ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 232 การต่อสู้ระหว่างสองสัตว์วิเศษ
หร่วนหมิงจูออกจากถ้ำเซียนของฉินซีอย่างเงียบงัน และบินกลับไปยังตำหนักซ่างชิง โดยที่ยังคงนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจาอันใด
มันไม่เหลือสิ่งใดให้เอื้อนเอ่ยได้ในจุดนั้นอีก การกล่าวสิ่งใดเพิ่มเติมรังแต่ไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น
ทันทีที่นางกลับไป เยี่ยเจินจีรีบวิ่งเข้าไปยังห้องฝึกตนอย่างรวดเร็ว “ท่านอาจารย์!”
ฉินซียังคงนั่งขัดสมาธิ และอยู่ในท่าฝึกตนของเขา เขาไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมายามที่เขาเปล่งวาจา “เจ้าได้ยินพอหรือยัง”
เยี่ยเจินจีเกาศีรษะของเขา และหัวเราะเบาๆ ด้วยความคะนอง “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง ข้าแค่กำลังบังเอิญดูแลเสี่ยวหั่วอยู่…”
“ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้ากำลังแอบฟัง” ฉินซีลืมตาของเขาในที่สุด เขาชำเลืองมองเยี่ยเจินจีเบาๆ จากนั้นจึงทอดสายตาลง “เจ้ารู้สึกผิดเพราะเรื่องอันใดหรือ”
“ข้า…” เยี่ยเจินจีไม่มีคำตอบให้คำถามนั้น เขาจึงได้แต่กล่าวต่อไปว่า “ท่านอาจารย์ นางเป็นใครกัน ทำไมนางถึงเรียกท่านว่า ‘ศิษย์พี่’ ด้วย หลังจากท่านแล้ว ท่านปรมาจารย์รับแค่ท่านป้าของข้าเป็นลูกศิษย์ของเขาเท่านั้นไม่ใช่หรือ”
ฉินซีกล่าว “นางเป็นบุตรีของอาจารย์ลุงชิงหย่วนเจ้า ชื่อว่าหร่วนหมิงจู ด้วยเหตุผลนี้ เจ้าจึงควรเรียกนางว่า ‘ศิษย์พี่’ เช่นกัน” หลังจากเขากล่าวเช่นนั้นแล้ว เขาพลันเบนสายตาขึ้น และจ้องไปที่เยี่ยเจินจี “เจ้าอยากรู้สิ่งใดอีก เพียงแต่ถามมาโดยตรง ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมให้มากความ”
“คือว่า… ข้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์พี่ผู้นี้ นางชอบท่านอย่างนั้นหรือ นางได้กระทำสิ่งใดมา ทำไมท่านปรมาจารย์ถึงไม่อนุญาตให้นางกลับมากัน”
กระบวนทัพของคำถามนี้ทำให้ฉินซีนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
เยี่ยเจินจีเฝ้ารอ ทว่าเนื่องจากเขายังไม่ได้รับซึ่งการตอบสนองแต่อย่างใด เขาจึงเอ่ยปากเรียกอีกครั้ง “ท่านอาจารย์ขอรับ”
