ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 235 การรวมตัวของลูกศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงาน
หลังจากพูดกับหร่วนหมิงจูเช่นนั้นไป โม่เทียนเกอไม่อาจทนนั่งอยู่ที่นั่นต่อไปได้ นางจึงกลับไปยังบ้านพักหมิงชินของนาง
ซิ่วฉินและชิงฉีจัดการทุกสิ่งได้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก พวกเขาทำให้ทุ่งยาสมุนไพรกลับมาเข้ารูปเข้ารอยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่โม่เทียนเกอกลับมา นางเห็นว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ในลานบ้านเลยแม้แต่ตัวเดียว เสี่ยวหั่วยังคงขดตัว และกำลังฝึกตนอยู่ที่มุมห้องฝึกตน ส่วนเฟยเฟยกำลังเดินวนไปรอบๆ เสี่ยวหั่ว ด้วยท่าทางสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก
เฟยเฟยเป็นสัตว์วิญญาณตามพันธะสัญญาของนาง เมื่อนางออกคำสั่งห้ามไม่ให้มันไปก่อกวนเสี่ยวหั่ว มันจึงไม่กระทำสิ่งใดต่อเสี่ยวหั่วทั้งสิ้น สำหรับเสี่ยวหั่วแล้ว มันกำลังฝึกตนอยู่ ทว่ามันยังคงอนุญาตให้เฟยเฟยเข้ามาอยู่ใกล้ๆ เห็นได้ชัดว่าระยะห่างระหว่างสัตว์ทั้งสองก่อนหน้านี้ ไม่ทำให้พวกมันผูกใจเจ็บกันอีกแล้ว
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอปิดประตูสู่ลานบ้าน เปิดใช้งานม่านพลังคุ้มครอง และวางภาพลวงตาเอาไว้ภายในห้องของนาง จากนั้น นางจึงอุ้มเสี่ยวหั่วและเฟยเฟยขึ้นมา พร้อมกับพาพวกมันเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนไปด้วยกันกับนาง
เสี่ยวหั่วหยุดการฝึกตนโดยทันที เมื่อมันได้เห็นโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนที่ไม่ได้เห็นมาเป็นเวลานาน มันเริ่มวิ่งเล่นอย่างร่าเริง และมองหาสมุนไพรวิญญาณที่มันโปรดปรานในอดีตกาล
เมื่อเฟยเฟยได้เห็นเข้า พลันวิ่งตามเสี่ยวหั่วไปในทันที กลัวว่าสิ่งที่มันโปรดปรานจะถูกเสี่ยวหั่วฉกชิงไป
สัตว์วิญญาณทั้งสองตัวพลางวิ่ง พลางแข่งขันซึ่งกันและกัน ทันทีที่สัตว์ทั้งสองตัวค้นพบว่าสิ่งที่พวกมันโปรดปรานนั้นแตกต่างกัน ความเป็นศัตรูระหว่างพวกมันก็พลันมลายหายไป เมื่อโม่เทียนเกอหลุดออกจากความงุนงงไปชั่วขณะได้ นางจึงตระหนักได้ว่าพวกมันทั้งสองตัวกำลังกลิ้งไปมาและหยอกล้อซึ่งกันและกัน
โม่เทียนเกอรู้สึกขบขันยามได้เห็นภาพฉากเช่นนี้อย่างช่วยไม่ได้ อารมณ์ความรู้สึกของสัตว์วิญญาณนั้นเรียบง่ายมาก ความสุขก็คือความสุข ความไม่พอใจก็คือความไม่พอใจ ก่อนหน้านี้ พวกมันทั้งสองยังทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่พอมาในตอนนี้ พวกมันกลับเล่นซนด้วยกันเสียแล้ว อืม นางมักจะพาเสี่ยวหั่วมาทิ้งไว้ที่นี่ และปล่อยให้มันอยู่ตามลำพังในอดีตอยู่บ่อยครั้ง มันจึงรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่เสมอ เมื่อมีเฟยเฟยอยู่ข้างกาย มันคงจะมีความสุขมากขึ้นเล็กน้อยในอนาคต
