ว แต่สำหรับคนของสภาปี้เซวียน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเคยเห็นใครสักคนพยายามปรุงยาฟ้ากระจ่าง ดังนั้นพวกเขาจึงประหม่ากับเรื่องนี้มาก ซย่าชิงถึงขนาดถามนางซ้ำไปซ้ำมาว่ายานี้สามารถปรุงได้จริงๆ หรือ
ในตอนแรกโม่เทียนเกอยังพยายามปลอบใจนาง แต่สุดท้ายก็เริ่มจะเมินนางไปเอง
ก่อนหน้านี้นางปรุงยาฟ้ากระจ่างบ่อยเสียจนนางนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ถึงแม้ว่านางจะต้องใช้เตาหลอมยาธรรมดาและไฟในการปรุงยาของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังในครั้งนี้ นางก็ยังมั่นใจว่านางสามารถทำสำเร็จได้อย่างน้อยก็ที่อัตราความสำเร็จหกส่วน หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนและไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น อัตราความสำเร็จของนางก็อาจจะถึงเจ็ดส่วนด้วยซ้ำไป
หากนางพูดเช่นนี้กับผู้อาวุโสชิงเมี่ยว ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวจะต้องตื่นเต้นไปด้วยความยินดีเป็นแน่ แม้แต่ในคุนอู๋ การหาอาจารย์ปรุงยาที่อัตราความสำเร็จอยู่ที่เจ็ดส่วนสำหรับยาฟ้ากระจ่างนั้นยากมาก และคนส่วนใหญ่ต้องมองหากลุ่มการฝึกตนที่เชี่ยวชาญในการปรุงยาอย่างโรงเรียนตานติ่ง
หลายวันผ่านไปในพริบตา การเตรียมการสำหรับปรุงยาฟ้ากระจ่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นซย่าชิงจึงนำพืชสมุนไพรที่พวกเขาจะใช้มาให้โม่เทียนเกอตรวจสอบ ถึงแม้พืชจะไม่เก่าแก่มากพอและคุณภาพก็ต่ำ แต่มันก็มีจำนวนที่เพียงพอ แม้หลังจากที่โม่เทียนเกอลองพิจารณาถึงอัตราความล้มเหลว นางคิดว่านางยังสามารถผลิตยาที่สำเร็จสมบูรณ์ได้ประมาณสามสิบเม็ด
ยาฟ้ากระจ่างไม่เหมือนกับยาบำรุงพลังจิตวิญญาณหรือยาผสานพลังวิญญาณที่พวกผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังงานวิญญาณทานกัน มันประกอบไปด้วยพลังวิญญาณจำนวนมาก ดังนั้นทุกครั้งที่ผู้ฝึกตนทานเข้าไปหนึ่งเม็ด พวกเขาจะต้องการเวลาประมาณสิบวันถึงครึ่งเดือนเพื่อย่อยพลังวิญญาณที่อยู่ในยาให้ได้เต็มที่ เมื่อพิจารณาว่าผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังแทบจะไม่ใช้ยาวิเศษติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ยาสามสิบเม็ดก็เป็นจำนวนที่มากมายแล้ว มันควรจะเพียงพอสนับสนุนผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งสามคนในการฝึกตนของพวกเขาได้มากกว่าครึ่งปี
โม่เทียนเกอแจ้งเว่ยเฮ่าหลานถึงผลสรุปของนาง ผลคือผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งสามคนขอพบนางในวันนั้น
นางเคยเจอผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังมาหลายคน นางจึงไม่ได้ประหม่าเลยสักนิด อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งสามคนนั้นเป็นผู้ฝึกตนที่ดีที่สุดในสภาปี้เซวียน เพราะฉะนั้นนางจึงคิดว่านางควรระมัดระวังมากขึ้นอีกหน่อย
หลังจากเดินตามเว่ยเฮ่าหลานมาเป็นเวลานาน ในที่สุดโม่เทียนเกอก็มาถึงเจดีย์ลอยที่ตั้งตระหง่านสูงเสียดเมฆ
เว่ยเฮ่าหลานกล่าว “เจดีย์นี้ถูกสร้างขึ้นโดยท่านผู้มีอำนาจสูงสุดคนที่ก่อตั้งกลุ่มของเรา เรียกว่าเจดีย์บรรลุเต๋า เจดีย์นี้พิเศษมาก พลังวิญญาณข้างในหนาแน่นมาก และยิ่งไปกว่านั้น พลังวิญญาณในแต่ละชั้นก็ไม่รบกวนกันเอง ในสภาปี้เซวียน เมื่อใดที่ผู้ฝึกตนก่อขุมพลังของตัวเองได้ พวกเขาจะย้ายเข้ามาในเจดีย์นี้เพื่อฝึกตน”
โม่เทียนเกอทอดสายตามองเจดีย์ลอยที่ปกคลุมไปด้วยพลังแห่งเซียน จากนั้นนางพูดพร้อมถอนหายใจ “ยังมีภาพที่เลิศเลอเช่นนี้อยู่ในโลก… หากข้าไม่ได้ออกจากโรงเรียน ข้าคงไม่มีทางรู้ว่าโลกนี้ช่างกว้างใหญ่ขนาดไหน”
ทั้งๆ ที่ยืนอยู่นอกเจดีย์ แต่พลังวิญญาณข้างในก็เริ่มจะจู่โจมเข้าใส่ประสาทสัมผัสของโม่เทียนเกอแล้ว มันชัดเจนมากว่าพลังวิญญาณข้างในเจดีย์นั้นหนาแน่นแค่ไหน ท่านผู้มีอำนาจที่ก่อตั้งสภาปี้เซวียนคืออัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมโดยแท้
เว่ยเฮ่าหลานยิ้ม “สหายนักพรตเยี่ยเข้าใจหลักการนี้และมาจากโรงเรียนชื่อดัง คาดว่าในอีกหลายร้อยปี สหายนักพรตเยี่ยจะมีโอกาสสูงในการบรรลุถึงเต๋าอันยิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน”
โม่เทียนเกอเพียงแค่หัวเราะน้อยๆ และส่ายหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อไป
เมื่อพวกนางเข้ามาถึงบริเวณใต้เจดีย์ โม่เทียนเกอสังเกตเห็นว่ามีม่านพลังเคลื่อนย้ายอยู่ที่พื้น เว่ยเฮ่าหลานขอให้โม่เทียนเกอไปยืนบนม่านพลังเคลื่อนย้ายกับนางจากนั้นจึงเริ่มเปิดใช้มัน
หลังจากแสงแสบตาวูบวาบผ่านไป โม่เทียนเกอพบว่าทั้งสองคนมายืนอยู่ข้างในเจดีย์เรียบร้อยแล้ว บริเวณที่พวกนางอยู่ในตอนนี้เป็นพื้นที่กว้างขวางแต่ว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง เว้นแต่มีเสื่อสวดมนต์หลายผืนจัดวางอยู่บนพื้น
ผู้ฝึกตนชายวัยกลางคนหนวดยาวเครายาวเดินเข้ามาหาเมื่อเห็นการปรากฏตัวของพวกนาง “ขอคารวะท่านเจ้าสำนัก”
