ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 223-1 การลาจาก
โม่เทียนเกอยังคงอยู่ที่สภาปี้เซวียนต่อเป็นเวลาอีกเกือบหนึ่งเดือน ภารกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการก่อตั้งกลุ่มใหม่นั้น ดำเนินผ่านไปได้อย่างราบรื่น
ดังเช่นที่อี้หลิ่วและอี้ชิวได้กล่าวไว้ ปัญหาที่เกิดจากเริ่นอวี่เฟิง มอบโอกาสให้สภาปี้เซวียนได้ถือกำเนิดใหม่อย่างน่าประหลาดใจ
เมื่อนางมาถึงเมืองหลินไห่ในคราแรก สภาปี้เซวียนกำลังอยู่ในช่วงตกต่ำ มีผู้คนไม่มากนักในเมืองหลินไห่ มีรากวิญญาณไม่มากนัก และมีผู้คนที่มีความสามารถดีน้อยกว่ามากเสียด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้น สภาปี้เซวียนยังรับแค่ผู้ฝึกตนสตรีเพศเท่านั้น ในขณะที่ผู้ฝึกตนบุรุษเพศจำต้องจ่ายเงินราคาสูง หากพวกเขาต้องการบรรจุเป็นลูกศิษย์ทางการ สถานการณ์ที่ไม่เป็นธรรมนี้ได้สร้างความขัดแย้งอันรุนแรงขึ้น
ถึงแม้ว่าสภาปี้เซวียนจะไม่รังควานผู้ใดโดยไร้ซึ่งเหตุผล แต่การเป็นกลุ่มผู้ฝึกตนกลุ่มเดียวในเมืองหลินไห่ ทำให้มันกลายเป็นเผด็จการไปอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง เผด็จการในลักษณะนี้ปกปิดความจริงเอาไว้ภายใต้จุดประสงค์ของการบรรลุซึ่งสันติภาพและความมั่นคง ขณะที่ในความเป็นจริงนั้น พวกเขาคือกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ซึ่งอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดนี้ หากกระแสน้ำนั้นได้พัดทลายเปลือกภายนอกเอาไว้ได้ มันคงจะก่อเกิดเป็นหายนะขึ้นอย่างแน่นอน
แต่ทว่าไม่มีใครเคยคาดคิดมาก่อนว่าสภาปี้เซวียนจะต้องประสบกับหายนะเช่นนี้แทน ลูกศิษย์ที่เก่งกาจที่สุด ผู้ซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่มีความเป็นไปได้สูงสุดที่จะก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ รวมไปถึงผู้อาวุโสแห่งการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งสาม ล้วนแต่ต้องมาสิ้นชีพไปเสียหมด และตัวสภาเองก็เกือบจะสูญสิ้นไม่เหลือซาก
พวกที่อับโชคเช่นเดียวกับสภาปี้เซวียนคือผู้ฝึกตนอิสระแห่งเมืองหลินไห่ ที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความกลัวและความอกสั่นขวัญแขวน อันที่จริง สถานการณ์นี้แก้ไขความขัดแย้งระหว่างสภาปี้เซวียนและเหล่าผู้ฝึกตนอิสระได้ ช่วยให้พวกเขาได้กลับมายืนเคียงข้างเป็นหนึ่งเดียวกัน นอกจากนั้น ระหว่างการก่อตั้งครั้งใหม่ของสภาปี้เซวียน การประกาศของเว่ยเฮ่าหลานในเรื่องการยกเลิกธรรมเนียมปฏิบัติของกลุ่มในการรับเพียงแต่ผู้ฝึกตนสตรีเพศเท่านั้น ยังส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของสภาเซวียนได้มากยิ่งขึ้นด้วย