ฉินซีหยุดภวังค์แห่งความคิดของเขา จากนั้นจึงกล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “หมิงจู… เป็นเพื่อนสมัยเด็กของข้า ตอนที่ข้าถูกท่านปรมาจารย์ของเจ้าพาตัวมายังภูเขาไท่คัง ข้าอายุได้แค่แปดขวด ขณะที่หมิงจูอายุได้เพียงห้าหรือหกขวบเท่านั้น พ่อของนาง หรืออาจารย์ลุงชิงหย่วน ได้เสียชีวิตไป ฉะนั้น ท่านปรมาจารย์จึงสงสารนาง และเก็บนางไว้อยู่ข้างกายเขา หมิงจูในตอนนั้นเป็นเด็กสาวตัวน้อยที่ช่างน่ารักน่าเอ็นดู ข้ามีอุปนิสัยชอบเก็บตัว ข้าไม่ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น… ด้วยความกลัวว่าข้าจะโดดเดี่ยว หมิงจูจึงมักจะชวนข้าไปเล่นกับนางเสมอ และข้าเอง… ก็ปฏิบัติกับนางในฐานะน้องสาวของข้าเสมอมา…”
“เป็นเพราะศิษย์พี่ชิงหย่วน ท่านอาจารย์ของข้าจึงปฏิบัติต่อหมิงจูดีกว่าที่ปฏิบัติต่อข้ามาโดยตลอด เงื่อนไขของท่านอาจารย์ที่มีต่อข้านั้นช่างสูงยิ่งนัก ทว่าเขากลับให้ทุกสิ่งที่หมิงจูร้องขออย่างง่ายดาย ไม่ว่าหมิงจูจะขอสิ่งใดก็ตาม ท่านอาจารย์พลันมอบให้นางไปเสียหมด ข้าไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นเมื่อไร ทว่าหมิงจูค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป เราเติบโตขึ้นและสร้างฐานแห่งพลังของเรา ทว่าหมิงจูเริ่มกลายเป็นคนที่ไร้ซึ่งเหตุผล ยโสโอหัง และหวาดระแวง หลังจากข้าสร้างฐานแห่งพลังได้ ข้ามักจะออกไปจากที่นี่อยู่บ่อยครั้ง และน้อยครั้งที่ข้ากลับมายังภูเขาแห่งนี้ ข้าก็มักจะฝึกตนอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตเสมอ ข้าไม่รู้เลยว่าอุปนิสัยใจคอของนางจะเปลี่ยนไปในทางที่น่ากลัวเหลือเกิน”
“เมื่อข้าสร้างขุมพลังของข้าได้ในภายหลัง ท่านอาจารย์ยกถ้ำเซียนแยกให้กับข้า ข้าจึงย้ายออกจากตำหนักซ่างชิง ในตอนนั้น ข้ายังคงเยาว์วัยเกินไป ข้าหมกมุ่นอยู่กับการฝึกตนอย่างเต็มกำลัง ฉะนั้น ข้าจึงไม่ต้องการรับผู้ใดเป็นลูกศิษย์ของข้า หากมีการบ้านการเรือนอันใดที่ต้องทำ ข้าจะเลือกลูกศิษย์จำนวนหนึ่งจากกลุ่มศิษย์พี่น้องของข้ามาจัดการให้เสร็จสิ้น ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมิงจู ทว่านางมักทำให้บรรดาลูกศิษย์เหล่านั้นต้องลำบากเสมอ บางครั้งหากข้าบังเอิญพบเห็นเข้า ข้าจะไล่นางกลับไป นางเชื่อฟังในคำพูดของข้าต่อหน้าข้า ทว่าครั้งหน้านางจะยิ่งแฝงความรุนแรงมากขึ้นลับหลัง หลังจากเกิดเรื่องขึ้นอยู่หลายครา ข้าจึงเริ่มไม่ชื่นชอบนางเข้า…”
ในจุดนั้น เยี่ยเจินจีขัดจังหวะเขาอย่างช่วยไม่ได้ “ท่านอาจารย์ ในตอนนั้น ท่านรู้ตัวไหมว่าศิษย์พี่ชอบท่านเข้าเสียแล้ว”
