ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 214 ผู้อาวุโสรับเชิญ
โม่เทียนเกอลดสายตาลงต่ำ ดูเหมือนครุ่นคิดเกี่ยวกับข้อเสนอนั้น
ผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมและทำเพียงแค่จ้องมาที่นาง
เวลาผ่านไป ในที่สุดโม่เทียนเกอก็พูดขึ้นมา “ด้วยเหตุผลนั้น ในเมื่อท่านผู้อาวุโสได้มอบวิชาลับของบรรพบุรุษแก่ข้า ข้าเองก็ควรที่จะต้องทำอะไรตอบแทนน้ำใจนั้น อย่างไรก็ตาม ข้าไม่คิดว่าระดับการฝึกตนในปัจจุบันของข้านั้นจะเพียงพอสำหรับข้าที่จะเป็นผู้อาวุโสรับเชิญของท่าน”
ด้วยไม่ได้ฟังดูเหมือนกับว่าโม่เทียนเกอปฏิเสธอย่างตรงๆ ผู้อาวุโสชิงอี้จึงยิ้มและพูดว่า “หญิงแก่สองคนอย่างพวกข้าไม่มีทางที่จะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานนัก เมื่อถึงจุดนั้น ก็จะไม่มีผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังในกลุ่มนี้อีกต่อไป ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสมเกี่ยวกับการที่ให้เจ้ากลายเป็นผู้อาวุโสรับเชิญ อีกอย่างด้วยระดับการฝึกตนและความสามารถของเจ้าในปัจจุบัน ข้าเชื่อว่ามันคงไม่ยากเกินไปสำหรับเจ้าที่จะก่อแก่นขุมพลัง” เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ นางหยุดครู่หนึ่งหลังจากนั้นจึงถอนใจก่อนที่จะพูดต่อ “เทียนเกอ พวกข้าไม่สามารถพึ่งพาสามคนนั้นเพียงอย่างเดียวในการที่จะสร้างสภาปี้เซวียนขึ้นมาใหม่ ข้าหวังว่าเจ้าจะให้ความช่วยเหลือเพื่อเห็นแก่บรรพบุรุษของเจ้า”
ช่างเป็นคำวิงวอนที่จริงจังและจริงใจจนทำให้โม่เทียนเกอไม่สามารถปฏิเสธได้
นางใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อพิจารณาหลังจากนั้นจึงถาม “หากข้าตกลงที่จะเป็นผู้อาวุโสรับเชิญ ข้าจำเป็นที่จะต้องอยู่ที่หลินไห่นานแค่ไหน”
รอยยิ้มมปรากฏออกมาบนใบหน้าของผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยว หลังจากนั้นผู้อาวุโสชิงเมี่ยวจึงพูด “มันไม่นานนัก เจ้าจะเป็น “แขก” ผู้อาวุโส หลังจากเฮ่าหลานสามารถจัดการเรียกเหล่าศิษย์ทั้งหมดกลับคืนและสร้างบารมีของนาง เจ้าก็สามารถอ้างได้ว่าเจ้าจะเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิและกลับไปที่คุนอู๋”
“แต่… ข้าเป็นศิษย์โรงเรียนเสวียนชิง มันคงจะไม่เหมาะสมสำหรับข้าที่จะเป็นผู้อาวุโสรับเชิญของกลุ่มการฝึกตนอื่นถูกต้องหรือไม่”
ผู้อาวุโสชิงอี้พูด “เจ้าไม่ต้องกังวลในเรื่องนั้น มันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับศิษย์ของกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ ที่จะเป็นผู้อาวุโสรับเชิญให้กับกลุ่มการฝึกตนอื่น มันจะไม่เป็นไรตราบใดที่ไม่มีข้อขัดแย้งระหว่างสองกลุ่ม สภาปี้เซวียนตั้งอยู่ที่หลินไห่ และพวกเราก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะไปที่คุนอู๋ ดังนั้นเรื่องนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อเจ้า หากเจ้าไม่สบายใจเรื่องนี้ ก็รายงานเรื่องนี้ไปยังอาจารย์ของเจ้าเมื่อเจ้ากลับไปที่คุนอู๋ได้ในภายหลัง”