ขณะที่นางกำลังใคร่ครวญอยู่นั้น จิตใจของนางหวนกลับไปคิดถึงเรื่องราววุ่นวายที่ข้างนอกนั่นอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ฉินโส่วจิ้งค้นพบสำรับยาที่นางปรุงขึ้นมา เจินจีมีอาจารย์ของเขาแล้ว หร่วนหมิงจูจอมสร้างปัญหา และข้อคิดเห็นที่ยังไม่สิ้นสุดดีของอาจารย์ของนาง…
นางนวดบริเวณพื้นที่ระหว่างคิ้วของนาง รู้สึกสับสนยุ่งเหยิงอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้ นางแน่ใจแล้วว่าอาจารย์ของนางไม่รู้เรื่องสำรับยานั่น ทว่าเรื่องที่ศิษย์พี่โส่วจิ้งกังขาในตัวนางหรือไม่นั้น นางยังไม่อาจแน่ใจได้ ถึงกระนั้น อย่างไรเสียนางก็ได้พูดคุยกับอาจารย์ของนางแล้ว หากพวกเขามาหานางหลังจากนี้ นางสามารถโยนความผิดไปให้จงมู่หลิงได้
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว มันเป็นเวลาอย่างน้อย… สามสิบปีกว่าแล้วตั้งแต่ที่พวกเขาได้พบกันสินะ สำหรับนาง มันหาใช่ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ ในที่สุด วันนี้นางได้ตระหนักแล้วว่าความรู้สึกของนางยังคงตราตรึงอยู่ในใจ เวลากว่าสามสิบปีไม่อาจยินยอมให้นางลืมมันไปจนหมดสิ้นได้…
หลังจากปล่อยให้จิตใจคิดเรื่อยเปื่อยไปสักพัก ท้ายที่สุดแล้ว โม่เทียนเกอส่ายศีรษะ ควบคุมความคิดต่างๆ ของนาง และเริ่มการฝึกตน
วันที่หกเดือนหกใกล้เข้ามาแล้ว แม้ว่าอาจารย์ของนางจะบอกว่านางไม่จำเป็นต้องทุ่มเทแรงกายเสียทั้งหมด ทว่านางยังคงต้องเตรียมตัวให้พร้อมไว้อยู่เสมอ
ด้วยจิตที่มุ่งมั่นอยู่กับการฝึกตน วันเวลาล้วนแต่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ซิ่วฉินและคนอื่นๆ มาเรียกหานางนั้น วันเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่วันที่หกเดือนหกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในวันนี้ ลูกศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานทุกคนในสำนักเสวียนชิง จะมารวมตัวกันที่ยอดเขาหลัก แม้แต่ซิ่วฉินและคนอื่นๆ ก็ไม่มีการยกเว้น โม่เทียนเกอได้พบกับผู้คนจำนวนมากที่คุ้นเคยท่ามกลางฝูงชนมากหน้าหลายตา หันชิงอวี้ เว่ยจยาซือ หลัวเฟิงเสวี่ย เยี่ยจิ่งเหวิน ค่วงจู๋ จ่านไป๋…
เมื่อเหตุการณ์สำคัญกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ไม่มีใครมีอารมณ์พูดคุยทั้งสิ้น พวกเขาเคารพทักทายกันและกัน ทว่าในไม่ช้า พวกเขาพลันกลับไปยังตำแหน่งเดิมของพวกเขาในขบวนอย่างรวดเร็ว
หันชิงอวี้และผู้อื่นอยู่ในกลุ่มเดียวกับโม่เทียนเกอ หลัวเฟิงเสวี่ยจึงรีบไปยืนข้างนางเพื่อซุบซิบนินทาโดยทันที