บางทีผู้ฝึกตนชายคนนี้อาจจะเป็นศิษย์ของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง การปฏิบัติของเขาต่อเว่ยเฮ่าหลานเห็นได้ชัดว่าไม่ได้เกรงกลัวเหมือนอย่างผู้ฝึกตนชายคนอื่น เขาประพฤติตัวอย่างเคารพนบนอบ แต่สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่งและสำรวม
ทัศนคติของเว่ยเฮ่าหลานก็ค่อนข้างสุภาพเช่นกัน นางกล่าว “ศิษย์พี่ซั่งกวน ข้าพาสหายนักพรตเยี่ยมาพบท่านผู้อาวุโสทั้งสาม ท่านผู้อาวุโสทั้งสามว่างให้เข้าพบหรือไม่”
จากนั้นสายตาผู้ฝึกตนชายคนนั้นมาจับจ้องอยู่ที่โม่เทียนเกอและเขามองสำรวจนางอย่างเร็ว เขาดูเหมือนจะค่อนข้างประหลาดใจเพราะอายุที่น้อยของนาง แต่เขาก็ละสายตาไปอย่างเร็วและพยักหน้าให้นาง “ถ้าอย่างนั้นนี่ก็คือสหายนักพรตเยี่ยสินะ”
ตัวโม่เทียนเกอเองก็ค่อนข้างประหลาดใจเช่นกัน สาเหตุเป็นเพราะผู้ฝึกตนชายคนนี้เป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้ายและดูเหมือนจะเข้าถึงเขตของขั้นสูงสุดแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม นางประสานมือและตอบกลับคำทักทายของเขา
ผู้ฝึกตนชายหันกลับไปมองที่เว่ยเฮ่าหลาน “ผู้อาวุโสทั้งสามอยู่ที่ชั้นสาม พวกท่านกำลังรอท่านทั้งสองอยู่”
“ขอบคุณศิษย์พี่ซั่งกวน” หลังจากเว่ยเฮ่าหลานกล่าวคำขอบคุณ นางดึงโม่เทียนเกอไปอีกฝั่งหนึ่งและพวกนางก็ก้าวขึ้นม่านพลังเคลื่อนย้ายอีกครั้ง
ม่านพลังเคลื่อนย้ายถูกเปิดใช้งานและมีแสงสีขาวแสบตาวูบวาบอีกครั้ง ทั้งสองคนตอนนี้กำลังขึ้นไปอีกหนึ่งชั้น ในชั้นนี้ไม่มีใครอยู่
“สหายนักพรตเยี่ย ท่านไม่สงสัยหรือว่าทำไมในพวกเราผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน คนที่ระดับการฝึกตนสูงที่สุดถึงเป็นศิษย์พี่ซั่งกวน”
โม่เทียนเกอหันหน้าไปหานาง รู้สึกงุนงง นี่เป็นเรื่องของสภาปี้เซวียนและนางก็ไม่ได้ถาม ทำไมเว่ยเฮ่าหลานจึงอยากพูดถึงขึ้นมา
เว่ยเฮ่าหลานมีสีหน้าสงบนิ่ง แต่ความอิจฉาเล็กน้อยเล็ดลอดผ่านดวงตาของนางออกมา “มันเป็นเพราะศิษย์พี่ซั่งกวนคือผู้ฝึกตนคนแรกที่มีรากวิญญาณกลายพันธุ์ที่กลุ่มเรารับเข้ามาในรอบหลายร้อยปี!”
จากนั้นเว่ยเฮ่าหลานหันมาหาโม่เทียนเกอและยิ้ม “สหายนักพรตเยี่ย ท่านไม่สงสัยหรือ ในกลุ่มการฝึกตนสำหรับผู้หญิงอย่างสภาปี้เซวียน คนที่มีต้นทุนดีที่สุดกลับเป็นผู้ฝึกตนชาย”
โม่เทียนเกอส่ายหน้า “รากวิญญาณนั้นยากจะควบคุมได้ ไม่ว่ารากวิญญาณที่เอื้ออำนวยจะไปอยู่ที่ผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์มีอำนาจตัดสินใจได้” ดูอย่างในโรงเรียนเสวียนชิงเป็นตัวอย่าง เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับว่าใครที่มีต้นทุนดีที่สุด มันก็น่าจะเป็นนางใช่ไหม แต่ถึงอย่างนั้น ภายในคนหลายรุ่นที่โรงเรียนเสวียนชิง ไม่เพียงแต่ศิษย์ที่มีรากวิญญาณเดี่ยวจะเป็นผู้ชายทั้งหมดแล้ว แม้แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ในปัจจุบันหกคนก็มีผู้หญิงเพียงแค่คนเดียว