เมื่อได้ยินผู้อาวุโสชิงอี้พูดอย่างเรียบง่ายเกี่ยวกับมัน โม่เทียนเกอคิดเรื่องนี้อย่างรอบคอบอีกครั้งหลังจากนั้นจึงพยักหน้าอย่างช้าๆ “หากเป็นเช่นนั้น ศิษย์น้องไม่ถือสากับการที่จะต้องช่วยเหลือสภาปี้เซวียน นี่สามารถมองได้ว่าเป็นการตอบแทนความใจดีของศิษย์พี่ที่มอบหนังสือแก่ข้า”
ในตอนนี้พวกนางได้รับคำตอบตกลงจากนาง ผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวจึงรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกได้ในที่สุด “ดี! ดี! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นส่วนหนึ่งพวกของเราแล้ว”
หลังจากนั้นผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวพาโม่เทียนเกอลงมาที่ชั้นสาม ประกาศให้กับอีกสามคนฟังว่าพวกนางจะเชิญให้โม่เทียนเกอเป็นผู้อาวุโสรับเชิญของสภาปี้เซวียน
ข่าวนี้ค่อนข้างน่าตกใจ ซย่าชิงจมอยู่ในภวังค์ความคิดครู่หนึ่ง ในขณะที่เว่ยเฮ่าหลานผู้ที่เพิ่งฟื้น และถังเซิ่นต่างแสดงสีหน้าที่หลากหลาย
โม่เทียนเกอยิ้มตลอดเวลา นางเพิ่งมีตำแหน่งที่เรียกว่าผู้อาวุโสรับเชิญ นางยอมรับการทำความเคารพของพวกเขา แต่นางไม่ได้อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจธุระต่างๆ ของกลุ่ม พวกเขารู้ว่าในฐานะของศิษย์โรงเรียนเสวียนชิง ไม่มีเหตุผลที่โม่เทียนเกอจะอยู่ที่สภาปี้เซวียน และนางก็ไม่ได้มีข้อขัดแย้งต่อพวกเขา ดังนั้น พวกเขาจึงเพียงแค่ตกใจครู่หนึ่งก่อนที่จะกลับคืนสู่สภาวะปกติ พวกเขาต่างแสดงความยินดีกับนางและแสดงท่าทางทักทายตามพิธี
เมื่อพิธีทักทายเสร็จสิ้น ผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวกลับไปที่ชั้นสี่เพื่อฟื้นตัวต่อขณะที่โม่เทียนเกอยังคงอยู่ที่ชั้นสาม
“สหายนักพรตเยี่ย” เว่ยเฮ่าหลานเรียกนางด้วยรอยยิ้ม อาการบาดเจ็บของนางยังคงสาหัส แต่ในตอนนี้นนางได้ตื่นขึ้นมาแล้ว “ต่อแต่นี้ไป พวกเราเป็นกลุ่มเดียวกัน”
โม่เทียนเกอแสดงรอยยิ้มจางๆ เว่ยเฮ่าหลานรู้ว่าเจตนาของผู้อาวุโสทั้งสองคืออะไร ถึงแม้ว่าพวกนางจะปกป้องนางไว้ได้ มันก็จะยังคงยากสำหรับนางที่จะข้ามผ่านดินแดนในชีวิตที่เหลืออยู่ของนาง ดังนั้นผู้อาวุโสทั้งสองจึงอนุญาตให้โม่เทียนเกอเป็นผู้หนุนหลังนาง
“ท่านเจ้าสำนักเว่ยไม่ต้องสุภาพนัก ในอนาคตสภาปี้เซวียนยังคงต้องพึ่งพาท่าน ข้าช่วยอะไรได้ไม่มากนัก”
เว่ยเฮ่าหลานยิ้ม “พวกเราต่างรู้อยู่เต็มอกว่าเกิดอะไรขึ้น สหายนักพรตเยี่ย พูดโดยย่อก็คือโปรดช่วยเราด้วย”
เว่ยเฮ่าหลานเป็นคนฉลาด การที่ต้องต่อกรกับคนฉลาดนั้นค่อนข้างผ่อนคลายเพราะพวกเขาต่างมีความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ได้ดีทั้งสองฝ่าย เพราะเหตุนั้น หลังจากพวกนางฆ่าเริ่นอวี่เฟิง การเป็นผู้อาวุโสรับเชิญจึงไม่ได้ยุ่งยากนักในเมื่อเว่ยเฮ่าหลานจะคอยอยู่กับนาง