นับจากนี้ต่อไป สภาปี้เซวียนไม่ใช่แค่กลุ่มผู้ฝึกตนสตรีเท่านั้น ตอนนี้มันคือกลุ่มผู้ฝึกตนของเมืองหลินไห่แล้ว
สำหรับเรื่องภายในสภาปี้เซวียนนั้น พวกเขาตัดสินใจแล้วว่าผู้อาวุโสชั่วคราวทั้งสองคนจะเป็นใคร และหนึ่งในนั้นคือถังเซิ่น ผู้ชายคนนี้ได้ฝึกตนอย่างขยันหมั่นเพียรมาตลอดยี่สิบปี เขาพัฒนาตนเองอย่างก้าวกระโดดดุจสายฟ้าฟาด มาดหล่อเหลาของเขาดูจางลงไป แต่เขาได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญอันดับหนึ่งในสภาปี้เซวียนอย่างคาดไม่ถึง คุณชายน้อยผู้อ่อนแอก่อนหน้านี้ ผู้มีเพียงใบหน้าอันทรงเสน่ห์ และถูกบรรดาผู้ฝึกตนบุรุษเพศทุกๆ คนมองว่าเป็นศัตรู บัดนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงอย่างน่าประหลาดใจ เรื่องนี้ช่างชวนให้ทึ่งเสียจริงๆ
สำหรับโม่เทียนเกอแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องดี ในเมื่อถังเซิ่นได้เติบใหญ่ขึ้นมากแล้ว เว่ยเฮ่าหลานเองก็ไม่ต้องถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยวและไร้ที่พึ่ง และนั่นหมายความว่าตัวนางเองก็สามารถจากไปได้เร็วขึ้นเล็กน้อยด้วย
เช่นนั้นแล้ว โม่เทียนเกอจึงกล่าวคำลากับเว่ยเฮ่าหลาน
อันที่จริง เว่ยเฮ่าหลานต้องการเก็บนางไว้ข้างกายที่นั่นนานอีกสักหน่อย แต่เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอมุ่งมั่นที่จะจากไป ยิ่งไปกว่านั้น โม่เทียนเกอเองก็มาพักที่เมืองหลินไห่เป็นเวลานานเกินไปแล้ว เว่ยเฮ่าหลานจึงไม่คัดค้านแต่อย่างใด
ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาได้ผ่านความยากลำบากจำนวนมากมาด้วยกัน และตอนนี้เป็นดั่งสหายที่ลงเรือลำเดียวกัน เมื่อโม่เทียนเกอกำลังจะลาจากไป เว่ยเฮ่าหลานจึงมาส่งนางเป็นการส่วนตัว
“ผู้อาวุโสเยี่ย นี่คือของขวัญสำหรับผู้อาวุโสของกลุ่มเรา หลังจากท่านจากไป มันคงจะเป็นเวลาอีกหลายสิบปีกว่าที่เราทั้งสองจะได้มาพบกันอีกครั้ง ฉะนั้น ข้าขอมอบมันให้ท่านในตอนนี้”
เมื่อเห็นรอยยิ้มอันจริงใจของเว่ยเฮ่าหลานเข้า ทำให้โม่เทียนเกอรับกระเป๋าเอกภพมาไว้ในมือของนาง น้ำหนักเช่นนี้… มันจะต้องมีศิลาวิญญาณไม่น้อยกว่าหมื่นชิ้นเป็นอย่างต่ำอยู่ภายในแน่นอน! ปริมาณเท่านี้มันมากเกินไปอย่างที่สุดสำหรับผู้ฝึกตนของเมืองหลินไห่นี้!
