ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 226-1 ลูกศิษย์ของผู้อื่น
“เฮ้อ ทำไมข้าถึงมีลูกศิษย์แบบเจ้ากันนะ” ประมุขเต๋าจิ้งเหอจ้องเขม็งมองนาง ส่ายศีรษะและถอนหายใจในขณะเดียวกัน “คนอย่างข้า ทั้งฉลาด ทั้งอื่นๆ อีกมากมาย…”
“ท่านอาจารย์!” โม่เทียนเกอถลึงตาใส่เขา “ข้าแค่อยากถามท่านนิดหน่อย ท่านต้องปฏิบัติกับข้าเช่นนี้ด้วยหรือ”
“เฮ้อ ช่างอกตัญญูจริงๆ ที่กล้าพูดจาเช่นนี้กับอาจารย์ของเจ้า…”
“ท่านอาจารย์!” อย่าบอกนะว่าเขายังถอนหายใจ “เฮ้อ” ไม่เสร็จ!
ประมุขเต๋าจิ้งเหอแอบชำเลืองมองนาง หลังจากได้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวของนาง เขาพลันหัวเราะคิกคักอย่างชื่นบานขึ้นมาในที่สุด และกล่าวว่า “เทียนเกอ… อาจารย์ของเจ้ารู้สึกว่าท่าทางที่เจ้ากำลังแสดงอยู่ตอนนี้ เป็นตัวของเจ้าเองมากกว่า เจ้าเห็นไหม การได้เห็นเจ้าคุกเข่าลงอย่างฉับพลัน และขอให้ข้าลงโทษเจ้านั้น หัวใจของอาจารย์อย่างข้ารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา…”
“…”
โม่เทียนเกอไม่มีสิ่งใดจะพูด นี่มันอาจารย์ประเภทไหนกัน เขาหมายความว่าถ้าหากนางไม่ดุร้าย เขาจะรู้สึกเสียศูนย์และอึดอัดใจขึ้นมาอย่างนั้นหรือ
“พอได้แล้วน่า!” จากนั้นนางจึงแสดงท่าทีขึงขังออกมา “ท่านอาจารย์ ข้ากำลังถามท่านว่า ตอนที่ข้าไม่อยู่ที่นี่ ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่ แล้วเจินจีล่ะ เขาได้สร้างฐานแห่งพลังของเขาหรือยัง”
“โอ้ ยอดเยี่ยมมาก ทุกอย่างยอดเยี่ยมมาก ข้าไม่ยอมให้ใครสักคนเข้ามาแตะต้องสิ่งของภายในถ้ำเล็กๆ ของเจ้าได้ เจินจีสร้างฐานแห่งพลังของเขาได้ในปีที่สี่ หลังจากที่เจ้าจากไป เขามีชีวิตอย่างสุขสบายดีเป็นที่สุด”
โม่เทียนเกอรู้สึกโล่งอกเล็กน้อยที่ได้รู้วาเจินจีสร้างฐานแห่งพลังของเขาแล้ว ถึงแม้ว่าปีนั้น นางจะทิ้งยาสร้างฐานแห่งพลังจำนวนหนึ่งไว้ให้เขาอย่างลับๆ แต่รากวิญญาณของเจินจีค่อนข้างแย่อยู่ดี ฉะนั้น เขาจะสามารถสร้างฐานแห่งพลังได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ ยี่สิบสองปีได้ผ่านพ้นไป เจินจีควรจะอยู่ในช่วงวัยสี่สิบแล้วตอนนี้ ฉะนั้น มันจะต้องเป็นปัญหาแน่นอน หากเขายังไม่สามารถสร้างฐานแห่งพลังได้ ผู้ฝึกตนบางคนไม่สามารถสร้างฐานแห่งพลังของพวกเขาได้ ไม่ใช่เพราะอายุขัยที่มากขึ้นพวกเขา แต่เป็นเพราะพวกเขามักจะล้มเหลวอยู่หลายครั้งจนมากเกินไป ทำให้สภาวะจิตใจของพวกเขาไม่เสถียร และค่อยๆ สร้างระยะห่างเพิ่มมากขึ้นจากดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน
“ท่านอาจารย์ ท่านสั่งสอนเขามาตลอดหลายปีนี้อย่างงั้นหรือ”
“หืม สั่งสอนเขาหรือ ข้าเคยมีความตั้งใจแบบนั้นเมื่อไรกัน” ประมุขเต๋าจิ้งเหอโบกหนังสือที่กำลังถืออย่างระมัดระวัง
รอยยับย่นลึกปรากฏขึ้นที่คิ้วของโม่เทียนเกอ “หรือว่าท่านปล่อยให้เจินจีดูแลตัวเองอย่างนั้นหรือ!”