หลังจากที่โม่เทียนเกอพูดคุยสั้นๆ กับเว่ยเฮ่าหลานจบ ถังเซิ่นก็แอบจ้องมองนางอย่างระมัดระวัง สุดท้ายแล้วเขาก็รวบรวมความกล้าและพูดกับนางด้วยเสียงที่เล็ก “สหายนักพรตเยี่ย พวกเราคุยกันครู่หนึ่งได้ไหม”
โม่เทียนเกอค่อนข้างประหลาดใจ นางไม่ได้คาดคิดว่าถังเซิ่นนั้นจะกล้าเป็นฝ่ายเริ่มพูดกับนาง นางคิดอยู่ครู่เดียวก่อนที่จะตอบอย่างตรงไปตรงมา “ได้สิ”
ถังเซิ่นหันกลับไปทางม่านพลังเคลื่อนย้าย “พวกเรา… ไปที่นั่นกันไหม”
โม่เทียนเกอพยักหน้า คาดว่าเรื่องที่พวกเขาจะต้องคุยกันนั้นคงไม่เหมาะสมที่จะให้เว่ยเฮ่าหลานและซย่าชิงได้ยิน
เมื่อพวกเขาลงมาที่ชั้นสอง โม่เทียนเกอหยุดเดินและพูด “สหายนักพรตถัง หากท่านมีอะไรที่อยากพูด ท่านพูดออกมาตรงๆ ได้เลย”
ถังเซิ่นหันมาทางนาง เขาเงียบอยู่เป็นเวลานานก่อนที่สุดท้ายจะพูดออกมา “สหายนักพรตเยี่ยน่าจะทราบอยู่แล้วว่าข้าครอบครองปราณหยางบริสุทธิ์ใช่หรือไม่”
“… ใช่แล้ว”
ถังเซิ่นยังคงไม่กล้ามองที่นาง ดังนั้นเขาจึงมองไปทางอื่นขณะที่พูด “ดังนั้น… สหายนักพรตเยี่ยคิดอย่างไรกับมันบ้าง”
โม่เทียนเกอรู้ว่าเขาต้องการได้ยินคำตอบแบบไหน แต่นางเพียงแค่หัวเราะเบาๆ “สหายนักพรตถัง ท่านอาจจะต้องพูดก่อนว่าท่านคิดอย่างไรนะ”
“…” ถังเซิ่นใช้เวลาพักหนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นอีกครั้ง “ท่านทวดของข้าถูกฆ่าจากมารผู้ฝึกตนคนนั้น ครอบครัวของข้าอยู่ด้านนอก และข้าไม่รู้สถานการณ์เลยว่าพวกเขาเป็นอย่างไร ข้าอยากฝึกตนให้เหมาะสมและฆ่ามารผู้ฝึกตนนั่นเพื่อแก้แค้นให้กับท่านทวดของข้า”
เขาดูจริงจังเมื่อเขาพูดเช่นนั้น ในที่สุดก็ได้แสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดที่ผู้ชายควรมีออกมา
อย่างไรก็ตาม น้ำเสียงโม่เทียนเกอยังคงเรียบเฉยเมื่อนางถาม “แล้ว”
“ดังนั้น…” ถังเซิ่นเงยหน้าขึ้นมองโม่เทียนเกอในที่สุด เขาพูดหนักแน่นอย่างที่เขาไม่เคยแสดงให้เห็นมาก่อน “สหายนักพรตเยี่ย ท่านเป็นผู้ฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับข้าได้หรือไม่”
นางรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องการที่จะคุยกับนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่มันก็ยังคงนำมาซึ่งความประหลาดใจที่ถังเซิ่น ผู้ซึ่งมีท่าทางอ่อนแออย่างกับผู้หญิงจะพูดมันอย่างตรงไปตรงมา
โม่เทียนเกอไม่ได้ตอบในทันที แต่ถึงแม้ถังเซิ่นจะดูอ้อนวอน นางก็ส่ายหัวพร้อมพูดว่า “ข้าขอโทษ สหายนักพรตถัง เกี่ยวกับคู่ฝึกตนร่วมสัมพันธ์ ข้าไม่สามารถตกลงได้”
ถึงแม้ว่าถังเซิ่นจะรู้ว่าโม่เทียนเกอไม่ได้สนใจเขา เขาก็ไม่ได้คาดคิดว่านางจะปฏิเสธคำขอของเขาอย่างขวานผ่าซากเช่นนี้ หลังจากความประหลาดใจครู่หนึ่ง เขาพูดอย่างกังวล “ทำไม สหายนักพรตเยี่ย ข้าครอบครองปราณหยางบริสุทธิ์ และท่านก็มีร่างกายแห่งหยินบริสุทธิ์ ความจริงที่ว่าพวกเราได้พบกันนั้นแสดงให้เห็นว่าเราคือคู่ที่พระเจ้าประทาน ทำไมท่านถึงปฏิเสธข้า”