“เจ้าสำนัก กลุ่มเพิ่งได้รับการก่อตั้งใหม่ นี่คือช่วงเวลาที่เจ้าต้องการศิลาวิญญาณเหล่านี้เป็นที่สุด ศิลาวิญญาณกว่าหมื่นชิ้นนี้ไม่ใช่ปริมาณน้อยๆ เจ้าไม่เป็นไรแน่หรือที่จะให้พวกมันทั้งหมดกับข้า”
เว่ยเฮ่าหลานอมยิ้มเล็กน้อย และกล่าวว่า “ถ้านี่เป็นเมื่อหลายวันก่อน ข้าคงจะไม่ยินยอมมอบให้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มันไม่เป็นไรแล้วจริงๆ”
“โอ้” โม่เทียนเกอกล่าวด้วยความงุนงง “ทำไมกันล่ะ”
เว่ยเฮ่าหลานจงใจไม่ตอบคำถามของนาง “ลองเดาดูสิ”
โม่เทียนเกอใช้เวลาสักพักเพื่อใคร่ครวญ จากนั้นจึงตอบออกมาว่า “อาจเป็นเพราะเจ้าได้ค้นพบสมบัติบางอย่างเข้าแล้วอย่างนั้นหรือ”
“ถูกต้อง!” เว่ยเฮ่าหลานกล่าวด้วยรอยยิ้มยิงฟัน “เมื่อไม่กี่วันก่อน ลูกศิษย์จำนวนหนึ่งรายงานว่าพวกเขาค้นพบเหมืองศิลาวิญญาณในทะเล มันไม่ได้ไกลนัก และก็ปราศจากสัตว์อสูรอันดับสูงในบริเวณใกล้เคียงด้วย มันสามารถขุดได้ทั้งหมด”
“จริงหรือ” โม่เทียนเกอประหลาดใจ นี่คือไม้ฟืนยามหน้าหนาวเสียจริงๆ! “ยินดีด้วยนะ!”
“ขอบคุณ” เว่ยเฮ่าหลานยิ้มอย่างสดใส “เป็นไปตามคำกล่าวที่ว่าไว้ว่า ‘คนเราถูกลิขิตให้พบกับโชคลาภ เมื่อรอดชีวิตจากหายนะอันใหญ่หลวงมาได้’ ! สภาปี้เซวียนของเราไม่ได้พ่ายแพ้ในหายนะครั้งนี้ และบัดนี้ พวกเรากำลังได้พบกับโอกาสอันเปี่ยมสุขครั้งแล้วครั้งเล่า”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าก็จากไปได้โดยไร้ซึ่งความกังวลใดๆ”
เมื่อเรื่องนี้ถูกพูดถึงขึ้นมา เว่ยเฮ่าหลานรู้สึกลังเลใจ และกล่าวว่า “ผู้อาวุโสเยี่ย ข้าไม่ค่อยเต็มใจอยากเห็นท่านจากไปเท่าไร”
โม่เทียนเกออมยิ้มเบาๆ “เจ้ามีปัญหาอะไรกับคำว่า ‘เต็มใจ’ กับ ‘ไม่เต็มใจ’ กัน ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราจะได้พบกันอีกครั้งในสักวันหนึ่ง”
“นั่นหมายความว่า… ท่านจะยังคงกลับมาที่นี่อย่างนั้นหรือ”
“ในเมื่อข้าตอบรับตำแหน่งผู้อาวุโสรับเชิญแล้ว ข้าก็ต้องกลับมาหากข้ามีเวลา”
เว่ยเฮ่าหลานพยักหน้า และกล่าวอย่างโล่งอก “ผู้ฝึกตนไม่ควรยึดติดอยู่กับสิ่งใดเช่นนี้ ข้าเข้าใจดี ผู้อาวุโสเยี่ย ท่านช่างใจกว้างนัก… ดูท่าแล้วท่านจะต้องสำเร็จในการสร้างขุมพลังของท่านอย่างแน่นอน”
โม่เทียนเกอยิ้มเล็กน้อย “ไม่ว่าข้าจะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเจตจำนงของสวรรค์” นางหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวต่อไปว่า “หลังจากข้ากลับไปที่ภูเขาแล้ว ข้าจะเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิต จนกว่าข้าจะสร้างขุมพลังได้ ข้าคิดว่า… แม้ว่าเราจะได้พบกันอีกครั้ง เราอาจจะได้พบกันในอีกหลายสิบปีข้างหน้า” ในตอนนี้ นางอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน นางจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบปีในการพัฒนาจากขั้นสุดท้ายไปสู่ขั้นสูงสุดให้ได้ และหากนางล้มเหลวในการสร้างขุมพลังของนางหลายครั้ง… ถึงแม้ว่าความสามารถของนางจะต่างไปอย่างมากแล้วในตอนนี้ แต่ไม่มีอะไรแน่นอนเกี่ยวกับเรื่องสำคัญอย่างการบุกทะลวงดินแดน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เว่ยเฮ่าหลานจึงถามขึ้นมาในทันทีว่า “แล้วเราจะหาท่านได้อย่างไร เราไปที่สำนักเสวียนชิงได้หรือไม่”