“ท่านพูดถูก” เว่ยเฮ่าหลานยิ้มอย่างขมขื่น “เอ้! ถึงแม้เราล้วนรู้ว่านี่ไม่ใช่ความผิดของศิษย์พี่ซั่งกวน แต่ก็ยังยากจะยอมรับได้ ที่จริงแล้วท่านไม่คิดว่าผู้อาวุโสทั้งสามก็รู้สึกเหมือนกันหรือ อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรที่เราสามารถทำได้ ตอนนี้ศิษย์พี่ซั่งกวนเป็นคนเดียวที่มีโอกาสสูงสุดในการก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง และเขามีโอกาสเข้าถึงดินแดนจิตวิญญาณใหม่ด้วยซ้ำไป สภาปี้เซวียนของเราไม่ได้มีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่มาสหัสวรรษหนึ่งแล้ว เราไม่อาจพลาดโอกาสนี้ไปได้แค่เพราะเขาเป็นผู้ฝึกตนชาย”
พอถึงช่วงท้ายของการพูดรำพึงรำพันคนเดียวของนาง ใบหน้าของเว่ยเฮ่าหลานดูมุ่งมั่นมาก
โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมนาง ถึงแม้เว่ยเฮ่าหลานจะอิจฉา แต่นางก็ยังคงอดกลั้นตัวเองไว้เพื่อประโยชน์ของกลุ่มนาง คนเช่นนางนั้นเหมาะสมอย่างแท้จริงที่จะเป็นเจ้าสำนัก
“ความใจกว้างของท่านเจ้าสำนักเว่ยสมควรได้รับการชื่นชมจริงๆ”
เว่ยเฮ่าหลานส่ายหน้า “พูดตามตรง ใจของข้ามักจะพบว่าเรื่องนี้ยอมรับได้ยาก แต่ในเมื่อข้าไม่สามารถพูดถึงเรื่องนี้กับใครได้ ข้าจึงรู้สึกอึดอัดอยู่เสมอ มันไม่เหมาะที่ข้าจะพูดเช่นนี้กับศิษย์พี่น้องผู้หญิงของข้า แต่ข้ารู้ว่าสหายนักพรตเยี่ยไม่ใช่คนปากสว่าง… ผู้ฝึกตนชายกลับกลายเป็นผู้ฝึกตนที่มีแววมากที่สุดของสภาปี้เซวียนอย่างไม่คาดคิดและกลุ่มได้ทำทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อดูแลเขา ข้าต้องถูกเรียกเข้ามาโดยท่านผู้อาวุโสทั้งสามก่อนที่ข้าจะสามารถเข้าเจดีย์บรรลุเต๋านี้ได้ แต่กฎนั้นกลับไม่ต้องใช้กับเขา… เขาเป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน แต่เขาได้มาฝึกตนที่นี่แล้ว”
เมื่อถึงจุดนี้ โม่เทียนเกอรู้สึกงงเล็กน้อย “ท่านเจ้าสำนักเว่ย ในเมื่อความสามารถของสหายนักพรตซั่งกวนนั้นโดดเด่นและเขาก็ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากกลุ่มของท่าน ทำไมเขาถึงยังดูเหมือนชายวัยกลางคนอยู่”