โม่เทียนเกอมองไปรอบๆ และประหลาดใจที่ได้เห็นไป๋เยี่ยนเฟยอยู่ในกลุ่มของนาง ถึงกระนั้น หลังจากไตร่ตรองเรื่องนี้แล้ว นางพลันเข้าใจในที่สุด กลุ่มนี้จำต้องเป็นกลุ่มที่มีสถานะสูงสุดท่ามกลางผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานเป็นแน่แท้ ทุกคนในกลุ่มนี้ล้วนแต่เป็นลูกศิษย์ของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ฉะนั้น ไป๋เยี่ยนเฟยย่อมต้องอยู่ที่นี่เป็นธรรมดา
เมื่อไม่ได้พบหน้ากันเป็นเวลานานหลายสิบปี ไป๋เยี่ยนเฟยดูแน่วแน่มากขึ้นในตอนนี้ แม้ว่าเขายังคงมีท่าทางยโสโอหังเช่นเดิม ทว่าเขากลับไม่ดูเหลาะแหละเหมือนเมื่อครั้งก่อนแล้ว สิ่งที่ทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกโล่งใจคือตั้งแต่ที่นางมาถึง ไป๋เยี่ยนเฟยไม่หันมามองนางเสียด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าความคิดที่เขาเคยฝังใจในอดีตนั้น ได้พลันมลายหายไปจนหมดสิ้นแล้ว
ช่างน่าสนใจนัก มีสาวน้อยนางหนึ่งกำลังยืนอยู่ไม่ไกลจากไป๋เยี่ยนเฟย นางคอยจ้องเขม็งเขาด้วยความโกรธชังอยู่หลายต่อหลายครา อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันแล้ว ไป๋เยี่ยนเฟยเพียงแต่แสร้งทำเป็นไม่รับรู้ถึงสิ่งใด แววตาของเขาไม่วอกแวกเสียด้วยซ้ำ
หลัวเฟิงเสวี่ยจับสังเกตสายตาของโม่เทียนเกอได้ จึงโน้มเข้าไปหานางและกระซิบว่า “เจ้าน่าจะจำศิษย์น้องไป๋ได้ แต่เจ้าอาจจะไม่เคยเห็นศิษย์น้องเจียงมาก่อนใช่ไหม”
โม่เทียนเกอกระซิบตอบกลับไป “นั่นคือศิษย์น้องเจียงแห่งยอดเขาล่องเมฆานี่เอง… ข้าว่านางน่าจะเก่งกาจทีเดียว แม้ว่านางจะไม่ได้สวยโดดเด่นเท่าไรนัก ทว่านางก็ยังงดงามอยู่ดี”
“จริงของเจ้า…” หลัวเฟิงเสวี่ยยิ้มเยาะออกมาเล็กน้อย “หากเรากำลังพูดถึงรูปร่างภายนอก ศิษย์น้องเจียงย่อมไม่เลวทีเดียว น่าเสียดายที่อุปนิสัยใจคอของนนาง… ไม่ต่างอะไรกับหลานศิษย์หร่วนของเรา” แม้ว่าประมุขเต๋าซวนหยินจะก่อตั้งหน่วยแยกขึ้นมา ทว่าหลัวเฟิงเสวี่ยยังคงกล่าวถึงผู้คนในแบบที่นางเคยทำเช่นเดิม
โม่เทียนเกอมองไปยังอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในสายตาของนาง หร่วนหมิงจูอยู่ในกลุ่มนั้น ดูเศร้าสลดอย่างสิ้นเชิง และไม่ปรากฏให้เห็นนิสัยชอบบงการผู้อื่นอย่างที่นางเคยมีเลยแม้แต่น้อย จากนั้น โม่เทียนเกอพลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนเจ้าจะไม่ชอบศิษย์พี่หร่วนเสียจริงๆ เลย!”
“มันคงแปลกแล้วหากข้าชื่นชอบนาง!” หลัวเฟิงเสวี่ยกล่าวขณะเม้มริมฝีปากของนาง “แม้ว่าอุปนิสัยของศิษย์พี่รองจะไม่ได้ดีเท่าไรนัก ทว่านางไม่เคยทำร้ายผู้ใด หร่วนหมิงจูทำร้ายศิษย์พี่รองจนบาดเจ็บสาหัส ข้าจะชอบนางลงได้อย่างไรกัน!”