ด้วยคำถามที่ตรงประเด็นเช่นนี้ ทำให้ฉินซีเงยหน้าขึ้น และถลึงตาจ้องเขาด้วยสายตาอาฆาต “เจ้ายังจำได้ไหมว่าข้าคืออาจารย์ของเจ้า”
เยี่ยเจินจีหัวเราะเบาๆ ออกมา จากนั้นจึงกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ข้าเพียงแต่พูดความจริง ผู้ที่มีตาย่อมเล็งเห็นได้อย่างแจ่มชัดว่าศิษย์พี่หร่วนชอบท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องเขินอายแต่อย่างใด”
รอยย่นปรากฏขึ้นบนคิ้วของฉินซี “เจ้าหนู ทำไมเจ้าถึงได้พูดมากเช่นนี้ เจ้าไปเรียนรู้มาจากผู้ใดกัน เท่าที่ข้าจำได้ ป้าของเจ้าไม่ชอบพูดเสียเท่าไรนัก”
เยี่ยเจินจีกล่าว “นั่นเป็นเพราะว่าทั้งท่านป้าและท่านอาจารย์ไม่ชอบพูดเสียเท่าไร ข้าจึงต้องพูดให้มากแทนเสีย มิฉะนั้น ชีวิตจะน่าเบื่อเพียงไหนกันเชียว” จากนั้น บทสนทนาหวนย้อนกลับไปยังประเด็นแรกเริ่ม “ท่านอาจารย์ สรุปแล้วท่านรู้หรือไม่รู้กันแน่”
เมื่อถูกต้อนให้จนมุม ฉินซีได้แต่ตอบคำถามของเขา “ข้าไม่รู้ในคราแรก แต่ต่อมา ข้าได้ยินนางพูดกับใครบางคน และล่วงรู้เรื่องนี้เข้าในที่สุด”
“แล้วในตอนนั้น ท่านอาจารย์มีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้อย่างไร”
“ข้าต้องมีปฏิกิริยาด้วยหรือ” ฉินซีกล่าวอย่างไม่แยแส “ในเมื่อข้าไม่เคยตอบแทนความรู้สึกของนาง ข้าจึงได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสียเท่านั้น”
“…” เยี่ยเจินจีจ้องมองใบหน้าของฉินซี และเพ่งตรวจสอบอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่เขาจะเอ่ยวาจาออกมาในที่สุด “ท่านอาจารย์ ผู้ใดก็ตามที่หลงชื่นชอบท่าน ช่างโชคร้ายเสียจริง”
ท่าทางของฉินซียังคงนิ่งเฉย “แม้ว่าพวกเขาจะโชคร้าย แต่มันก็ไม่เกี่ยวกับข้า เจ้าถามเสร็จแล้วหรือยัง”
“ยังขอรับ!” เยี่ยเจินจีอุทานขึ้นมาโดยทันที “ท่านอาจารย์ แล้วทำไมศิษย์พี่หร่วนถึงไม่อยู่ที่นี่ตลอดหกสิบปีที่ผ่านมา นางมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้ใดกัน”
เมื่อต้องเผชิญกับคำถามอย่างต่อเนื่อง ฉินซีได้แต่ถอนหายใจลึกๆ หากคำถามนี้มาจากผู้อื่น เขาคงจะไม่ตอบเป็นแน่แท้ เขาคงจะขับไล่พวกเขาไปและลืมเรื่องราวเหล่านั้นเสีย โชคร้ายที่ผู้ถามคือลูกศิษย์ของเขา และเป็นลูกศิษย์ของเขาแต่เพียงผู้เดียว เรื่องนี้จึงทำให้เขาต้องใคร่ครวญ เขาใจดีกับเจินจีเกินไปหรือไม่ ใจดีเกินไปจนเจ้าเด็กน้อยไม่รู้จักเคารพในความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ลูกศิษย์เช่นนี้