เมื่อได้เห็นท่าทางโกรธจัดของนาง ประมุขเต๋าจิ้งเหอหัวเราะอมยิ้มอย่างชอบใจ จากนั้นจึงกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ศิษย์ของข้า… อย่าได้โกรธไปเลย ถึงแม้อาจารย์จะไม่ได้ดูแลเจ้าหนุ่มโง่นั่น แต่ข้าได้จัดหาคนไปดูแลเขาแล้ว เจ้าวางใจได้!”
“จัดหาคนงั้นหรือ”
“ถูกต้อง ศิษย์พี่ทั้งหลายของเจ้าช่างขี้เกียจ ข้าจึงให้หนึ่งในนั้นไปดูแลเจ้าเด็กนั่นในนามของเจ้าแล้ว”
“…” นี่คือสิ่งที่คนเช่นเขาจะทำอย่างแท้จริง ย้อนกลับไปเมื่อตอนนั้น เขาผลักนางให้ไปอยู่ในความดูแลของอาจารย์ลุงเสวียนอินอยู่สักพักใหญ่ไม่ใช่หรือ ต่อมา เป็นเพราะมีบางอย่างเกิดขึ้นเท่านั้น เขาถึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องรับนางเข้ามาเป็นศิษย์ของเขา
โม่เทียนเกอถอนหายใจด้วยความโล่งอก และกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ในเมื่อท่านจะไม่ถามอะไรข้า ข้าขอกลับไปพักผ่อนก่อนได้หรือไม่”
“แน่นอนๆ” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “พักผ่อนให้สบาย หากมีอะไรเกิดขึ้น ข้าจะให้พวกเขาไปตามเจ้า”
“อ้อใช่ ตอนนี้เจินจีอยู่กับศิษย์พี่คนไหน ข้าจะไปพาเขากลับมาก่อน”
“ก็…” ประมุขเต๋าจิ้งเหอจ้องมองนาง พลางกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “เจินจีอายุได้สี่สิบปีแล้ว เขาไม่ใช่เด็กอีกต่อไป เจ้ายังอยากพาเขากลับมางั้นหรือ ให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติบ้างเถอะ!”
“ไม่ว่าเขาจะอายุเท่าไร เขาก็ยังเป็นหลานชายของข้า” โม่เทียนเกอกล่าว นอกจากนั้น เมื่อดูจากอายุของพวกเขาแล้ว นางอาจเป็นมารดาของเจินจีจริงๆ ก็ได้ เมื่อความคิดนั้นแล่นเข้ามาในหัว นางก็มองเขาด้วยสายตากังขา “ท่านอาจารย์ บอกข้ามาตามตรง ท่านทำอะไรกับเจินจี”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอกล่าวอย่างเดือดดาลด้วยความชอบธรรม และมีท่าทีขึงขังเอาจริงเอาจังอย่างมาก “ข้าจะให้คนไปตามเขากลับมาในอีกสักครู่ ตกลงไหม ข้ารับประกันได้ว่าเจ้าจะได้พบเขาในอีกสักพัก”
โม่เทียนเกอเพ่งมองอาจารย์ของนางอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วนางก็พยักหน้าในที่สุด “ตกลง ข้าหวังว่าอาจารย์คงจะไม่ได้กำลังโกหกข้า”
“ฮะๆ ข้าจะโกหกได้ยังไง รีบไปพักผ่อนเสียเถอะ! เจ้าดูเพลียมากทีเดียว”
เขาเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูกังวลอย่างน่าสงสัย แต่โม่เทียนเกอหลงเชื่อในที่สุด “ตกลง”
นางหันหลังกลับและเริ่มเดินจากไป หลังจากเดินไปหลายก้าว นางพลันหันกลับมาอีกครั้ง “จะว่าไปแล้ว…”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอสะดุ้งตกใจ “หืม”
“ท่านอาจารย์ ทำไม่ท่านถึงได้สะดุ้งเช่นนั้นกัน”
