ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 220-2 การต่อสู้ระหว่างความเป็นความตาย
“ดูนั่นสิ!” เว่ยเฮ่าหลานชี้ไปบนท้องฟ้า ในระหว่างการต่อสู้ แสงสีแดนฉานแผ่เรืองรองและเข้าโอบล้อมพลังมรณะทั้งหมด
โม่เทียนเกอและเว่ยเฮ่าหลานมองหน้ากันและกันอย่างรวดเร็ว ความตื่นเต้นถาโถมเข้าสู่หัวใจของพวกเขา
โชคร้ายที่พลังมรณะกลับค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง เกือบที่จะกลืนกินแสงสีแดงฉานไป
การต่อสู้ตกอยู่ในสภาพที่ต่างฝ่ายต่างคุมเชิงกันไปชั่วครู่หนึ่ง ทำให้โม่เทียนเกอและเว่ยเฮ่าหลานที่กำลังจับตาดูอยู่นั้น สั่นเทิ้มไปด้วยความกลัว
สิ่งใดจะเกิดขึ้นหากพวกนางทั้งสองพ่ายแพ้กัน พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงผลลัพธ์ที่อาจตามมา ถ้าหากพวกเขาต้องแพ้พ่าย… และผู้อาวุโสทั้งสองต้องสูญสิ้นชีวิตไป สภาปี้เซวียนคงไม่มีทางสร้างกลับขึ้นมาได้ใหม่ และพวกเขาคงจะต้องเผชิญหน้ากับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อีกรอบเป็นแน่
เมื่อโม่เทียนเกอคิดมาถึงจุดนี้ นางก็เลื่อนสายตาลงไปจ้องมองที่มือทั้งสองข้าง นางสลายพลังมรณะบนร่างของนางเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นถ้าสถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นอีก นางสามารถก้าวเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเพื่อหลบซ่อนตัวได้ กระนั้นก็ตาม นางจะเผชิญหน้ากับหายนะครั้งนี้ไปพร้อมกับทุกคนที่อยู่ตรงนี้ พวกเขาอยู่ที่นี่มาด้วยกันเป็นเวลายี่สิบปี และตอนนี้ผู้อาวุโสทั้งสองล้วนแต่เสียสละชีวิตของพวกนางเสียด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นไม่ใช่จุดจบที่นางหวังให้มันเกิดขึ้น
“ท่านผู้อาวุโส!” เว่ยเฮ่าหลานแผดเสียงขึ้นมาอย่างฉับพลัน
โม่เทียนเกอเงยหน้า ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ว่าหัวใจของนางกำลังจมดิ่งลง พลังมรณะบนท้องฟ้ากำลังแผ่ซ่านปกคลุมไปทั่วยิ่งกว่าเดิมในบัดนี้ นางรีบเตรียมตัวให้พร้อมในทันที ถ้าหาก… ถ้าหากผู้อาวุโสทั้งสองต้องพ่ายแพ้จริง นางจะพาเว่ยเฮ่าหลานไปซ่อนตัวอยู่ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนสักพัก
ถึงกระนั้นก็ตาม เมื่อแสงสีแดงฉานถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้น มันก็ระเบิดออกมาในทันที และในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ได้ยินผู้อาวุโสชิงอี้ตะโกนออกไปว่า “ตายเสียเถอะ!”
แสงสีแดนฉานระเบิดไปทั่วทุกที่ราวกับหยาดเลือด ทันใดนั้นก็ทลายพลังมรณะจนแตกเป็นเสี่ยงๆ
“อ๊าก!” เริ่นอวี่เฟิงแผดเสียงร้องอันน่าสยองขวัญออกมา เขาสูญเสียการควบคุมพลังมรณะบนร่างของเขาไป เช่นเดียวกับหยดหมึกจางหายไปในน้ำบริสุทธิ์ พลังมรณะก็ค่อย ๆ สลายตัวหายไป
เมื่อเสียง ‘เปาะแปะ’ สามเสียงดังขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ยกัน ผู้คนทั้งสามก็กระแทกพื้นดินขณะที่พวกเขาร่วงหล่นจากท้องฟ้าไปทีละคน
แรงผลักดันที่เหลืออยู่กระจัดกระจายไป และพลังวิญญาณก็ค่อยๆ เลือนหายไป แรงกดดันวิญญาณสูงสุดของผู้ฝึกตนแห่งการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ไม่อาจสัมผัสได้อีกต่อไป
โม่เทียนเกอและเว่ยเฮ่าหลานยังคงมองดูร่างทั้งสามต่อไป แต่เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนนั้นไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย พวกเขาจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากวิ่งหนี