เมื่อพวกเขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา โม่เทียนเกอจึงเบนสายตาไปที่เว่ยจยาซือผู้ดูเคร่งขรึมแทน อย่างไรก็ตาม นางค้นพบว่าเว่ยจยาซือได้พัฒนาตนสู่ขั้นสุดท้ายแล้วอย่างไม่น่าเชื่อ
“ศิษย์พี่เว่ยพัฒนาไปแล้วหรือ”
“อื้อ” หลัวเฟิงเสวี่ยกล่าว “ศิษย์พี่รองตระหนักรู้ได้ในที่สุด นางอายุกว่าร้อยปีได้แล้วในตอนนี้ หากนางไม่รีบพัฒนาการก่อเกิดแก่นขุมพลังของนาง มันจะกลายเป็นเรื่องยากขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน”
ณ จุดนั้น หลัวเฟิงเสวี่ยถามนางอีกครั้งว่า “เทียนเกอ เจ้าพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน เราสร้างฐานแห่งพลังได้ช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ข้ายังอยู่ในขั้นเริ่มต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานอยู่เลย ทว่าเจ้ากลับอยู่ในขั้นสุดท้ายเสียแล้ว มันเพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่สิบปีเท่านั้นไม่ใช่หรือ ทว่าเจ้ากลับเหนือกว่าข้าถึงเกือบหนึ่งดินแดนเต็มอย่างนั้นหรือ” แม้ว่าหลัวเฟิงเสวี่ยมักจะชอบจัดการกับเรื่องการบริหารสำนักทั้งหลาย ทว่านางไม่เคยเกียจคร้านในการฝึกตนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงเต็มของหนึ่งวัน นางมักจะอุทิศเวลาอย่างน้อยครึ่งหนึ่งไปกับการการฝึกตนเสมอ
โม่เทียนเกอส่ายศีรษะปฏิเสธ และกล่าวว่า “เจ้าจะค้นพบมันเช่นกัน… ทันทีที่ข้าสร้างฐานแห่งพลังได้ ชะตาของข้าถูกลิขิตไว้ ข้าจึงพัฒนาเข้าสู่ขั้นกลางโดยตรง มันผ่านมากว่าสามสิบปีแล้วนับจากตอนนั้น มันจึงไม่แปลกเลยสักนิดที่ระดับการฝึกตนของข้าจะอยู่ในขั้นสูงสุดแล้วในยามนี้ นอกจากนั้น เจ้ากำลังอยู่ในระยะสูงสูดของขั้นเริ่มต้นแล้วไม่ใช่หรือ เจ้าแค่ต้องการการทะลวงดินแดนในตอนนี้เท่านั้น”
“อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ แต่ใครจะไปรู้กันเล่า” หลัวเฟิงเสวี่ยไม่ได้สนใจพูดคุยในเรื่องนี้เท่าไรนัก นางจึงเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาเสีย “ความจริงแล้ว พวกเราทุกคนได้แต่นินทาลับหลังกันว่าศิษย์น้องเจียงจะต้องทุกข์ทรมานในอนาคตอย่างแน่นอน ตอนนี้นางมีอาจารย์ลุงหลิงซวีคอยหนุนหลังให้ นางจึงมีสิทธิพิเศษเหนือคนอื่นอย่างมาก แต่ทว่าเมื่อพิจารณาถึงทักษะความสามารถของนาง นางไม่ได้เก่งกาจไปกว่าพวกเราเสียเท่าไร หากนางต้องฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับศิษย์น้องไป๋ นางจะต้องได้ประโยชน์อย่างง่ายดายแน่นอน การเคลื่อนไหวของอาจารย์ลุงเจิ้นหยางเพียงแต่ทำให้ยอดเขาล่องเมฆาสงบลงเท่านั้น”
โม่เทียนเกอกล่าว “หากอาจารย์ลุงหลิงซวีตายจากไป จะเกิดอะไรขึ้นกับยอดเขาล่องเมฆากัน มันเป็นเวลาเกือบพันปีตั้งแต่ที่อาจารย์ลุงหลิงซวีก้าวเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ ยอดเขาล่องเมฆาเต็มไปด้วยลูกศิษย์หลานศิษย์ของเขาทั้งนั้น”
หลัวเฟิงเสวี่ยเม้มริมฝีปากของนาง และกล่าวว่า “นั่นคือสาเหตุที่ยอดเขาล่องเมฆาในตอนนี้ กำลังกังวลเรื่องผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คนใหม่อย่างไรเล่า มิฉะนั้น ศิษย์พี่ตานหนิงคงจะไม่กังวลในการสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขา โดยที่ไม่ออกไปข้างนอกเช่นนี้หรอก เฮ้อ ข้าว่านะ มันจะต้องยากสำหรับศิษย์พี่ตานหนิงในการสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาในตอนนี้แน่!”