เว่ยเฮ่าหลานดูตกใจกับคำถามของนางแต่ไม่นานนักนางก็หัวเราะเบาๆ “สหายนักพรตเยี่ย ท่านมาจากคุนอู๋ ดังนั้นท่านจึงไม่เข้าใจสถานการณ์ในหลินไห่ ถ้าเขามียาวิเศษมากพอ ศิษย์พี่ซั่งกวนอาจจะเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังไปนานแล้วก็ได้ แต่ในเมื่อเราขาดแคลนยาวิเศษอยู่เสมอและเราไม่เคยปรุงยาไร้ธุลีได้ เขาจึงล้าหลังมาหลายปี”
“อ้อ เป็นเช่นนั้นเอง…” โม่เทียนเกอเข้าใจแล้วตอนนี้ สภาปี้เซวียนปฏิบัติต่อนางอย่างเป็นมิตรก็เพราะทักษะของนางในการปรุงยาไม่ใช่หรือ พวกเขาขาดข้าวของต่างๆ และยังล้าหลังในศาสตร์แห่งการปรุงยาอีกด้วย ต่อให้พวกเขามีผู้ฝึกตนอัจฉริยะ มันก็คงยากสำหรับพวกเขาที่จะประสบความสำเร็จในสิ่งใดได้จริงๆ
ทั้งสองคนอ้อยอิ่งอยู่ที่ชั้นนี้พักหนึ่ง ท้ายที่สุดเว่ยเฮ่าหลานถอนหายใจ สงบสติอารมณ์และยิ้มให้นางอีกครั้ง “สหายนักพรตเยี่ย ขึ้นไปกันเถอะ ชั้นสามอยู่แค่ข้างบนเรานี่เอง”
โม่เทียนเกอพยักหน้าแล้วจึงตามเว่ยเฮ่าหลานไปทางม่านพลังเคลื่อนย้ายอีกอันหนึ่ง ด้วยแสงสีขาวแสบตาวูบวาบ ในที่สุดพวกนางก็ขึ้นมาถึงชั้นสาม
“พวกนางมาแล้ว” โม่เทียนเกอได้ยินเสียงที่ฟังดูใจดีและมุ่งสายตาไปทางต้นตอของเสียงนั้น
นางเห็นผู้ฝึกตนหญิงระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังสามคนนั่งอยู่ที่พื้น คนที่นั่งอยู่ทางซ้ายคือผู้อาวุโสชิงเมี่ยว ส่วนคนที่อยู่ทางขวา ดูเหมือนนางเพิ่งอายุเกินสามสิบมานิดหน่อยเท่านั้นและดูจะรักษารูปลักษณ์ของนางได้เป็นอย่างดีเพราะนางยังคงสวยมากอยู่ โม่เทียนเกอสามารถมองเห็นความคล้ายคลึงกับถังเฉินได้ ดังนั้นนางจึงเดาว่าคนนี้จะต้องเป็นผู้อาวุโสชิงซี ผู้ฝึกตนหญิงที่นั่งตรงกลางแผ่พลังที่มีอำนาจที่สุดในทั้งสามคน ดังนั้นนางน่าจะเป็นผู้ฝึกตนที่มีระดับการฝึกตนสูงที่สุดในสภาปี้เซวียนตอนนี้ ผู้อาวุโสชิงอี้ นางดูเหมือนนางอายุเท่าๆ กับผู้อาวุโสชิงเมี่ยว แต่เครื่องหน้าของนางดูใจดีกว่ามาก
เว่ยเฮ่าหลานเดินนำโม่เทียนเกอไปหาผู้อาวุโสทั้งสามจากนั้นจึงทำความเคารพพวกนางอย่างนอบน้อม “เห่าหลานขอคารวะท่านผู้อาวุโสทั้งสาม”
ผู้อาวุโสชิงอี้ผู้ที่นั่งอยู่ตรงกลางยิ้มและพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องสุภาพเกินไปนัก” เสียงนางฟังดูเหมือนกับเสียงจากเมื่อครู่นี้
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านผู้อาวุโส” เว่ยเฮ่าหลานยืนขึ้นแล้วจึงเริ่มแนะนำพวกนางให้โม่เทียนเกอ “ท่านเหล่านี้คือผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งสามคนของกลุ่มข้า ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวเคยพบกับสหายนักพรตเยี่ยมาก่อนแล้ว นี่คือผู้อาวุโสชิงอี้ และนี่คือผู้อาวุโสชิงซี”