แม้ว่าเขาจะใคร่ครวญอยู่ภายในใจ ทว่าเขายังกล่าวตอบเช่นเดิม “ในตอนนั้น หนึ่งในลูกศิษย์สตรีเพศของท่านปรมาจารย์ซวนหยินกำลังทำงานอยู่ในถ้ำเซียนของข้า หมิงจูเกิดริษยานางขึ้นมา นางจึงสบโอกาสตอนที่ข้าไม่อยู่ที่นั่น และทำร้ายลูกศิษย์ผู้นั้นจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ตามกฎของสำนัก เดิมทีการสังหารลูกศิษย์ร่วมสำนักเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างร้ายแรง และสาเหตุก็เป็นเรื่องที่เล็กน้อยอย่างมาก… ด้วยความขุ่นเคือง ท่านปรมาจารย์ของเจ้าจึงลงโทษหมิงจูเป็นการส่วนตัว ถึงกระนั้น หมิงจูปฏิเสธไม่สำนึกผิดด้วยความดื้อรั้น ฉะนั้น ท่านปรมาจารย์ของเจ้าจึงออกคำสั่งไล่นางไปจากภูเขาไท่คัง และให้ไปอยู่ที่ลานแยกอันไกลโพ้น พร้อมกับสั่งห้ามไม่ให้นางกลับมา จนกว่านางจะถูกเรียก” หลังจากเขาพูดจบ ฉินซีจึงจ้องเขม็งอย่างเข้มงวดไปที่เยี่ยเจินจีอีกครั้ง “แม้ว่าข้าจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าฟัง แต่เจ้าห้ามเผยแพร่เรื่องนี้ไปทั่วเด็ดขาด”
เยี่ยเจินจีตกปากรับคำโดยทันที “แน่นอน! ข้าจะปฏิบัติตามที่ท่านอาจารย์ปรารถนาเสมอ” ขณะที่เขากำลังพูดเข่นนั้น สัตว์วิญญาณสีแดงเพลิงก้าวเข้ามาภายในห้องอย่างเงียบเชียบ
“อ้อ เสี่ยวหั่ว!” เยี่ยเจินจีอุ้มมันขึ้นมากอดไว้ “เจ้ากำลังทะลวงดินแดนอยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้าถึงอยู่แค่ระดับสามเช่นเดิมล่ะ”
เสี่ยวหั่วส่งเสียงร้องตอบเล็กน้อย ฉินซีมองมันและกล่าวว่า “มันล้มเหลวในการก้าวข้ามน่ะ” การทะลวงดินแดนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่าเสี่ยวหั่วจะใช้สำรับยาจำนวนมากตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ตาม
สายตาของเยี่ยเจินจีเลิ่กลั่ก ไม่กี่วินาทีต่อมา เขากล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ในเมื่อเสี่ยวหั่วเสร็จสิ้นการพยายามทะลวงดินแดนแล้ว ข้านำมันกลับไปคืนได้หรือไม่ขอรับ”
“อืม” ฉินซีหลับตาลงอีกครั้ง คล้ายกับว่ากำลังเข้าสู่การฝึกตนอย่างต่อเนื่อง “รีบไปเสียหากเจ้าต้องการ”
เยี่ยเจินจีไม่กล่าวสิ่งใดอีกต่อไป เขาออกจากถ้ำเซียนและมุ่งตรงกลับไปยังตำหนักซ่างชิงพร้อมกับเสี่ยวหั่วในอ้อมแขน เขากำลังพึมพำบางอย่าง “ข้าจะต้องบอกเรื่องที่น่าสนใจเช่นนี้ให้ท่านป้าฟังให้ได้!”
