ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 220-1 การต่อสู้ระหว่างความเป็นความตาย
เริ่นอวี่เฟิงมองดูภาพที่อยู่เบื้องล่าง ใบหน้าเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธชัง ท่ามกลางพื้นที่กว้างขวางภายในสภาปี้เซวียน ผู้ฝึกตนหลายร้อยคนยืนกระจัดกระจายอยู่ล้อมรอบ ทว่าไม่มีสักคนที่เผยให้เห็นถึงรัศมีมรณะ จากนั้นเขาจึงจ้องเขม็งอย่างโกรธชังไปยังหญิงสองคนที่อยู่เบื้องหน้า “หญิงชราทั้งหลาย พวกเจ้าได้ทำลายความดีของข้าเสียแล้ว!”
ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวสะบัดแส้ของนาง ภายใต้หมวกผ้าโปร่ง สีหน้านางเย็นชาดุจน้ำแข็ง “เจ้าผู้ฝึกตนแสนชั่วช้า! ความตายมาเยือนเจ้าถึงที่แล้ว แต่เจ้ากลับยังกล้าโอหังเช่นนี้อีกหรือ!”
“ความตายมาเยือนข้าอย่างนั้นหรือ” เริ่นอวี่เฟิงจ้องมองอย่างเหยียดหยามไปยังพวกเขา ความอำมหิตปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา ขณะที่เขากล่าวต่อไปว่า “แม้ว่าความตายจะมาเยือนข้าแล้ว แต่ข้าจะทำให้เจ้าได้ลิ้มรสมันเสียก่อน!”
“เฮอะ!” ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวมองเขาอย่างเย็นชา ลดระดับกำปั้นที่กำแน่นมาไว้บนหน้าอก “ตราบใดที่เราสามารถสังหารเจ้าได้ หากหญิงชราสองนางอย่างพวกข้าจะต้องตายจากไปแล้วจะเป็นไรไป เจ้าสังหารลูกศิษย์ของข้า ทำลายสภาปี้เซวียนของข้า วันนี้สองพี่น้องนักสู้อย่างพวกข้าจะขอล้างแค้นด้วยตัวของพวกข้าเอง!”
เริ่นอวี่เฟิงยังคงโอหังเช่นเดิม “ฮ่าๆ มันขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีความสามารถมากพอหรือไม่!”
ผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวนิ่งเงียบไม่พูดจา ทั้งสองจ้องมองกันและกัน จากนั้นทั้งคู่ประสานมือเข้าด้วยกันเพื่อใช้วิชา
ทันใดนั้น ร่างของผู้อาวุโสทั้งสองก็เรืองแสงสีแดงฉาน มันทั้งเข้มข้นและมีสีเข้มงดงาม เฉกเช่นเดียวกับสีของเลือด แสงสว่างเรืองรองมากขึ้นเรื่อย ๆ และในขณะเดียวกัน สีแดงดั่งโลหิตนั้นก็เพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น แสงที่ปรากฏออกมาจากร่างของผู้อาวุโสทั้งสองค่อยๆ ประสานเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว
การได้เห็นภาพฉากเช่นนี้ทำให้เริ่นอวี่เฟิงระมัดระวังตัว เขาเคยประลองกับสองผู้อาวุโสมาสักพักแล้ว และเขาคิดว่าเขาสามารถเอาชนะทั้งสองคนด้วยพลังลมปราณของเขาได้อย่างรวดเร็ว ทว่าท้ายที่สุดแล้ว เขากลับพบว่าตนเองกำลังเสียเปรียบอย่างน่าประหลาดใจ
แม้ว่าจิตใจของเขาจะไม่ปกติ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขากลายเป็นคนโง่ ทันใดนั้น เขาก็เข้าใจในทันทีว่าผู้อาวุโสทั้งสองจะต้องฝึกวิชาลับบางอย่างอยู่ภายในเจดีย์นั่นแน่นอน ดังนั้น พลังของพวกเขาจึงกล้าแกร่งขึ้นถึงระดับนั้นภายในเวลาสั้นๆ เพียงยี่สิบปีได้
ถึงกระนั้นก็ตาม เขาไม่ต้องการยอมรับความพ่ายแพ้ และด้วย ‘ลมปราณเทพมังกร’ เขาสามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ได้ในไม่ช้า จากนั้น ก็ก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพ เคลื่อนย้ายอย่างเสรีเข้าสู่โลกมนุษย์ และขยับขึ้นไปสู่การเป็นเซียนได้! หญิงชราทั้งสองมีประโยชน์ตรงไหนกัน เขาสามารถฆ่าพวกนางได้อย่างแน่นอน!
