ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 227-1 เหตุผลที่เรียกลูกศิษย์
เมื่อเขาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากพวกเขาจากกันเสร็จสิ้นแล้ว เยี่ยเจินจีเพ่งมองไปที่โม่เทียนเกอ ครุ่นคิดใคร่ครวญอย่างช้าๆ เขาอยากจะพูดบางอย่างกับนาง แต่เขาไม่อาจเอ่ยสิ่งใดออกมาได้เป็นเวลานาน
โม่เทียนเกอสับสนงงงวยที่เห็นเขาเป็นเช่นนี้ นางจึงกล่าวว่า “อะไร มีอะไรอย่างนั้นหรือ ทำไมเจ้าถึงพูดกับป้าไม่ได้ล่ะ”
เยี่ยเจินจีมองดูด้วยท่าทีลำบากใจ จากนั้นจึงพูดอย่างระมัดระวังว่า “ท่านป้า ในเมื่อท่านกลับมาแล้ว ข้าควรจะกลับมาอยู่กับท่านเช่นกัน ถึงจะสมเหตุสมผล แต่ถึงกระนั้น ท่านอาจารย์ก็เมตตากับข้าอย่างมาก มันคงจะไม่เหมาะสม หากข้าจากเขาไปทันทีที่ท่านกลับมาใช่ไหม”
“เรื่องนี้นี่เอง” โม่เทียนเกอยิ้มและกล่าวว่า “ดีแล้วที่เจ้ามีความคิดเช่นนี้ เจ้าไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เจ้าคือผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว มันสมเหตุสมผลอย่างมากที่เจ้าจะไม่อาศัยอยู่ที่ถ้ำเล็กๆ ของข้าอีกต่อไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นอาจารย์ของเจ้า เจ้าควรจะไปรับใช้เขาเสมอ”
“แต่ท่านป้า ท่าน…” เยี่ยเจินจีดูสับสน “ข้าไม่อยากให้ท่านอยู่ตามลำพัง”
โม่เทียนเกอส่ายศีรษะของนาง จากนั้นกล่าวว่า “ป้าไม่ใช่เด็กนะ อีกอย่างข้ากำลังจะเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตในไม่ช้า เพื่อพยายามสร้างขุมพลังของป้า มันจะกินเวลายี่สิบถึงสามสิบปีเป็นอย่างน้อย ฉะนั้น แม้ว่าเจ้าจะกลับมา ข้าเองก็ไม่อาจดูแลเจ้าได้เช่นกัน”
“นี่มัน…”
“เจ้าไม่ต้องรู้สึกลำบากใจไป เจ้าสามารถกลับไปหาท่านอาจารย์ของเจ้าได้” โม่เทียนเกอกล่าวอย่างแผ่วเบา “ในเมื่ออาจารย์ของเจ้าดูแลเจ้าเป็นอย่างดี เจ้าควรจะทำสุดความสามารถเพื่อแสดงความกตัญญูต่อเขาในฐานะลูกศิษย์ ส่วนตัวป้าเองจะต้องง่วนอยู่กับการสร้างขุมพลัง ข้าไม่สามารถดูแลเจ้าได้”
“…ตกลงขอรับ” ราวกับว่าเยี่ยเจินจีอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่เขาก็เชื่อฟังนางในท้ายที่สุด
“เป็นเช่นนั้นก็แล้วกัน ตอนนี้เจ้าอยู่ที่นี่มาได้สักพักแล้ว กลับไปได้แล้วล่ะ”
“เข้าใจแล้วขอรับ ท่านป้า ท่านเพิ่งจะกลับมา ท่านควรจะพักผ่อนเสีย ข้าจะมาเยี่ยมท่านใหม่เมื่อข้ามีเวลา”
โม่เทียนเกอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นมองดูเขาจากไป
เมื่อนางเหลืออยู่ตามลำพังภายในห้อง รอยยิ้มของโม่เทียนเกอพลันเลือนหายไปในที่สุด และนางนั่งอยู่ภายในความเงียบงันเป็นเวลาครู่ใหญ่ ความรู้สึกทุกชนิดถาโถมขึ้นมาภายในหัวใจของนาง แต่ท้ายที่สุด นางกลับถอนหายใจออกมาเท่านั้น ไม่เป็นไร ความจริงแล้ว เป็นแบบนี้ดีต่อเจินจีมากกว่า สำหรับตัวนางนั้น นางเองก็มีเรื่องให้น้อยลงอีกมากที่จะต้องมาวิตกกังวล