น่าเสียดาย ครั้นเขาพาเสี่ยวหั่วกลับมา และเล่าเรื่องราวนั้นอย่างกระปรี้กระเปร่า โม่เทียนเกอเพียงแต่ตอบกลับด้วยคำพูดประโยคสั้นๆ ว่า “ข้ารู้แล้ว”
ดวงตาของเยี่ยเจินจีเบิกโพลง “หา ท่านป้า ท่านรู้ได้อย่างไรกัน”
โม่เทียนเกอจ้องมองเขาอย่างเพลิดเพลิน “เจ้าลืมไปแล้วอย่างนั้นหรือ ที่ตำหนักซ่างชิง มีหญิงสาวช่างสอดรู้สอดเห็นอยู่ถึงสิบหกนางนะ”
“โอ้…” เยี่ยเจินจีเกาศีรษะของเขา “ก็สมเหตุสมผลดี… ซิ่วฉินกับคนอื่นๆ คงจะรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างมากในทุกวัน พวกเขาคงสืบข่าวคราวนี้ไปทั่วอยู่นานแล้ว”
โม่เทียนเกอทอดสายตาลง และจ้องมองเสี่ยวหั่วที่อยู่ในอ้อมแขนของนาง นางกล่าวยด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “นี่คือเสี่ยวหั่วอย่างนั้นหรือ มันเป็นเช่นนี้หลังจากมันพัฒนาแล้วอย่างนั้นหรือ เดิมทีเสี่ยวหั่วไม่เคยมีขนที่งดงามเช่นนี้มาก่อน แต่ตอนนี้ ส่วนไหนของมันกันที่ยังคล้ายกับสัตว์วิเศษไฟนรกในคุนอู๋อยู่”
เยี่ยเจินจีกล่าว “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเสี่ยวหั่วก้าวเข้าสู่ระดับสามได้ ดูเหมือนว่ามันจะพัฒนาร่างกลายเป็นสัตว์วิเศษอีกประเภทหนึ่ง ท่านอาจารย์กล่าวว่าบางทีอาจมีการกลายพันธุ์เกิดขึ้น”
“การกลายพันธุ์อย่างนั้นหรือ”
“อื้อ” ดูเหมือนว่าเยี่ยเจินจีเองก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย “ท่านอาจารย์กล่าวว่าเสี่ยวหั่วคงกินบางอย่างเข้าไป ร่างกายของมันจึงแตกต่างจากสัตว์วิเศษไฟนรกทั่วไปอื่นๆ สำหรับเรื่องอื่นนั้น ข้าเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรนัก”
โม่เทียนเกอจมดิ่งสู่การไตร่ตรอง ในตอนแรกเริ่มนั้น นางจับเสี่ยวหั่วโยนเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน มันคงจะกินสมุนไพรวิญญาณบางอย่างเข้าไป จึงทำให้เกิดการกลายพันธุ์ขึ้น
“หงิงๆ!” เสียงร้องของสัตว์พลันดังขึ้นมาโดยฉับพลัน เจ้าขนสีทองตัวอ้วนกลมวิ่งเข้ามาจากประตูบ้านพักหมิงชิน เมื่อเห็นเจ้าขนสีแดงกำลังอยู่ในมือของโม่เทียนเกอ มันจึงรีบเร่งฝีเท้าโดยทันที วิ่งเข้ามาและกระโจนเข้าหา หมายพยายามจะแย่งชิงตำแหน่งของมัน
โม่เทียนเกอเอื้อมมือออกไป และกอดเฟยเฟยเอาไว้ในอ้อมแขนอีกข้างหนึ่ง เพื่อที่มันจะได้ไม่ทับเสี่ยวหั่วจนแบน
เสี่ยวหั่วสังเกตเห็นเจ้าขนสีทองอ้วนฉุตัวนี้ในที่สุด ชั่วพริบตานั้น มันพลันลุกขึ้นยืนอยู่ภายในอ้อมแขนของโม่เทียนเกอ ดวงตาของมันเบิกโพลง