“ท่านผู้อาวุโส! ท่านผู้อาวุโส!” เว่ยเฮ่าหลานตะโกน ขณะพุ่งตัวเองไปหาผู้อาวุโสทั้งสอง
หมวกผ้าโปร่งทั้งสองใบร่วงหล่นลงมา เผยให้เห็นใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกและแห้งเหือดอยู่ภายใน ซึ่งดูคล้ายกับต้นไม้อายุยืนนานที่ตายมานานหลายปี เต็มไปด้วยความกระด้างและเย็นยะเยือก
ผู้อาวุโสชิงอี้ลืมตาของนางอย่างยากลำบาก และเพ่งมองไปยังเริ่นอวี่เฟิง เมื่อนางเห็นว่าเขาไม่มีการเคลื่อนไหวและพลังมรณะบนร่างของเขาก็กำลังเลือนหายไป นางจึงเผยสีหน้าที่ราวกับกำลังยิ้มอยู่ในที่สุด และสบสายตากับผู้อาวุโสชิงเมี่ยว ผู้ไม่อาจเอ่ยวาจาใดออกมาได้ในขณะนี้ พวกนางทั้งสองยิ้มและหลับตาลงในท้ายที่สุด
“ท่านผู้อาวุโส!” เว่ยเฮ่าหลานตะโกนเสียงดัง ดวงตานางเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
หลังจากประเมินสถานการณ์คร่าวๆ แล้ว โม่เทียนเกอจึงตบบ่าของเว่ยเฮ่าหลาน และส่ายศีรษะของนาง ไม่อาจช่วยเหลือผู้อาวุโสทั้งสองได้อีกต่อไป
ทำไมเว่ยเฮ่าหลานจะไม่รู้เรื่องนี้กัน นางเพียงแต่ยากที่จะทำใจยอมรับความจริงได้เท่านั้น
เมื่อเห็นท่าทางของเว่ยเฮ่าหลานแล้ว โม่เทียนเกอก็พลันเข้าใจได้ว่าเว่ยเฮ่าหลานต้องการเวลาเพื่อยอมรับกับการจากไปของผู้อาวุโสทั้งสองอย่างแน่นอน นางจึงปล่อยเว่ยเฮ่าหลานไป และเดินตรงไปยังเริ่นอวี่เฟิง ก่อนนางจะได้พบกับเริ่นอวี่เฟิง นางไม่เคยคาดคิดเลยว่า วันหนึ่งนางจะถูกกดขี่จากใครสักคนจนถึงจุดที่นางไม่สามารถทำอะไรได้เลย ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่ไร้ซึ่งภูมิหลังหรือทักษะใดๆ กลับบังคับฝืนให้นางสูญเสียเวลาถึงยี่สิบปีไปอย่างช่วยไม่ได้โดยสิ้นเชิง
อย่าได้ดูถูกใครเป็นอันขาด ภายในโลกแห่งการฝึกตนที่เต็มไปด้วยความผันแปรนี้ ผู้ฝึกตนแห่งการหลอมรวมพลังงานวิญญาณที่คุณคิดว่าไร้ซึ่งความสำคัญนั้น อาจแข็งแกร่งกว่าตัวของคุณมากในอนาคต
หลังจากถอนหายใจเฮือกใหญ่ โม่เทียนเกอจึงหยิบกระเป๋าเอกภพของเริ่นอวี่เฟิง และปาเครื่องรางธาตุไฟออกมา เพื่อเผาศพของเริ่นอวี่เฟิงจนหมดสิ้น เมื่อนางเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าพลังมรณะยังคงไม่กระจายหายไปทั้งหมด นางก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ พลังมรณะนี้จะไม่กระจายหายไปในช่วงเวลาสั้นๆ ดังนั้น ดูเหมือนว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานมาก ก่อนทีพวกเขาจะอนุญาตให้ผู้อื่นย่างกรายเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ได้
ซย่าชิงและถังเซิ่นต่างวิ่งมาหาพวกเขาเช่นกัน เมื่อเห็นร่างของผู้อาวุโสทั้งสองเข้า ทั้งสองคนก็ตะลึงงันและทรุดลงไปกองกับพื้นดินพร้อมด้วยเสียง ‘เปาะแปะ’ “ท่านผู้อาวุโส…”
ต่างจากทั้งสองคน เว่ยเฮ่าหลานกลับยืนขึ้น และปาดน้ำตาบนใบหน้าของนางอย่างเยือกเย็น “ผู้อาวุโสทั้งสองได้ทำทุกสิ่งอย่างที่พวกนางหมายจะทำแล้ว ตอนนี้ถึงทีของเราแล้ว”
“ศิษย์พี่…”
“ศิษย์น้องซย่า นำร่างของผู้อาวุโสทั้งสองไปที่เจดีย์บรรลุเต๋า ศิษย์น้องถัง ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นลูกศิษย์ของสภาปี้เซวียนหรือไม่ บอกทุกคนให้มารวมตัวกันที่อารามด้วย”
“…ขอรับ” จากนั้น ทั้งซย่าชิงและถังเซิ่นต่างลุกขึ้นยืนและออกไปปฏิบัติภารกิจที่ตนได้รับมอบหมาย