เมื่อคิดเช่นนั้น พลังมรณะรอบกายของเริ่นอวี่เฟิงก็ปรากฏความเข้มข้นมากขึ้นในทันที ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้พลังสีดำนั้นก็ปรากฏความดุร้ายมากยิ่งขึ้น
ในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา ทั้งสามคนเริ่มเคลื่อนไหว เมื่อผู้อาวุโสทั้งสอง ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยพลังสีแดงฉานนั้น ปล่อยพลังวิญญาณของพวกนางออกมา เริ่นอวี่เฟิงก็ปล่อยพลังมรณะของเขาโต้กลับไปที่พวกนางทั้งสองเช่นกัน
ศาตราวุธเวทที่ผู้อาวุโสทั้งสองใช้เวลาสี่ปีในการหลอมให้บริสุทธิ์นั้น เรียกว่าแส้กักวิญญาณ ในตอนนี้ เริ่นอวี่เฟิงไม่อาจถูกมองว่าเป็นมนุษย์อีกต่อไปแล้ว เขาทั้งซูบผอมและเ**่ยวแห้งราวกับโครงกระดูก แต่สิ่งของต่างๆ ที่สามารถทำร้ายกายหยาบในยามปกติได้นั้น กลับทำอะไรเขาไม่ได้ ดังนั้น ผู้อาวุโสทั้งสองจึงต้องใช้ศาตราวุธเวทชิ้นนี้แทน ศาตราวุธเวทนี้มีคุณสมบัติในการโจมตีวิญญาณเริ่มต้นเป็นพิเศษ เริ่นอวี่เฟิงจะต้องเผชิญกับความยากลำบากในการปกป้องตัวเองจากมันอย่างแน่แท้ พลังมรณะของเขาสามารถปกป้องกายหยาบของเขาได้ แต่มันไม่สามารถปกป้องวิญญาณเริ่มต้นของเขาได้ เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก เขาจะต้องทุกข์ทรมานจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากมัน
ในยามปกติ ผู้อาวุโสทั้งสองจะร่วมมือกันเป็นอย่างดี คนหนึ่งคอยบุกโจมตี ส่วนอีกคนคอยตั้งรับไว้ แต่ทว่าในตอนนี้ พวกนางทั้งสองได้ปรับกลยุทธ์ประจำของพวกนางเสียใหม่ ตอนนี้ พวกนางทั้งสองยอมละทิ้งแนวการป้องกันไปจนหมดสิ้น และหันมามุ่งมั่นกับการบุกโจมตีโดยสิ้นเชิงแทน
ผู้ชมที่อยู่เบื้องล่างไม่อาจละสายตาจากการต่อสู้อันโหดเ**้ยมบนห้วงอากาศนี้ได้
ผลลัพธ์จากการประลองพลังเวทนี้ จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของพวกเขา
พวกเขาจะยังคงต้องตกเป็นทาสต่อไป หรือพวกเขาจะสามารถมีชีวิตในฐานะมนุษย์ได้กัน แน่นอนว่าพวกเขาทุกคนล้วนแต่วาดหวังถึงสิ่งหลัง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พวกเขามีสิทธิ์เลือกได้ พวกเขาทำได้แค่เพียงเฝ้ารอ เฝ้ารอถึงผลลัพธ์สุดท้ายของการประลองในครั้งนี้
แสงสีแดงฉานทั้งสอง และพลังมรณะเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับที่ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้อีกต่อไป ภายใต้แรงกดดันพลังวิญญาณนี้ ผู้คนจำนวนมากต่างยากที่จะหายใจได้อย่างคล่องปอด