โม่เทียนเกอครุ่นคิดเรื่องนี้ จากนั้นจึงนำเครื่องรางหยกออกมาจากด้านในของเสื้อคลุม “นี่คือเครื่องรางกระจายเสียงหมื่นลี้ ข้าได้ปิดผนึกด้ายแห่งจิตสัมผัสของข้าเอาไว้ข้างในแล้ว หากเจ้ามีเรื่องเร่งด่วน และต้องการตามหาตัวข้า เพียงแค่บดขยี้มันเสีย และข้าจะสัมผัสได้ถึงมันในทันที ในตอนนั้น ข้าจะมาเจ้าอย่างเร็วที่สุด” นางนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อใคร่ครวญ ก่อนที่จะกล่าวต่อไป “หากเจ้าต้องการตามหาข้า คนที่เจ้าต้องตามหาเมื่ออยู่ที่สำนักเสวียนชิงคือโม่เทียนเกอ ศิษย์แห่งประมุขเต๋าจิ้งเหอจากยอดเขาวสันต์กระจ่าง”
ดูเหมือนว่าเว่ยเฮ่าหลานจะคิดใคร่ครวญบางอย่าง ขณะที่นางหยิบเครื่องรางกระจายเสียงนั้นมา “ผู้อาวุโสเยี่ย ในตอนแรกเริ่ม ดูเหมือนว่าท่านจะบอกว่าท่านเป็นศิษย์แห่งประมุขเต๋าเสวียนอินไม่ใช่หรือ ข้าจำไม่ผิดใช่หรือไม่”
โม่เทียนไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากขอโทษในเรื่องนั้นเสีย “ข้าต้องขอโทษด้วยที่ข้าไม่ได้พูดความจริงในตอนนั้น ความจริงแล้ว อาจารย์ของข้าคือประมุขเต๋าจิ้งเหอ ประมุขเต๋าเสวียนอินเป็นลูกศิษย์คนแรกของอาจารย์ของข้า ก่อนที่ข้าจะสร้างฐานแห่งพลังงาน ข้าอยู่ในการปกครองของศิษย์พี่ของข้าผู้นี้มาโดยตลอด”
“…ข้าเข้าใจแล้ว” เว่ยเฮ่าหลานกล่าวด้วยความประหลาดใจและความชื่นชมเล็กน้อย “ศิษย์พี่ของท่านเองก็เป็นผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่ ดูท่าว่าอาจารย์ของท่านค่อนข้างพิเศษกว่าใครทีเดียว…”
“อาจารย์ของข้า… เป็นคนที่ดีมากๆ” รอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้านาง ขณะที่นางคิดถึงประมุขเต๋าจิ้งเหอ เมื่อไม่ได้พบหน้าเขามายี่สิบปี นางพลันคิดถึงอาจารย์ผู้ดื้อรั้นของนางขึ้นมาเสียจริงๆ ถึงแม้ว่าเขามักจะไร้เหตุผลและทำตัวเป็นเด็กอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าเขามักจะทำเรื่องราวต่างๆ ที่ชวนให้ผู้คนต้องแยกระหว่างหัวเราะกับร้องไห้เสมอ ถึงแม้ว่าเขาจะมีนิสัยใจคอที่แปลกประหลาดและเอาแน่เอานอนไม่ได้ดังเช่นเด็กน้อย แต่เขาก็มักจะปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจเสมอมา
พวกเขาทั้งสองคนได้พูดคุยกันอยู่บ้าง ก่อนที่พวกเขาจะมุ่งหน้าเข้าสู่ม่านพลังเคลื่อนย้ายในที่สุด
เว่ยเฮ่าหลานนำทางโม่เทียนเกอจนผ่านโค้งต่างๆ มากมาย โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าพวกนางผ่านมากี่โค้งแล้ว ก่อนจะมาถึงอาคารหลังเล็กที่ดูธรรมดาอย่างสิ้นเชิงในที่สุด