“ผู้อาวุโสโม่” เว่ยเฮ่าหลานกล่าวในขณะที่นางมองไปที่โม่เทียนเกอ “ผู้อาวุโสทั้งสองได้จากพวกเราไปแล้ว ตอนนี้ท่านคือผู้อาวุโสคนเดียวที่เหลืออยู่ของสภาปี้เซวียน ดังนั้นได้โปรดไปกับข้าเพื่อปลอบขวัญศิษย์ท่านอื่นด้วย”
“…ตกลง ข้าจะทำตามที่เจ้าร้องขอ”
ถังเซิ่นเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว เพียงห้านาทีต่อมา ผู้ฝึกตนทุกคนต่างมารวมตัวกันอยู่ภายในอารามของสภาปี้เซียนเรียบร้อยแล้ว บางคนทั้งรู้สึกปลื้มปีติและตื่นเต้น แต่บางคนกลับดูมีท่าทีกังวลและหวาดกลัว
บรรดาผู้คนที่ปลื้มปีติและตื่นเต้นนั้น คือลูกศิษย์ของสภาปี้เซวียนแต่ดั้งเดิม ตลอดเวลายี่สิบปีที่ผ่านมานี้ พวกเขาถูกทรมานในทุกรูปแบบ และตอนนี้พวกเขาก็มาถึงวันนั้นในที่สุด บรรดาผู้คนที่หวาดกลัวคือผู้ฝึกตนอิสระที่เริ่นอวี่เฟิงสรรหามา และผู้ฝึกตนเกือบทุกคนนั้นล้วนแต่เป็นบุรุษทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยถูกรังแกหรือถูกทำให้อับอาย ในขณะที่สภาปี้เซวียนยังคงดำรงอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่เคยมีโอกาสได้เชิดหน้าชูตาเช่นกัน เมื่อสภาปี้เซวียนถูกทำลายจนหมดสิ้น พวกเขารู้สึกมีความสุขในคราแรก ทว่าจากนั้นก็ค่อยๆ ตระหนักได้ว่าการเข้าร่วมกลุ่มเพื่อการฝึกตนนั้นก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเช่นกัน
เว่ยเฮ่าหลานลอยตัวอยู่กลางอากาศ จ้องมองผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่เบื้องล่างด้วยสีหน้าที่เย็นชาอย่างมาก นางกล่าวออกไปว่า “เหล่าศิษย์ทั้งหลาย สภาปี้เซวียนของเราได้ผ่านหายนะไปแล้ว สุดท้าย ผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวต่างจัดการปลิดชีพศัตรูของเราด้วยการเสียสละชีวิตของพวกนาง! นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะก่อตั้งสภาปี้เซวียนใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง พวกเจ้าทั้งหมดจะได้กลับเข้ามาสู่กลุ่มของเรา”
ก่อนนางจะทันพูดจบ บรรดาศิษย์ของสภาปี้เซวียนทั้งหลายต่างตะโกนโห่ร้องด้วยความชอบใจขึ้นมาเสียแล้ว พวกเขารอคอยให้วันนี้มาถึงมาอย่างยาวนานเหลือเกิน!
เว่ยเฮ่าหลานยกมือขึ้น เพื่อบ่งบอกให้หยุดการโห่ร้องของพวกเขา “นอกจากนี้ ในฐานะเจ้าสำนักของสภาปี้เซวียน ข้าขอประกาศให้นับแต่นี้ต่อไป สภาปี้เซวียนหาใช่กลุ่มการฝึกตนสำหรับสตรีอีกต่อไปไม่ ไม่ว่าจะเป็นบุรุษเพศหรือสตรีเพศ ตราบใดที่สามารถผ่านการทดสอบของเราได้ ก็จะได้รับการยอมรับในฐานะศิษย์อย่างเป็นทางการ!”
ข่าวคราวนี้ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นระหว่างทุกผู้คน ผู้ฝึกตนบุรุษทุกคนที่ไม่ใช่ศิษย์ของสภาปี้เซวียนล้วนแต่จับจ้องสายตาของพวกเขาไปที่เว่ยเฮ่าหลาน
ถึงกระนั้นก็ตาม ผู้ฝึกตนสตรีดั้งเดิมแห่งการสร้างฐานพลังงานของสภาปี้เซวียนจำนวนมากกว่ากลับตะโกนออกมาว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก!”
แต่เว่ยเฮ่าหลานเหลือบมองพวกเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น “นี่คือคำสั่งเสียของผู้อาวุโสทั้งสอง” จากนั้นนางจึงเบนสายตาไปยังผู้คนที่เหลืออยู่ และกล่าวว่า “สำหรับผู้ที่ไม่ใช่ศิษย์ของสภาปี้เซวียน ตราบใดที่เจ้าไม่ได้รังแกผู้ใด เราจะปล่อยให้เรื่องผ่านพ้นไป! ภายในสองวัน เราจะจัดพิธีการก่อตั้งกลุ่มใหม่ และในขณะเดียวกัน เราจะเริ่มการสรรหาลูกศิษย์ใหม่ด้วย!”