ประมุขเต๋าจิ้งเหอรออยู่อย่างกระวนกระวาย ศีรษะของเขาคอยชะเง้อเฝ้าดู ขณะที่เขามองไปรอบๆ ถึงกระนั้น หลังจากคอยเฝ้าดูอยู่เป็นเวลานาน และเห็นว่านางยังคงไม่ปรากฏตัวเสียที เขาได้แต่พึมพำอย่างช่วยไม่ได้ “น่าแปลก… ทำไมนางถึงยังไม่มาอีกล่ะ”
หมิงซย่า ผู้กำลังคอยรับใช้อยู่ที่ข้างกายเขา เอ่ยปากถามว่า “ท่านปรมาจารย์ ท่านกำลังรออะไรอยู่หรือ”
“ข้ากำลังรอยัยเด็กอกตัญญูนั่น!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอกล่าว พลางโบกมืออย่างหมดความอดทน “นางยังไม่มาเสียที นิสัยใจคอของนางได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ หรือนี่”
“อาจารย์โม่หรือ” หมิงซย่าสับสนงุนงง “ท่านปรมาจารย์ ทำไมอาจารย์โม่ถึงจะมาที่นี่กัน ท่านบอกให้นางไปพักผ่อนไม่ใช่หรือ”
“ข้าสั่งให้เจินจีไปหายัยตัวแสบนั่นแล้ว นางจะต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่นอน!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอหยิบถ้วยชาของเขาขึ้นมา แต่คิ้วของเขากลับขมวดเป็นปม “เมื่อดูจากลักษณะนิสัยของนางแล้ว นางจะต้องรีบวิ่งมาและโกรธแค้นอย่างบ้าคลั่ง เมื่อนางโมโหอย่างแน่นอน แต่ในวันนี้ ทำไมนางถึงยังไม่มาอีก ทั้งๆ ที่ผ่านไปได้ครึ่งวันแล้ว”
“…” หมิงซย่ายืนนิ่งเงียบงันเป็นเวลานาน การได้รับใช้ปรมาจารย์ผู้นี้มานานหลายสิบปี นางจึงรู้โดยธรรมชาติว่าเขามีนิสัยใจคออย่างไร แต่สำหรับเขาที่รอให้ลูกศิษย์ของเขา มาหาและระเบิดอารมณ์โกรธใส่เขาเช่นนี้ มัน… มันเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ควรจะทำเช่นนั้นหรือ
“สีหน้าเจ้าหมายความว่าอย่างไร” ประมุขเต๋าจิ้งเหอจ้องเขม็งไปที่สาวรับใช้ของเขา
หมิงซย่ากล่าว “ท่านปรมาจารย์ ทำไมข้าถึงสัมผัสได้ว่าท่านต้องการทำให้อาจารย์โม่ขุ่นเคืองอยู่เสมอกันล่ะ ท่านได้ประโยชน์อันใดจากการทำให้นางโกรธอย่างนั้นหรือ”
“เฮ้อ เจ้าไม่เข้าใจหรอก!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอกล่าว พลางส่ายศีรษะของเขา “ข้ามีชีวิตอยู่มานานเกือบพันปีแล้ว ถ้าหากข้าไม่หาสิ่งบันเทิงเริงใจของข้าเอาไว้เป็นการส่วนตัว ชีวิตคงจะน่าเบื่อสิ้นดี! อีกอย่างผู้หญิงคนนั้นก็คลั่งไคล้การฝึกตนเหลือเกิน ข้าไม่ต้องการให้นางมีศีลธรรมเหมือนกับเจ้าหนุ่มตัวแสบแห่งตระกูลเราจากการสั่งสอนของข้า การล้มเหลวเพียงครั้งเดียว มันพอแล้วสำหรับข้า ถ้าการสั่งสอนของข้ายังสร้างลูกศิษย์เช่นนั้น นั่นคงจะเป็นความล้มเหลวอย่างใหญ่หลวง!”