เว่ยเฮ่าหลานตะโกนออกไปเสียงดัง เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์นี้ “ศิษย์น้องซย่า ศิษย์น้องถัง รีบพาพวกเขาออกไปให้ไกลจากที่นี่เสีย!” คนจำนวนมากส่วนใหญ่อยู่ในดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังงานวิญญาณเท่านั้น พวกเขาจะสามารถทนรับต่อแรงกดดันพลังวิญญาณมหาศาลขนาดนี้ได้อย่างไร
ซย่าชิงและถังเซิ่นตอบรับคำสั่งของนาง
ถึงกระนั้น ก่อนที่พวกเขาทั้งสองจะได้ลงมือปฏิบัติตามคำสั่ง จู่ๆ เริ่นอวี่เฟิงก็หยุดอยู่กลางอากาศอย่างฉับพลัน ราวกับว่าเขาได้ยินเสียงของเว่ยเฮ่าหลาน จึงรีบหันหลังและพุ่งลงมายังเบื้องล่างในทันที
ผู้อาวุโสทั้งสองรีบติดตามเขามาอย่างฉับพลัน แต่เริ่นอวี่เฟิงนั้นรวดเร็วกว่ามาก ทำให้พวกเขาไม่อาจขวางทางเขาเอาไว้ได้
เว่ยเฮ่าหลานก็หวาดกลัวเมื่อได้เห็นการเคลื่อนไหวของเขาเช่นกัน ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆ นางก็เห็นโม่เทียนเกออยู่ในทิศทางที่เริ่นอวี่เฟิงกำลังมุ่งหน้าไปเช่นกัน “ผู้อาวุโสโม่เหรอ”
โม่เทียนเกอสัมผัสได้ถึงพลังมรณะที่แผ่ปกคลุมไปทั่วอยู่ก่อนแล้ว แต่นางไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา นางเลือกที่จะป้ายเครื่องรางต้านพิษบนร่างกายอีกครั้ง และเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกมาแทน มันขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นพรมถักทอในพริบตา และพุ่งตรงไปหาเริ่นอวี่เฟิงอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เริ่นอวี่เฟิงเห็นนางเข้า ความเกลียดชังเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยพลังมรณะของเขา เขาไม่แยแสต่อทุกคนที่อยู่ตรงนั้น กระโจนพุ่งตรงไปที่นางโดยตรง
โม่เทียนเกอรีบตั้งรับอย่างรวดเร็ว โดยวางผ้าเช็ดหน้าไหมขาวไว้ที่ตรงหน้าเพื่อเป็นเครื่องป้องกัน นางกดแรงลงไปบนรองเท้าย่ำเมฆา จากนั้นเสียงคล้ายกับฟ้าฟาดพลันดังลั่นขึ้นภายในหูของนาง ในพริบตาต่อมา นางได้หายตัวไปเสียแล้ว ไปปรากฏตัวที่หลายสิบจั้งเบื้องหลังของเริ่นอวี่เฟิง
นี่คือพายุชั่วอึดใจ วิชาการเดินทางทันที ซึ่งสลักอยู่บนกำแพงแห่งถ้ำเซียนของนักพเนจรจื่อเวย เนื่องจากนักพเนจรจื่อเวยได้แก้ไขมันแล้ว ผู้ฝึกตนในการสร้างฐานพลังงานจึงสามารถใช้มันได้ วิชานี้เป็นเพียงวิชาเดียวที่ผู้สลักมันยังคงมีลมหายใจอยู่ โม่เทียนเกอใช้เวลาอันแสนยาวนานตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาในการเรียนรู้มัน และตอนนี้ก็สามารถใช้การได้ในที่สุด