แม้ว่าหลัวเฟิงเสวี่ยจะเป็นเพียงผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน แต่ทว่านางคือหัวหน้าคนรับใช้แห่งยอดเขาหยาดน้ำค้างหวาน ฉะนั้น นางจึงรู้เรื่องราวต่างๆ มากกว่าผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานทั่วไปยิ่งนัก
เมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนั้นเข้า โม่เทียนเกอจึงถามอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากอาจารย์ลุงซวนหยินอย่างนั้นหรือ”
หลังเฟิงเสวี่ยกล่าว “ท่านอาจารย์เคยบอกข้าเช่นนั้นก่อนหน้านี้แล้ว นอกจากนั้น อาจารย์ลุงโส่วจิ้ง…” นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวต่อไป “สถานการณ์ของเขาก็น่าเป็นกังวลอยู่เช่นกัน”
“… แล้วทำไมทุกคนถึงต้องการให้พวกเขาเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตตอนนี้ เพื่อสร้างจิตวิญญาณใหม่ของพวกเขากัน” โม่เทียนเกอถามด้วยความงุนงง “การสร้างจิตวิญญาณต่างกับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง มันมีความเสี่ยงสูงอย่างมาก พวกเขาอาจจะตายได้หากพวกเขาล้มเหลวในการรับมือกับปีศาจภายในจิตใจ”
หลัวเฟิงเสวี่ยส่ายศีรษะ “มีใครไม่ตกอยู่ในภยันตรายตอนที่กำลังพยายามสร้างจิตวิญญาณใหม่บ้างกัน แม้แต่อาจารย์ของข้ายังต้องผ่านสิ่งเหล่านี้เช่นกัน หากพวกเขาล้มเหลว มันก็คงเป็นโชคชะตาของพวกเขา” นางหยุดสักครู่ก่อนที่จะกล่าวต่อไปด้วยรอยยิ้ม “ความจริงแล้ว ข้าคิดว่าอาจารย์ลุงโส่วจิ้งจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน แม้จะไม่พิจารณาสิ่งอื่นใดประกอบด้วยก็ตาม ทว่าเมื่อใคร่ครวญจากอุปนิสัยใจคอของอาจารย์ลุงโส่วจิ้งแล้ว เขามักจะทำสิ่งต่างๆ อย่างสมบูรณ์แบบ ก่อนที่จะเดินหน้าไปสู่ขั้นตอนต่อไปเสมอ”
“…” โม่เทียนเกอไม่ได้กล่าวสิ่งใดตอบกลับไป ถึงหลัวเฟิงเสวี่ยจะไม่รู้ ทว่าโม่เทียนเกอรู้ดีอยู่แก่ใจว่าอาจารย์ของนางไม่ได้มองโลกในแง่ดีเรื่องโอกาสของเขาเท่าไรนัก
“อ้อ ใช่แล้ว! ข้าควรเรียกเขาว่าศิษย์พี่โส่วจิ้งในตอนนี้! ข้าไม่เคยคุ้นชินกับเรื่องนี้เลย อีกไม่นาน ข้าต้องเรียกเขาว่าอาจารย์ลุงอีกเป็นแน่แท้” หลัวเฟิงเสวี่ยกล่าวขณะกำลังตบหน้าผากของตนเอง “ข้าพูดไปเรื่อยเปื่อยอีกแล้ว เมื่อครู่เรากำลังคุยกันเรื่องอันใดนะ”
“เรากำลังคุยกันเรื่องศิษย์น้องเจียงอยู่” โม่เทียนเกอกล่าวเตือนความจำ
“โอ้! มาพนันกันดีกว่า ข้าคิดว่าอย่างไรเสีย ศิษย์น้องเจียงจะต้องแต่งงานกับศิษย์น้องไป๋ในท้ายที่สุด เจ้าเชื่อข้าไหม”
โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ “ให้ข้าพนันกับเจ้าอย่างนั้นหรือ นั่นเท่ากับว่าข้าหาเรื่องแพ้ไม่ใช่หรือ ในบรรดาทุกผู้นามที่อยู่ในสำนักเสวียนชิงแห่งนี้ มีใครเข้าถึงข่าวสารได้ดีกว่าเจ้าอีกกัน”
“มันแน่อยู่แล้ว” หลัวเฟิงเสวี่ยกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ถึงกระนั้นก็ตาม นางไม่ลืมที่จะลดเสียงต่ำลงอีกครั้ง ขณะที่นางกำลังพูด “ครั้งก่อน ศิษย์น้องเจียงก่อหายนะขึ้นที่ยอดเขาอาทิตย์รุ่งอรุณ เพราะถูกศิษย์น้องไป๋ปฏิเสธเข้า ในความคิดของข้า ศิษย์น้องเจียงจะต้องชอบพอในตัวของศิษย์น้องไป๋อย่างแน่นอน ฉะนั้น มันเป็นเรื่องยากสำหรับนางที่จะต้องยอมรับคำปฏิเสธของเขา”
ศิษย์น้องเจียงจอมดื้อรั้น และศิษย์น้องไป๋จอมโอหัง… ส่วนผสมที่ลงตัวเช่นนี้ทำให้โม่เทียนเกอถึงกับต้องยิ้มออกมา “ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้ว เราก็คงมีความบันเทิงให้ชมทุกวันเป็นแน่แท้”
“ใครบอกว่าเราจะไม่มีกันเล่า” หลัวเฟิงเสวี่ยหัวเราะเบาๆ ออกมา “ยิ่งไปกว่านั้น ความจริงแล้ว ศิษย์น้องไป๋ผู้นั้น หาใช่ผู้มีศีลธรรมสูงส่งไม่ แม้ว่าเขาจะปฏิเสธไปแล้ว หากอาจารย์ลุงเจิ้นหยางยังคงต้องการให้เขาและศิษย์น้องเจียงฝึกตนแบบร่วมสัมพันธ์ด้วยกันอยู่ดีเล่า นอกจากนี้ ศิษย์น้องเจียงก็ถือว่าเป็นสตรีงดงามนางหนึ่ง เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว เขาจะต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน” เมื่อถึงจุดนั้น หลัวเฟิงเสวี่ยเม้มปากของนางอีกครั้ง “อาจกล่าวได้ว่า อาจารย์ลุงเจิ้นหยางคือผู้ที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดในการกระทำเช่นนี้ ด้วยการปล่อยให้ศิษย์น้องไป๋และศิษย์น้องเจียงได้ผูกพันกันในฐานะสหายฝึกตนร่วมสัมพันธ์ในตอนนี้ ทุกคนคงเพียงแต่กล่าวว่าเขาเป็นผู้มีใจเมตตาเท่านั้น ทว่ายอดเขาล่องเมฆาไม่ใช่ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้เพียงผู้เดียวแน่นอน โอกาสของศิษย์พี่ตานหนิงในการสร้างจิตวิญญาณใหม่ไม่สูงมากนัก และมีลูกศิษย์ที่พอฝากความหวังด้วยได้เพียงไม่กี่คนบนยอดเขาล่องเมฆาเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ศิษย์น้องไป๋มีโอกาสสูงมากในการสร้างจิตวิญญาณใหม่ได้สำเร็จในอนาคต เฮ้อ! เมื่อศิษย์น้องไป๋สร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาได้แล้ว เขาสามารถกลายเป็นอาจารย์แห่งยอดเขาล่องเมฆาได้ มันจะยอดเยี่ยมสักเพียงใดกัน!”