หมิงซย่ากระพริบตาของนางสองสามครั้งอย่างไร้เดียงสา “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่า…ท่านอยากจะเป็นกามเทพแผลงศรรักกันล่ะ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอ ผู้ซึ่งถูกจับได้คาหนังคาเขาผ่านข้อคิดเห็นที่แม่นยำของหมิงซย่า ไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้อีกต่อไปเป็นเวลาครู่ใหญ่
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่โดยรอบ ความกล้าของหมิงซย่าจึงเพิ่มมากขึ้น นางพลันถามไปว่า “ท่านปรมาจารย์ ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรือว่าสำหรับคนจากสำนักเต๋าอย่างพวกเราแล้ว การไม่ปฏิบัติการฝึกตนร่วมสัมพันธ์มีประโยชน์ในแบบของมันด้วยเช่นกัน เพราะสภาวะจิตใจของเราจะสามารถสงบนิ่งได้มากกว่า และไร้ซึ่งความกังวลใดๆ ด้วย”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอลูบจมูกของเขาและกล่าวว่า “การฝึกตนร่วมสัมพันธ์มีประโยชน์ในตัวของมัน… ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าจะมองเรื่องนี้อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี เห็นได้ชัดว่าเจ้าหนุ่มตัวแสบนั่นมีปมผูกมัดอยู่ภายในใจ ข้าจึงอาจช่วยให้เขาได้สำเร็จสมดังตามที่เขาปรารถนาเช่นกัน”
“ปมผูกมัดภายในใจเช่นนั้นหรือ ช่วยเขาให้สำเร็จสมดังปรารถนาอย่างนั้นหรือ” เห็นได้ชัดว่าหมิงซย่าไม่เข้าใจสิ่งใดแม้แต่น้อย แต่ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่ได้คิดจะตอบคำถาม เขาเพียงแต่เกาศีรษะของเขา และกล่าวว่า “พอเท่านี้ก่อน เจ้าไปดูสิว่าตอนนี้ยัยเด็กนั่นกำลังทำอะไรอยู่ เป็นไปได้จริงๆ เหรอว่านางจะไม่โกรธข้าแม้แต่นิดเดียว”
ข้าโกรธไหม โม่เทียนเกอถามตัวเอง แน่นอน มันเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะไม่โกรธ เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ของนางผู้นี้ต้องการให้นางอยู่ในแผนการของเขาไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เพียงแต่ว่าหลังจากได้ลองคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาบ้างแล้ว เป็นการดีกว่าที่จะมอบเจินจีให้อยู่ในความรับผิดชอบของใครบางคนแทน เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ของนางในปัจจุบัน ตอนนี้ นางกำลังจะสร้างขุมพลังของนาง ฉะนั้น นางจึงมีเรื่องราวมากมายที่จำเป็นต้องทำ ยิ่งไปกว่านั้น เจินจีสร้างฐานแห่งพลังของเขาได้แล้ว นางไม่อาจทำอะไรเพื่อเขาได้มากนัก
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ทำไมนางถึงต้องโกรธอาจารย์ผู้ดื้อรั้นของนางด้วย นางจะไม่ได้รับประโยชน์อันใด และนางมีแต่จะทำให้ผู้อื่นมีความสุขเท่านั้น
นางจำกัดความคิดของนาง จากนั้นล้วนแต่จมจ่อมกับการพักผ่อนเป็นเวลานานหลายวัน ระหว่างช่วงเวลานั้น บรรดาสาวรับใช้มักจะเข้ามาตรวจตราดูว่านางกำลังทำอะไรอยู่ แต่นางไล่พวกเขาออกไปอย่างไม่แยแส หลังจากจัดการเรื่องราวต่างๆ ที่สภาปี้เซวียนได้แล้ว ความกระหายในการบุกทะลวงดินแดน พร้อมกับความกระหายในความแข็งแกร่งมากขึ้นของนางนั้น ไม่เคยแรงกล้าเท่าตอนนี้มาก่อน
ต่อมา เมื่อได้รู้ว่านางกลับมายังขุนเขาแห่งนี้แล้ว เยี่ยจิ่งเหวิน หลัวเฟิงเสวี่ย หันชิงอวี้ และแม้แต่ค่วงจู๋ รวมถึงผู้คนอื่นๆ ล้วนแต่ส่งคำทักทายของพวกเขาผ่านทางเครื่องรางเรียกขาน เพื่อเป็นการตอบแทน โม่เทียนเกอจึงไปเยี่ยมเยียนพวกเขาทีละคน