เยี่ยเจินจี ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วยนั้น พลันร้องอุทานออกมา “ท่านป้า สิ่งนี้คืออะไรกัน”
“นี่คือเฟยเฟย” สัตว์วิญญาณทั้งสองจ้องมองกันและกันด้วยความสงสัยในทีแรก แต่เมื่อเสี่ยวหั่วก้าวออกไปข้างหน้า หมายยึดครองอาณาเขตที่กว้างขึ้น เฟยเฟยที่กำลังมองอยู่นั้น พลันไม่ยอมพ่ายแพ้ขึ้นมา มันลุกขึ้นยืนอยู่ภายในอ้อมแขนของโม่เทียนเกอเช่นกัน
สัตว์วิญญาณทั้งสองตัว ตัวหนึ่งมีสีแดง อีกตัวหนึ่งมีสีทอง จ้องเขม็ง และพินิจพิเคราะห์อีกฝ่ายอย่างไร้ซึ่งความเป็นมิตรแม้แต่ปลายขน
“นี่ พวกเจ้ากำลังจะทะเลาะกันหรือ”
เยี่ยเจินจี ผู้กำลังเฝ้ารออย่างตื่นเต้นที่จะได้เห็นสัตว์วิญญาณสองตัวต่อสู้กันและกัน พลันถูกโม่เทียนเกอจ้องเขม็งโดยทันที
เสี่ยวหั่วเพ่งมองไปที่เฟยเฟยในแรกเริ่ม ทว่าเมื่อมันเพ่งมองไปได้สักพักหนึ่ง บางทีมันอาจสัมผัสได้ว่าระดับการฝึกตนของมันสูงกว่าคู่ต่อสู้ มันจึงไม่ควรเสียเกียรติเช่นนั้น มันเชิดหัวขึ้น และกระโจนลงจากอ้อมแขนของโม่เทียนเกอ จากนั้นมันพุ่งตรงไปยังเฟยเฟยและร้อง “แฮ่ๆ” อยู่สองสามครั้ง
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวหั่วเต็มใจยอมกระโจนลงไป เฟยเฟยรู้สึกปลาบปลื้มขึ้นมา ทว่าหลังจากได้เห็นท่าทางยั่วยุของเสี่ยวหั่วแล้ว มันจึงเข้าใจสถานการณ์ในที่สุด และจ้องเขม็งกลับไปที่เสี่ยวหั่วด้วยเช่นกัน
เสี่ยวหั่วสยายกรงเล็บออกมา และข่วนอากาศ คล้ายกับว่าจะข่มขู่เฟยเฟย
เฟยเฟยจ้องเขม็งไปที่เสี่ยวหั่วอยู่สักพัก ก่อนที่มันจะกระโจนลงจากอ้อมแขนของโม่เทียนเกอ และยืนประจันหน้ากับเสี่ยวหั่ว
สัตว์วิญญาณทั้งสองตัวจ้องกันไปมา จากนั้นจึงเริ่มเดินเป็นวงกลมของกันและกัน ราวกับว่าพวกมันกำลังตัดสินใจว่าควรกัดส่วนไหนของคู่ต่อสู้ก่อนดี
เยี่ยเจินจี ผู้กำลังตื่นเต้นอย่างที่สุดที่จะได้เห็นการต่อสู้นี้เกิดขึ้น ถามออกไปว่า “ท่านป้า นี่คือสัตว์วิญญาณของท่านด้วยหรือ มันมีทักษะอะไรบ้าง มันเอาชนะเสี่ยวหัวได้หรือไม่”
โม่เทียนเกอกำลังชั่งน้ำหนักอยู่ว่านางควรหยุดการต่อสู้ ในฐานะเจ้าของของพวกมันดีหรือไม่ ขณะที่ได้ยินคำถามของเยี่ยเจินจีเข้า นางใช้เวลาครู่หนึ่งในการคิดหาคำตอบ “ความสามารถของเฟยเฟยนั้นพิเศษ ข้าไม่เคยเห็นมันสู้มาก่อน…” ที่สภาปี้เซวียน นางได้ยินมาว่าสัตว์อย่างเฟยเฟยไม่มีพลังต่อสู้ ทว่ามันมีความสามารถที่แปลกประหลาดมาก ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูรประเภทใดก็ตาม พวกมันไม่กล้าโจมตีสัตว์อย่างเฟยเฟยก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่ทว่าในตอนนี้ เสี่ยวหั่วกำลังยั่วยุเฟยเฟยอย่างเห็นได้ชัด เฟยเฟยจะตอบสนองอย่างไรกัน แล้วยังมีเสี่ยวหั่วอีก หลังจากที่มันพัฒนาสู่ระดับสาม และผ่านการกลายพันธุ์แล้ว มันควรจะมีความสามารถพิเศษใช่หรือไม่