โม่เทียนเกอเดาได้ถูกต้อง คนที่อยู่ตรงกลางคือผู้อาวุโสชิงอี้ และคนที่อยู่ทางขวาคือผู้อาวุโสชิงซี
“ศิษย์น้องขอคารวะท่านผู้อาวุโสทั้งสาม” โม่เทียนเกอทักทายพวกนางด้วยมือที่ประสานกัน
ผู้อาวุโสทั้งสามดูสนใจเมื่อเห็นกิริยาท่าทางที่ไม่ได้ถ่อมตนแต่ก็ไม่ได้โอหังของนาง ผู้อาวุโสชิงอี้พูดด้วยรอยยิ้มว่า “สหายน้อยเยี่ยไม่จำเป็นต้องสุภาพนัก” หลังจากนางพูดเช่นนั้น นางพูดกับผู้อาวุโสอีกสองคน “เป็นไปตามคาดกับคนที่มาจากกลุ่มการฝึกตนอันทรงเกียรติ กิริยาท่าทางแบบนี้… เราคงไม่เจอคนในกลุ่มเราที่มีท่าทางแบบนี้ด้วยซ้ำ”
ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวพยักหน้า “ศิษย์พี่พูดถูก ดูเหมือนว่าเราจะต้องส่งศิษย์ของเราออกไปเพื่อหาประสบการณ์บ่อยขึ้นแล้วล่ะ ด้วยการเผชิญกับประสบการณ์หลายๆ อย่างเท่านั้นพวกเขาจึงจะโตขึ้นได้…”
“อืม ตอนนี้เมื่อเจ้าพูดถึงการออกไปหาประสบการณ์ เกือบจะสองปีแล้วนะตั้งแต่ที่เด็กสาวอวิ๋นคนนั้นและคนอื่นๆ ออกไป พวกนางไม่ส่งข้อความอะไรมาให้เราเลย…”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ใจของโม่เทียนเกอกระตุก แม้ว่าสีหน้าของนางจะยังคงเหมือนเดิมก็ตาม
“โอ้ จริงสิ! สหายน้อยเยี่ยอยู่ที่นี่!” พอเห็นโม่เทียนเกอยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น ผู้อาวุโสชิงอี้หัวเราะน้อยๆ และพูดว่า “ขอโทษทีสหายน้อยเยี่ย ข้าแก่แล้ว ข้าก็เลยสับสนนิดหน่อย”
โม่เทียนเกอยิ้มและลดสายตาลงเล็กน้อย “ศิษย์พี่ถ่อมตัวเกินไป ท่านไม่แก่เลยสักนิด…”
“หึๆ เราเป็นผู้ฝึกตน รูปลักษณ์ของเราจะเป็นจริงได้อย่างไรเล่า” ผู้อาวุโสชิงอี้หัวเราะแผ่วเบา “แก่ขึ้นก็คือแก่ขึ้น ไม่ว่าคนเราจะดูแลรูปลักษณ์ดีสักแค่ไหน ความจริงข้อนั้นก็ไม่เปลี่ยนแปลงหรอก… อย่างไรก็ตาม สหายน้อยเยี่ยยังอายุน้อยจริงๆ โอ้! ดูเหมือนเจ้าจะยังอายุไม่ถึงห้าสิบปี ใช่ไหม”
โม่เทียนเกอตอบ “ศิษย์พี่ช่างหลักแหลมนัก ปีนี้ศิษย์น้องอายุสามสิบเก้าปีเจ้าค่ะ”
“สหายน้อยเยี่ยช่างเยาว์วัยและมีอนาคตจริงๆ! เจ้าอายุเท่านี้เอง แต่กระนั้นไม่เพียงแต่เจ้าจะมีทักษะการปรุงยาที่ยอดเยี่ยมแล้ว แต่ระดับการฝึกตนของเจ้ายังอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้วอีกด้วย…”
โม่เทียนเกอเงยหน้ามองทันที ตกใจสุดขีดกับสิ่งที่ผู้อาวุโสชิงอี้พูด
ยังคงมีรอยยิ้มใจดีดังเดิม ผู้อาวุโสชิงอี้พูดต่อช้าๆ “ที่ยิ่งหายากกว่าคือวิชาการซ่อนลมปราณของสหายนักพรตเยี่ยที่ยอดเยี่ยมมากเสียจนแม้แต่ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังยังไม่สามารถมองผ่านไปได้…