การฝึกตนของเยี่ยจิ่งเหวินก้าวหน้าไปอย่างราบรื่น เขาได้เข้าสู่ขั้นสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลัวเฟิงเสวี่ยไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในการฝึกตนของนาง แต่นางได้เป็นหัวหน้าคนรับใช้ของยอดเขาหยาดน้ำค้างหวานแล้ว ซึ่งนั่นเป็นงานที่นางถนัด ส่วนหันชิงอวี้และค่วงจู๋อยู่ในขั้นสูงสุดของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้ว และกำลังรอที่จะสร้างขุมพลังของพวกเขา จ่านไป๋ล้มเหลวในการก้าวหน้า และตอนนี้เขากำลังอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตแล้ว พี่น้องอุปการะสองคนของเขาอย่างเสี่ยวกู่จื่อและเสี่ยวจุ้ย ต่างล้มเหลวในการสร้างฐานแห่งพลังของพวกเขาหลายต่อหลายครั้ง จนบัดนี้ พวกเขาถูกค่วงจู๋บังคับให้เข้าสู่การปิดประตูแห่งจิต พวกเขาถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกมา ก่อนที่พวกเขาจะสามารถสร้างฐานแห่งพลังได้สำเร็จ
เมื่อนางไปเยี่ยมเยียนทุกคนจนเสร็จสิ้น นางเริ่มจะเข้าใจถึงเหตุผลที่ว่าทำไมบรรดาลูกศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานทุกคน ถึงได้ถูกเรียกให้กลับมาที่สำนักในเวลาเช่นนี้
หลังจากอาจารย์ลุงเสวียนอินย้ายไปยังยอดเขาหยาดน้ำค้างหวาน ในฐานะลูกศิษย์ของเขา หลัวเฟิงเสวี่ยได้เข้าควบคุมเรื่องการบริหารจัดการอีกครั้ง และทุกกิจการที่เกิดขึ้นในยอดเขาหยาดน้ำค้างหวาน ก็อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของนาง นางจะส่งต่อข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นอย่างลับๆ เมื่อนางคุยกับโม่เทียนเกอ
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อยี่สิบปีก่อน ขณะที่สำนักกำลังจัดการประลองภายในครั้งสำคัญอยู่ การแข่งขันหนึ่งระหว่างอาจารย์ลุงแห่งการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งสอง ทำให้กำแพงขุนเขาต้องพังทลายลงมาโดยไม่ตั้งใจ จากนั้น พวกเขาจึงค้นพบว่ามีม่านพลังเวทอันลึกลับ ซ่อนตัวอยู่ภายในหุบเขาของยอดเขาหลัก หลังจากได้ตรวจสอบแล้วหนึ่งรอบ เจ้าสำนักและผู้อาวุโสแห่งการก่อเกิดแก่นขุมพลังผู้อื่นเชื่อว่าม่านพลังเวทนี้ถูกร่ายเอาไว้นานกว่าหลายแสนปีเป็นอย่างน้อยแล้ว ฉะนั้น พวกเขาจึงรายงานเรื่องนี้กับปรมาจารย์ของแต่ละยอดเขาให้รับรู้โดยพลัน
สำนักเสวียนชิงได้ยืนหยัดอยู่เป็นเวลาหลายหมื่นปีแล้ว และมันได้ผลิตผู้ฝึกตนที่เปี่ยมความสามารถ และยอดเยี่ยมอย่างนับไม่ถ้วน ถึงกระนั้นก็ตาม ม่านพลังนี้ซ่อนตัวอยู่ลึกภายในยอดเขาของภูเขาไท่คัง และไม่มีใครล่วงรู้ถึงเรื่องนี้มาตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ช่างยากเกินกว่าจะหยั่งรู้ได้
โม่เทียนเกอคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับเรื่องนี้สักพัก จากนั้นจึงถามหลัวเฟิงเสวี่ย “มากกว่าหลายแสนปีก่อน… เป็นไปได้ไหมว่ามันถูกทิ้งเอาไว้ตั้งแต่สมัยยุคกลางนั่น”
หลัวเฟิงเสวี่ยพยักหน้า แต่ทันทีหลังจากนั้น นางพลันส่ายหน้า “อาจารย์ลุงหลายท่านได้ไปตรวจสอบแล้ว และพวกเขาคิดว่าเป็นเช่นนั้นจริง แต่พวกเขาไม่แน่ใจ”
ตามตำนานแล้ว หลังจากยุคอดีตอันไกลโพ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน เซียนและปีศาจต่างก่อส่งครามต่อสู้ซึ่งกันและกัน และโลกมนุษย์ถูกทำลายลงแทบจะภายในวันเดียว เหลือเพียงแต่มนุษย์ผู้รอดชีวิตจำนวนเพียงหยิบมือเท่านั้น หลังจากเซียนและปีศาจถูกแยกออกไปจากดินแดนมนุษย์ และถูกกำหนดให้กลับไปยังโลกของพวกเขา ก็ปรากฏโลกมนุษย์ใหม่ขึ้นมาในที่สุด นับตั้งแต่ตอนนั้น ยุคสมัยนั้นจึงถูกเรียกว่ายุคกลางเป็นต้นมา
โม่เทียนเกอได้ยินประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดถึงตำนานนี้มาก่อน เขาเชื่อว่าตั้งแต่โลกเริ่มอุบัติขึ้นมาจนกระทั่งถึงตอนนี้ เหล่าเทพเจ้าได้ปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ทั้งหลายของดินแดนมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ในระหว่างยุคอดีตอันไกลโพ้น เหล่าเทพเจ้าเองก็ได้ลงมายังโลกมนุษย์ แต่ถึงกระนั้น ต่อมา พวกเขาตระหนักได้ว่าเทพเจ้าไม่ควรเข้ามายุ่มย่ามกับการพัฒนาของโลกมนุษย์ พวกเขาจึงจากไป