โม่เทียนเกอคงรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า “สหายนักพรตถัง หากเป็นเช่นนั้น ทำไมท่านถึงไม่ยินดีที่จะฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับหนึ่งในสหายศิษย์หญิงของท่านในช่วงปีที่ผ่านมาเล่า”
ถังเซิ่นตะลึงงันแต่หลังจากนั้นเขาก็กระซิบตอบ “ข้า… ข้าไม่ได้ชอบพวกนาง ดังนั้น…”
“เหตุผลของข้าก็เช่นเดียวกันกับของท่าน” โม่เทียนเกอพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่ง “ท่านไม่ได้มีความรู้สึกให้ข้า ท่านต้องการที่จะฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับข้าเพียงเพราะข้ามีปราณหยินบริสุทธิ์ หากไม่ได้มีความรักระหว่างเราขณะที่พวกเราเกี่ยวดองเป็นคู่ฝึกตนร่วมสัมพันธ์ แล้วจะต่างอะไรกับการฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับหนึ่งในสหายศิษย์หญิงของท่านเล่า”
ถังเซิ่นจ้องมองนางแต่ไม่ได้พูดอะไร
โม่เทียนเกอจ้องคนที่อยู่ด้านหน้าของนางเช่นกัน คุณชายถังผู้เยาว์วัย ผู้ซึ่งไม่เคยประสบความเจ็บปวดในชีวิตมาก่อน พร้อมพูด “ข้าไม่ฝึกตนร่วมสัมพันธ์เพียงเพราะเหตุผลเช่นนี้ วิถีแห่งเต๋าเพื่อกลายเป็นเซียน… ข้าจะเดินข้ามผ่านมันไปด้วยตัวเอง ทีละก้าวๆ”
น้ำเสียงนางฟังดูเด็ดเดี่ยว ส่งผลให้แววตาถังเซิ่นนั้นดูผิดหวัง อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ยอมแพ้ “สหายนักพรตเยี่ย หากท่านฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับข้า ท่านก็จะสามารถก้าวข้ามผ่านดินแดนไปได้เร็วขึ้น”
ยังคงเป็นรอยยิ้มน้อยๆ เช่นเดิม โม่เทียนเกอพูด “สหายนักพรตถัง สุดท้ายแล้วท่านก็ไม่ได้เป็นหญิง บางทีทุกคนในโลกแห่งการฝึกตนนั้นยกผลประโยชน์ไว้เหนือกว่าสิ่งอื่นใด แต่สำหรับผู้หญิง การที่ได้อยู่กับใครสักคนที่ไม่ได้รักนั้นช่างทรมานยิ่งนัก”
“…”
“แน่นอน นี่ไม่ได้หมายความว่าสหายนักพรตถังไม่ดี” เมื่อเห็นว่าเขาดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างมาก บางสิ่งบางอย่างแวบเข้ามาที่สายตาของโม่เทียนเกอ แต่นางยังคงยิ้มเล็กน้อยพร้อมพูด “แต่นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ข้าเป็นผู้ฝึกตน แต่ข้าเองก็เป็นผู้หญิง บางทีผู้หญิงบางคนอาจจะสามารถล้มเลิกหลักการของพวกนางเพื่อการฝึกตนได้ แต่ข้าไม่ใช่หนึ่งในกลุ่มนั้น ข้ามีศักดิ์ศรีของข้า ดังนั้นจะมีบางสิ่งที่ข้าจะยืนกรานไปจนถึงท้ายที่สุด”
“…” ถังเซิ่นตะกุกตะกักอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่สามารถพูดอะไรต่อได้อีก
โม่เทียนเกอหัวเราะ “สหายนักพรตถัง เดิมทีท่านไม่ได้เหมือนข้าหรอกหรือ อย่าปล่อยให้การตายของบรรพบุรุษบดบังตัวตนของท่าน การเดินทางเพื่อบรรลุเต๋าสำหรับผู้ฝึกตน การฝึกตนร่วมสัมพันธ์เป็นเพียงแค่เส้นทางเล็กๆ เท่านั้น หากจุดหมายของท่านคือการบรรลุเต๋าเช่นกัน ท่านก็ควรคงไว้ซึ่งหัวใจดั้งเดิมและปกป้องหัวใจนั้นอย่างดี ด้วยทางนั้น ท่านจะต้องได้รับอะไรที่มากยิ่งกว่าแน่นอน”