ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 227-2 เหตุผลที่เรียกลูกศิษย์
หลังจากนั้นก็ถึงคราวสิ้นสุดของยุคอดีตอันไกลโพ้น สงครามระหว่างเซียนและปีศาจได้อุบัติขึ้น นำไปสู่หายนะครั้งใหญ่มากมาย ช่วงเวลานั้นเป็นที่รู้จักกันในนามว่าการสูญสิ้นเทพเจ้า เพราะทั่วโลกล้วนแต่อยู่ในความโกลาหล และอสูรเทพเจ้าก็ได้สร้างความอลหม่านวุ่นวายไปทั่ว แต่เทพเจ้ายังคงนิ่งเฉยโดยสิ้นเชิง จนถึงขั้นที่โลกมนุษย์ถูกทำลายย่อยยับจนราบเป็นหน้ากลอง ท้ายที่สุดแล้ว เซียนและปีศาจพวกนั้นที่ฝึกตนจนบรรลุเต๋า ล้วนแต่ไปจากโลกมนุษย์ด้วยเช่นกัน
ยุคต่อมาคือยุคกลาง ยุคนี้ไม่มีทั้งเทพเจ้า เซียน หรือว่าปีศาจแต่อย่างใด ทว่าเช่นเดียวกับยุคอดีตอันไกลโพ้น ยังคงเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ ทรัพยากร และวัตถุดิบต่างๆ อย่างท่วมท้น ผลลัพธ์ก็คือทั้งผู้ฝึกตนเปี่ยมศีลธรรมและผู้ฝึกตนชั่วร้าย ต่างก้าวเข้ามายึดครองอย่างรวดเร็ว และสงครามระหว่างผู้ฝึกตนเปี่ยมศีลธรรมและผู้ฝึกตนชั่วร้ายได้อุบัติขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม โลกได้เปลี่ยนไปแล้วในครั้งนี้ สิ่งที่เคยเป็นทะเลในอดีต ปัจจุบันได้กลายเป็นทุ่งต้นหม่อนไปเสียแล้ว…
ภายหลัง โลกเริ่มจะเข้าสู่เสถียรภาพในที่สุด แต่มันกลับไม่มีพลังวิญญาณอันเข้มข้น หรือทรัพย์สมบัติมูลค่ามหาศาลที่เคยพบเห็นได้ทุกหนแห่งก่อนหน้านี้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนเปี่ยมศีลธรรมหรือผู้ฝึกตนชั่วร้าย ทั้งสองฝ่ายล้วนแต่ต้องขวนขวายเพื่อความอยู่รอด นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับผู้ที่ต้องการก้าวเข้าสู่การเป็นอมตะอย่างแท้จริงอีก ทั้งผู้ฝึกตนเปี่ยมศีลธรรมและผู้ฝึกตนชั่วร้ายต่างยังคงต่อสู้ซึ่งกันและกัน แต่พวกเขาไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะทำลายโลกได้อีกต่อไป
ท้ายที่สุด ประมุขเต๋าจิ้งเหอกล่าวว่า “เทพเจ้าเคยเป็นอาจารย์ของโลกใบนี้ เซียนและปีศาจเป็นตัวแทนของความดีและความเลว ตั้งแต่ที่เวลาพลันอุบัติขึ้น ความดีและความเลวไม่อาจดำรงอยู่ร่วมกันได้ ฉะนั้น พวกมันจึงต่อสู้ขัดขวางกันและกันมาตั้งแต่แรกเริ่ม อย่าไปคิดว่าเทพเจ้าไม่ใส่ใจในโลกมนุษย์อีกต่อไป ความจริงแล้ว ทุกอย่างในโลกมนุษย์ล้วนแต่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา พลังของเซียนและพลังของปีศาจแข็งแกร่งเกินไป เทพเจ้าจึงแยกพวกเขาสู่ดินแดนอมตะและดินแดนปีศาจ โดยไม่คำนึงถึงโลกที่พังทลายย่อยยับ พลังของผู้ฝึกตนเปี่ยมศีลธรรมและผู้ฝึกตนชั่วร้ายแข็งแกร่งเกินไป ฉะนั้น เมื่อยุคกลางสิ้นสุดลง โลกพลันเปลี่ยนแปลงไป โลกไม่ได้มีพลังวิญญาณเฉกเช่นเดิมอีกต่อไปแล้ว นับตั้งแต่วินาทีที่โลกถูกสร้างขึ้นมา หากการพัฒนาดินแดนมนุษย์ไม่ตรงกับใจที่พวกเขาต้องการ มันก็จะถูกทำลายและรื้อสร้างใหม่ ฮึ่ม! พวกเราเป็นเพียงหุ่นเชิดในกำมือของเทพเจ้าเท่านั้น แม้ว่าพวกเราจะฝึกตนได้สำเร็จ เราก็ยังคงไม่ต่างอะไรจากหุ่นเชิดที่มีคุณภาพดีขึ้นเท่านั้น”
สำหรับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน สิ่งที่เขากล่าวนั้นช่างเขย่าขวัญอย่างแท้จริง หลังจากขบคิดอยู่เป็นเวลานาน โม่เทียนเกอจึงถามเขาออกไปว่า “แล้วเราฝึกตนไปเพื่ออะไรกัน หากท้ายที่สุดแล้ว เราไม่อาจบรรลุลัทธิเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอกล่าว “ยัยเด็กหน้าโง่! ถึงแม้เราจะเป็นได้แค่เพียงหุ่นเชิดที่มีคุณภาพดีขึ้น แต่เราก็ยังคงแข็งแกร่งกว่าพวกหุ่นเชิดคุณภาพห่วยนั่นแหละ! อีกอย่าง การเข้าสู่ลัทธิเต๋าอันยิ่งใหญ่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสมอไป ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการอนุมานของอาจารย์เท่านั้น เจ้าเคยพบผู้ฝึกตนแห่งเทพมาก่อน พวกเขามีชีวิตสุขสบายดีไหมล่ะ”