สัตว์วิญญาณทั้งสองตัวหาได้รู้ไม่ว่า เจ้านายผู้แสนไร้ยางอายของพวกมันต้องการเห็นพวกมันต่อสู้กันและกันเสียเหลือเกิน หลังจากเดินวนล้อมรอบกันและกันอยู่สักพัก เสี่ยวหั่วจึงลงมือเป็นตัวแรกในที่สุด มันพ่นไฟสุริยันออกมาจากปากของมัน หมายจะเผาไหม้ขนสีทองทั่วตัวของเฟยเฟย
หากเปลวไฟไปถูกเฟยเฟยเข้า ขนสีทองทั่วตัวของมันจะต้องกลายเป็นสีเถ้าถ่านอย่างแน่นอน อย่างไรเสีย นี่คือไฟสุริยัน ซึ่งสามารถใช้ชำระสมุนไพรวิญญาณและวัตถุวิญญาณทุกชนิดให้บริสุทธิ์ได้ มีเพียงไม่กี่สิ่งนั้นที่มันไม่อาจเผาไหม้ได้
ถึงกระนั้นก็ตาม เฟยเฟยกระโจนขึ้นหลบไฟสุริยันได้อย่างว่องไว จากนั้นมันส่งเสียงร้องออกมา และเงื้ออุ้งเท้าของมันขึ้น ปล่อยลำแสงหมอกส่องไปที่หัวของเสี่ยวหั่ว
หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยวหัวเลิกใช้พลังเวทของมัน หัวของมันค่อยๆ ทอดต่ำลง และสายตาของมันเริ่มว่างเปล่า…
เยี่ยเจินจีกล่าวด้วยความประหลาดใจ “วิชาเสน่หาหรือ”
การได้ยินเสียงของเขาช่วยปลุกเสี่ยวหั่วออกจากสภาพมึนงงได้ในพริบตา มันส่งเสียงคำรามต่ำที่แฝงด้วยความโกรธไปยังเฟยเฟย จากนั้นจึงส่ายอุ้งเท้าของมัน และส่งไฟสุริยันพุ่งตรงไปหาเฟยเฟยอีกครั้ง
เฟยเฟยตะลึงงัน มันเงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่เยี่ยเจินจีอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงหันหลังและวิ่งหนีไป
สัตว์วิญญาณทั้งสองตัว ตัวหนึ่งอยู่ข้างหน้า อีกตัวหนึ่งอยู่ข้างหลัง เริ่มวิ่งไล่จับกันในลานบ้าน จากบริเวณหน้าบ้านจนถึงด้านหลังบ้าน น้ำสาดกระจายไปทั่วพื้นดิน และทุ่งสมุนไพรยาล้วนแต่พังพินาศจากการถูกเหยียบย่ำโดยสิ้นเชิง
“ท่านป้า!” เมื่อได้เห็นภาพฉากเช่นนี้ เยี่ยเจินจีจึงรีบร้องอุทานออกมา “สมุนไพรวิญญาณ! สมุนไพรวิญญาณถูกทำลายหมดแล้ว!”
ทว่าโม่เทียนเกอยังคงมองดูด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก “ถ้ามันจะถูกทำลาย ก็ปล่อยให้มันถูกทำลายไป”
เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวหั่วตัวปัจจุบันดุร้ายกว่าเมื่อครั้นอดีตเป็นอย่างมาก ในทางกลับกัน แม้ว่าระดับการฝึกตนของเฟยเฟยจะต่ำต้อยกว่าเสี่ยวหั่ว ทว่าพลังเวทของมัน ซึ่งคล้ายกับวิชาเสน่หานั้น ค่อนข้างพิเศษมากทีเดียว