“ข้าเปล่า ข้าสะดุ้งเมื่อไรกัน” ประมุขเต๋าจิ้งเหอลูบจมูกของเขา สายตาของเขามองไปรอบๆ “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้าจะเรียกเจินจีกลับมา เจ้ายังมีปัญหาอะไรอีกไหม”
“… ข้าเพียงแต่อยากถามว่า สุดท้ายแล้ว มีเหตุการณ์สำคัญอันใดเกิดขึ้นกัน สำนักถึงได้ส่งเครื่องรางเรียกขานหน่วยออกไปเช่นนั้น”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอสงบนิ่งลงในทันที เมื่อได้ยินคำถามนั้น “เรื่องนั้น… มันเป็นเหตุการณ์สำคัญแน่นอน แต่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เรื่องมันค่อนข้างซับซ้อนทีเดียว ข้าจะคุยเรื่องนี้กับเจ้าในภายหลัง เจ้าไปพักผ่อนเสียก่อนเถอะ” ครั้งนี้ เขาดูเด็ดเดี่ยวเป็นอย่างมาก
โม่เทียนเกอคิดว่าถึงแม้อาจารย์ของนางจะหัวดื้อรั้น แต่เขาไม่เคยเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เมื่อต้องรับมือกับเรื่องจริงจัง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว นางควรจะทำตามคำสั่งของเขาเสียจะดีกว่า
“ตกลง ท่านอาจารย์ ข้าเชื่อท่านในครั้งนี้ ท่านจะทำให้ข้าผิดหวังไม่ได้”
“รู้แล้วน่า!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอไล่นางออกไปอย่างหมดความอดทน “เจ้าเพิ่งจะกลับมา แต่กลับมากวนใจคนอื่นแบบนี้เสียแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเสียเถอะ!”
ท่าทางของเขาเช่นนั้น… นางไม่อาจเชื่อลงว่าเขาไม่ได้กำลังปิดบังอะไรอยู่! ถึงกระนั้น นางได้แต่ถอนหายใจอยู่ภายใน และเริ่มออกเดินทางไปยังบ้านพักหมิงซิน
ทันทีที่นางจากไป ประมุขเต๋าจิ้งเหอรีบตะโกนเรียก “หมิงซย่า!”
“ขอรับ ท่านปรมาจารย์!” หมิงซย่ารีบวิ่งมาอย่างรวดเร็ว
“ไปหาไอ้ตัวแสบจอมเหม็นนั่น แล้วรีบพาเจินจีกลับมาเร็วเข้า!”
…
โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดอะไรหลังจากที่นางจากไป นางเดินไปยังถ้ำเล็กๆ ของนาง เพื่อพบว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
สระน้ำด้านหน้าบ้านพัก ทุ่งยาสมุนไพรด้านหลังบ้านพัก ห้องขนาดเล็กห้าห้องที่เรียงกันเป็นแถว… ภายในห้องนั่งเล่นขนาดเล็ก ยังคงมีโต๊ะตัวหนึ่ง เก้าอี้เก่าๆ หลายตัว และชุดกาน้ำชาอยู่ บนโต๊ะตัวนั้น มีหนังสือสองเล่มที่ดูเหมือนว่าพวกมันถูกโยนไปบนนั้นอย่างไร้การวางแผน หนังสือเหล่านั้นคือหนังสือที่นางมักจะอ่านในอดีตเสมอ ภายในห้องปรุงยา ยังคงมีเตาหลอมยาหยาบที่นางซื้อมาด้วยศิลาวิญญาณสิบห้าชิ้น ในครั้งแรกที่นางเริ่มเรียนรู้วิธีการปรุงตำรับยา สำหรับห้องชำระล้าง นางไม่เคยใช้มันมาก่อน มันยังคงว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่ของสักชิ้นอยู่ภายใน ภายในห้องนอน เตียงนอนของเจินจียังคงอยู่ตรงนั้น แต่กลับไม่มีของใช้ส่วนตัวที่มักใช้บ่อยอื่นๆ หลงเหลืออยู่ และห้องสุดท้ายคือห้องฝึกตนของนาง มันยังคงดูเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ได้รับการทำความสะอาดและจัดระเบียบเรียบร้อย