เห็นได้ชัดว่าเริ่นอวี่เฟิงไม่รับรู้ถึงสิ่งใด เพราะเขาเพียงแต่ยืนนิ่งอยู่ในความตะลึงงันและความสับสน ในตอนนั้นเองที่ผู้อาวุโสทั้งสองจับตัวเขาได้ในที่สุด และแส้กักวิญญาณก็สะบัดฟาดลงไปที่เริ่นอวี่เฟิงอีกครา
“อ๊าก!” เริ่นอวี่เฟิงร้องหวีดเสียงดัง เขาถูกแส้ฟาดลงไปที่ศีรษะ ด้วยล้มเหลวในการตั้งจิตให้มั่น
ขณะที่ถูกแส้ฟาดเพียงหนึ่งครั้ง เริ่นอวี่เฟิงก็หันหลังกลับมาในทันที และจ้องเขม็งไปยังโม่เทียนเกอด้วยความโหดเ**้ยมอำมหิต พลังมรณะบนร่างกายของเขากำลังท่วมท้นไปทั่ว
ถึงกระนั้นก็ตาม ผู้อาวุโสทั้งสองไม่ปล่อยให้เขาได้มีเวลาพักผ่อน พวกนางร่ายวิชาลับอย่างต่อเนื่อง ทำให้แส้กักวิญญาณมีแสงสีแดงฉานเรืองรองขึ้นมา จากนั้นจึงสะบัดฟาดลงไปที่เริ่นอวี่เฟิงอีกครั้งหนึ่ง
เริ่นอวี่เฟิงไม่ยอมจำนนต่อความตาย จึงรวบรวมพลังมรณะของเขา และกระโจนเข้าสู่การต่อสู้ระหว่างความเป็นความตายอีกครั้ง
โม่เทียนเกอร่อนลงสู่พื้นอย่างเงียบเชียบ เมื่อเห็นว่าผู้ฝึกตนระดับล่างทุกคนได้ถอยร่นไปไกลมากเท่าที่จะทำได้แล้ว นางจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วส่งสัญญาณบอกเว่ยเฮ่าหลานว่าพวกนางทั้งสองคนควรจะล่าถอยไปให้ไกลเล็กน้อยจากที่นี่เช่นกัน
พวกนางรู้ดีว่าระดับการฝึกตนของผู้อาวุโสทั้งสองนั้น ถึงขั้นสูงสุดของดินแดนแห่งการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้ว และพลังมรณะของเริ่นอวี่เฟิงเองก็เข้มข้นขึ้นกว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้อาจถือได้ว่าเป็นหนึ่งในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ทีเดียว มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนในระดับของตนเองนั้นสามารถเข้าร่วมได้ ความจริงแล้ว พวกนางมองไม่เห็นว่าการต่อสู้ดำเนินไปอย่างไรด้วยซ้ำ พวกนางเพียงแต่มองเห็นพลังมรณะและแสงสีแดงฉานพัวพันต่อกรซึ่งกันและกัน ในขณะที่สัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณอันดุร้ายอย่างไม่น่าเชื่อเท่านั้น
โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่จะนึกถึงการต่อสู้ที่อาจารย์ลุงเจิ้นหยางร่วมมือกับอาจารย์ของนาง เพื่อต่อกรกับอาจารย์ซงเฟิง ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างพิธีการก่อเกิดวิญญาณของอาจารย์ลุงเสวียนอิน ถึงแม้ว่าแรงผลักดันของการต่อสู้ครั้งนี้จะไม่แข็งแกร่งเท่า แต่ก็เ**้ยมโหดกว่ามาก ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ล้วนแต่รักตัวกลัวตาย ในทางกลับกัน… พวกเขากำลังต่อสู้เพื่อชีวิตของพวกเขาในตอนนี้!