โม่เทียนเกอจมดิ่งอยู่ในความเงียบงันสักครู่หนึ่ง ก่อนที่นางจะเอ่ยปากพูดอีกครั้งในที่สุด “อย่างไรก็ตาม ด้วยระดับการฝึกตนของศิษย์น้องไป๋ในปัจจุบันนี้ เขาจะต้องใช้เวลาอีกสองถึงสามร้อยปีเป็นอย่างน้อย ก่อนที่เขาจะสามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ได้ใช่ไหม ด้วยระยะเช่นนั้น สำนักเสวียนชิงของเราอาจมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เพิ่มมากกว่าหนึ่งคนก็เป็นได้ เมื่อถึงตอนนั้น ยอดเขาล่องเมฆาจำต้องจัดสรรให้ผู้อื่นดูแลแทนไม่ใช่หรือ”
หลัวเฟิงเสวี่ยตะลึงงัน “นั่นฟังดูสมเหตุสมผล… ให้ตายสิ! หากเป็นเช่นนั้นจริง อาจารย์ลุงเจิ้นหยางจะไม่ต้องสูญเสียสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย ลืมเรื่องการสร้างจิตวิญญาณไปเถอะ มาคุยกันเรื่องการก่อเกิดแก่นขุมพลังดีกว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ลูกศิษย์ร่วมสำนักของเราหลายคนไปถึงขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว จากการคาดการณ์ของข้า การแข่งขันเพื่อรวบรวมสมุนไพรวิญญาณภายในม่านพลังเวทนั่น จะต้องดุเดือดเลือดพล่านอย่างแน่นอน เทียนเกอ เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มากเข้าไว้”
“หืม” โม่เทียนเกองงงวย “ทำไมข้าจะต้องระวังตัวด้วย”
หลัวเฟิงเสวี่ยกล่าว “แม้ว่าจะมียาครอบวิญญาณจำนวนมากมายจากยุคกลางถูกทิ้งเอาไว้ภายในม่านพลังเวทนั้น ทว่ายาทั้งหมดนั้นจำต้องส่งมอบให้กับทางสำนัก ในตอนนั้น พวกเจ้าที่หมายจะสร้างขุมพลัง จำต้องพึ่งพาสำรับยาที่ทางสำนักจัดหามาให้อยู่ดี มันมีสำรับยาจำนวนตั้งมากมาย ทว่าพวกเจ้าต้องแบ่งปันยาทั้งหมดเหล่านั้น ลองคิดดูให้ดี หากเจ้ากินเข้าไปน้อยลง คนอื่นก็สามารถกินเข้าไปได้มากขึ้น เช่นนั้นแล้ว จะมีผู้ใดที่ไม่ต้องการให้เจ้าได้รับยาครอบวิญญาณเหล่านั้นไหม”
เหตุผลนี้ช่างถูกต้องเป็นที่สุด โม่เทียนเกอถาม “พวกเขาจะทำร้ายข้าไหม”
“พวกเขาคงจะไม่ทำร้ายเจ้า กฎของสำนักห้ามไม่ให้ลูกศิษย์ร่วมสำนักทำร้ายซึ่งกันและกัน” หลัวเฟิงเสวี่ยกวาดสายตามองผ่านผู้คนทั้งหลาย “ทว่าการขัดขวางเจ้าหรือการถ่วงเจ้าจากภายนอกนั้น เป็นไปได้อย่างยิ่ง”
“…” นางไม่เคยคาดคิดว่าภารกิจของสำนัก ซึ่งนางไม่ได้คิดอย่างจริงจังเท่าไรนักนั้น จะกลับเสี่ยงอันตรายมากทีเดียว โชคยังดีที่อาจารย์ของนางได้บอกนางไว้เสียตั้งนานแล้วว่า การปกป้องตนเองนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในยามเช่นนี้