นางย้อนนึกไปถึงจงมู่หลิงและหยวนเป่าเมื่อครั้งนั้น จากนั้นจึงพูดอย่างลังเลใจว่า “พวกเขาเล่าว่า…พวกเขาเทียบเท่ากับเทพเจ้าในโลกมนุษย์แล้ว”
“ถูกต้อง โลกจะต้องถูกทำลายและรื้อสร้างใหม่เสมอ แต่มันเกี่ยวข้องอย่างไรกับเรากันล่ะ ยุคอดีตอันไกลโพ้นคงอยู่นานหลายล้านปี ขณะที่ยุคกลางคงอยู่นานหลายแสนปี เราจะมีชีวิตอยู่ได้นานขนาดนั้นไหม พวกเราไม่ใช่ผู้ฝึกตนแห่งเทพ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราจะไม่สามารถบรรลุลัทธิเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้ หลังจากก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพแล้ว หากเราพัฒนาจนกลายเป็นเซียน และก้าวเข้าสู่ดินแดนอมตะได้สำเร็จ เราอาจจะพยายามบรรลุไปสู่ขั้นตอนต่อไปอยู่ไหม เราจะสามารถฝึกตนจนกระทั่งเรากลายเป็นเทพเจ้าในท้ายที่สุดได้ไหม”
ในที่สุด ประมุขเต๋าจิ้งเหอกล่าวว่า “ตราบใดที่ยังคงมีความหวัง หนทางสู่ลัทธิเต๋าอันยิ่งใหญ่ก็คุ้มค่าให้ต่อสู้เสมอ แล้วถ้าหากโลกเกิดเปลี่ยนแปลงไปล่ะ มันมีอะไรเกี่ยวข้องกันเราหรือไม่”
“สมัยยุคกลาง พลังวิญญาณเปี่ยมล้นไปทั่วดังเช่นยุคอดีตอันไกลโพ้น และสรรพสิ่งล้วนแต่สืบทอดมาจากยุคอดีตอันไกลโพ้น ฉะนั้น พลังของพวกมันจึงมหาศาลอย่างมาก เมื่อได้ค้นพบม่านพลังเวทนี้แล้ว อาจารย์ลุงหลายคนของเราต่างก้มหน้าก้มตาศึกษามันเป็นเวลากว่าสิบปี สุดท้ายแล้ว พวกเขาค้นพบว่าม่านพลังเวทนี้เป็นของกลุ่มผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งในสมัยยุคกลาง และเคยถูกใช้เพื่อให้ลูกศิษย์ของพวกเขาได้รับประสบการณ์บางอย่างด้วย”
ทันทีที่หลัวเฟิงเสวี่ยดึงความคิดของโม่เทียนเกอที่กำลังล่องลอยไปไกลกลับมาได้ และเมื่อนางได้ยินเรื่องนี้เข้า นางจึงพึมพำกับตัวเองสักพัก และกล่าวว่า “ข้างในนั้นมีอะไร”
“สมุนไพรวิญญาณ” หลัวเฟิงเสวี่ยกล่าว
โม่เทียนเกอตะลึงงัน “หลายปีผ่านพ้นไป สมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นควรจะสูญเสียประสิทธิภาพไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
หลัวเฟิงเสวี่ยหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด “นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอก ความจริงแล้ว สิ่งที่เรากำลังมองหาภายในม่านพลังเวทนั้นไม่ใช่สมุนไพรวิญญาณ ซึ่งควรจะเป็นรางวัลของเหล่าลูกศิษย์ หลังจากผ่านไปหลายแสนปี สมุนไพรเหล่านั้นสูญเสียประสิทธิภาพไปนานแล้ว สิ่งที่เรากำลังมองหาอยู่ก็คือสมุนไพรวิญญาณที่เติบโตอยู่ภายในต่างหาก พวกมันคงจะเป็นสิ่งของธรรมดาทั่วไปอย่างมากในตอนนั้น แต่หลังจากผ่านไปนหลายแสนปี พวกมันกลายเป็นสิ่งของที่มีมูลค่าที่เราสามารถหาได้ในปัจจุบัน”
“เข้าใจแล้ว…” โม่เทียนเกอใช้เวลาสักพักในการคิด ก่อนที่จะเอ่ยปากถามอีกครั้ง “สมัยยุคอดีตอันไกลโพ้น จะต้องมีผู้ฝึกตนระดับสูงจำนวนนับไม่ถ้วนแน่นอน ทำไมสำนักถึงต้องการให้ลูกศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานอย่างพวกเราเข้าไปก่อนกันล่ะ”
หลัวเฟิงเสวี่ยกล่าว “เทียนเกอ อย่าลืมสิว่าผู้ฝึกตนระดับสูงในยุคนั้นหลายคน มีพลังอำนาจกล้าแกร่งกว่าในปัจจุบันนี้มาก ม่านพลังเวทนี้จะปรับความยากลำบากที่ลูกศิษย์แต่ละคนต้องเผชิญให้เข้ากับระดับการฝึกตนของพวกเขาโดยอัตโนมัติ อาจารย์ลุงหลายคนได้พยายามลองดูแล้ว บรรดาคนที่อยู่ในดินแดนจิตวิญญาณใหม่และดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังไม่สามารถผ่านการทดสอบบางอย่างได้ด้วยซ้ำ ในทางตรงกันข้าม ลูกศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานกลับผ่านการทดสอบได้มากกว่าอย่างคาดไม่ถึง”