เห็นได้ชัดว่าผู้คนมักจะมาทำความสะอาดที่นี่ เวลาที่นางไม่อยู่อยู่บ่อยครั้งไป นางไม่คิดว่าบรรดาสาวรับใช้จะทำเรื่องเช่นนี้ให้ด้วยจิตใจเมตตากรุณาหรอก อาจารย์ของนางจะต้องสั่งให้พวกเขา หรือไม่เจินจีก็ต้องทำความสะอาดบ้านหลังนี้ด้วยตัวของเขาเองใช่ไหม
การคิดถึงเรื่องนี้สร้างรอยยิ้มเล็กน้อยให้เบ่งบานขึ้นบนใบหน้าของนาง จากนั้นนางหยิบหนังสือหนังสัตว์ขึ้นมาจากชั้นหนังสือ และเริ่มสุ่มพลิกดูหน้าต่างๆ ในนั้น สุดท้ายแล้ว ยังคงมีคนที่คอยเป็นห่วงนางอยู่ที่นั่น
“ท่านป้า ท่านป้า!” เสียงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านนอก
โม่เทียนเกอหันหลังไปและเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งออกมาจากประตูทางเข้าของห้องปรุงยา เขาดูอายุได้ประมาณยี่สิบปี ลักษณะใบหน้าของเขาละเมียดละไมและชวนมองเป็นอย่างมาก ทันทีที่เขายิ้ม ลักยิ้มเล็กๆ ทั้งสองข้างพลันปรากฏขึ้นมาบนแก้มของเขาในทันที
“ท่านป้า!” เขาดูมีความสุขเป็นที่สุดที่ได้เห็นนาง เดิมทีโม่เทียนเกอคิดว่าเขาจะกระโจนเข้ามาหานางอย่างที่เคยทำ แต่สุดท้ายแล้ว เขากลับวิ่งไปหยุดที่ข้างกายนาง “ในที่สุด ท่านก็กลับมาแล้ว!”
เจินจีที่อยู่ตรงหน้านางกลายเป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว เขายังคงดูหนุ่มแน่น และนิสัยใจคอของเขายังคงอบอุ่นและใจดีเช่นเคย อย่างไรก็ตาม บรรยากาศที่เขาส่งออกมานั้น กลับสัมผัสได้ว่ามีวุฒิภาวะมากกว่าแต่ก่อนเหลือเกิน
นางจ้องมองเขาเป็นเวลานาน แต่ท้ายที่สุดแล้ว นางเพียงแต่กล่าวออกมาเพียงประโยคเดียว “เจินจี เจ้าโตขึ้นมากนะ”
เยี่ยเจินจีเกาศีรษะของเขา และยิ้มอย่างเขินอาย “ท่านป้า ท่านหายไปตั้งนานขนาดนี้ ข้าก็ต้องโตขึ้นเป็นธรรมดา อ้อ ใช่แล้ว! ทำไมท่านถึงไม่ส่งข่าวกลับมาบ้างตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ท่านบังเอิญพบกับอันตรายเข้าหรือเปล่า มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นไหม ข้ากังวลแทบตาย แต่ท่านปรมาจารย์บอกว่าข้ากังวลไปโดยใช่เหตุ…”
โม่เทียนเกอนั่งลงบนเสื่อภาวนา เมื่อนางเห็นเขานั่งลงตรงข้ามนางโดยสัญชาตญาณ และยิงคำถามพรั่งพรูออกมาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่นางจากไป นางรู้สึกว่าหัวใจของนางเต็มไปด้วยความอบอุ่น ราวกับว่านางกำลังอยู่ภายใต้ไออุ่นของตะวันยามเหมันต์
“ท่านป้า ทำไมท่านถึงไม่พูดอะไรเลย” เยี่ยเจินจีหยุดการระดมยิงคำถามของเขา และพลันตระหนักได้ว่านางกำลังนิ่งเงียบในที่สุด