ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 236 ม่านพลังหมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาติ
หลายคนที่หลัวเฟิงเสวี่ยชี้ให้โม่เทียนเกอดู ล้วนแต่อยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน บางคนอยู่ในขั้นสูงสุดของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้วเสียด้วยซ้ำ และพร้อมที่จะมุ่งมั่นสร้างขุมพลังของพวกเขา ท่ามกลางพวกทั้งหมด มีทั้งลูกศิษย์ชั้นสูงและลูกศิษย์ธรรมดาทั่วไป
“ผู้คนเหล่านี้ล้วนแต่วางแผนจะพยายามสร้างขุมพลังของพวกเขาในอนาคตอันใกล้นี้ และอุปนิสัยดั้งเดิมนั้นไม่ได้ดีมากเท่าไรนัก ฉะนั้น เจ้าต้องจับตาดูพวกเขาเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าจะไม่ใช่ใครสักคนในบรรดาคนเหล่านี้ ตราบใดที่พวกเขาอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน เจ้ายังคงต้องระมัดระวังตนเล็กน้อย เมื่อเจ้าบังเอิญเจอกับพวกเขา”
แม้ว่าการฝึกตนของหลัวเฟิงเสวี่ยจะไม่ได้โดดเด่นมากนัก ทว่าวิถีที่นางประพฤติปฏิบัติตนนั้นกลับล้าสมัยเป็นที่สุด โม่เทียนเกอจดจำคำพูดของนางไว้ขึ้นใจ และกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
หลัวเฟิงเสวี่ยยิ้มอีกครั้ง “ความจริงแล้ว เจ้าเองก็ไม่ต้องระมัดระวังตนจนเกินไป อย่างไรเสีย ม่านพลังนี้มีขึ้นเพื่อทดสอบและฝึกฝนบรรดาลูกศิษย์อยู่แล้ว แม้ว่าจะมีบางสิ่งผิดพลาดไป เจ้าเพียงแต่ถูกเคลื่อนย้ายออกมาเป็นอย่างมากก็เท่านั้น นอกจากนั้น อิงจากนิสัยใจคอของท่านปรมาจารย์แล้ว แม้ว่าเจ้าจะไม่อาจไขว่คว้าสิ่งใดมาได้ เจ้าจะไม่มีทางขาดแคลน ในยามที่เจ้าต้องสร้างขุมพลังอย่างแน่นอน”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของโม่เทียนเกอเช่นกัน “เจ้าเข้าใจท่านปรมาจารย์ของเจ้าเสียจริง”
“ข้าจะไม่เข้าใจได้อย่างไรกัน” หลัวเฟิงเสวี่ยหัวเราะคิกคัก และกล่าวว่า “ตราบใดที่เราตระหนักรู้ถึงนิสัยใจคอของท่านปรมาจารย์ มันช่างง่ายดายยิ่งนักในการขอสิ่งต่างๆ จากเขา”
ทันใดนั้น โม่เทียนเกอพลันรู้สึกอยากหัวเราะขึ้นมา บรรดาคนอื่นๆ กล่าวว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอนั้น ทั้งเจ้ากี้เจ้าการ กระหายเลือด และอารมณ์แปรปรวนนัก ทว่าลูกศิษย์และหลานศิษย์ของเขากลับสามารถล่วงรู้อุปนิสัยใจคอของเขา พวกเขาจึงรู้วิธีให้ได้มาซึ่งสิ่งที่พวกเขาต้องการ
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยนั้น ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คนหนึ่ง และผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังหลายคนเดินเข้ามาจากด้านนอก คนเหล่านั้นคือประมุขเต๋าเจิ้นหยาง ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าประมุขอาวุโสสูงสุด มาพร้อมกับเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสซึ่งคอยปรนนิบัติรับใช้ทั้งหลาย
เมื่อมาถึง ประมุขเต๋าเจิ้นหยางนั่งบนเก้าอี้ประมุขในทันที จากนั้นพลันหลับตาลงและนิ่งเงียบ เจ้าสำนักซึ่งอยู่ข้างกายเขา ก้าวเดินออกมายังเบื้องหน้า
เจ้าสำนักเสิ่นอีเจี้ยน เป็นลูกศิษย์ของประมุขเต๋าเจิ้นหยาง แม้ว่าเขาจะเป็นที่รู้จักในฐานะเจ้าสำนักของสำนักเสวียนชิง ทว่าความจริงแล้ว ทุกอำนาจการตัดสินใจสำหรับเหตุการณ์สำคัญนั้น ยังคงตกอยู่ในมือของประมุขเต๋าเจิ้นหยาง ขณะที่เรื่องเล็กน้อยต่างๆ นั้นจะถูกจัดการโดยผู้รับใช้ของแต่ละยอดเขา ในฐานะเจ้าสำนัก เสิ่นอีเจี้ยนเพียงแต่จัดการเรื่องราวที่ไม่ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป และเป็นผู้ออกหน้าเพื่อกล่าวแทนประมุขเต๋าเจิ้นหยาง
ทว่าอย่างไรก็ตาม เขาเป็นเจ้าสำนักของสำนักเสวียนชิงแห่งนี้ ทั้งตัวตนและสถานะของเขาล้วนแต่เหนือกว่าลูกศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานอย่างพวกเขาอยู่มาก ฉะนั้น เมื่อพวกเขาเห็นเขาก้าวออกมายังเบื้องหน้า บรรดาลูกศิษย์ที่เคยพูดคุยกันอยู่นั้น พลันนิ่งเงียบในชั่วพริบตา
เสิ่นอีเจี้ยนกวาดสายตาไปทั่วบริเวณโถงกลาง จากนั้นจึงกล่าวว่า “ลูกศิษย์ทั้งหลาย บางทีอาจารย์แห่งแต่ละยอดเขาได้เอื้อนเอ่ยกับเจ้าถึงเรื่องสำคัญที่เราเรียกพวกเจ้าทุกคนกลับมายังภูเขาแห่งนี้แล้ว วันนี้ ข้าจะชี้แจงรายละเอียดให้มากยิ่งขึ้น เมื่อไม่นานมานี้ เราค้นพบม่านพลังเวทอยู่ภายใต้ยอดเขาหลัก ม่านพลังนี้ซับซ้อนเป็นอย่างมาก มันเทียบเท่าได้กับม่านพลังขนาดมโหฬารที่ประกอบสร้างขึ้นมาจากม่านพลังขนาดเล็กจำนวนกว่าหลายแสนชิ้น หลังจากประมุขอาวุโสสูงสุดหลายท่านได้ทำการศึกษาแล้ว เราตระหนักได้ว่าม่านพลังเวทนี้ไม่ได้อันตรายแต่อย่างใด กลุ่มผู้ฝึกตนจากยุคกลางคงจะใช้มันในการทดสอบลูกศิษย์ของพวกเขา ณ ณ บัดนี้ เวลากว่าแสนปีได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทว่าม่านพลังเวทนี้ยังคงกักเก็บพลังงานบางอย่างของมันเอาไว้ได้อยู่ และสิ่งต่างๆ ปริมาณเล็กน้อย ซึ่งเป็นของรางวัลสำหรับบรรดาลูกศิษย์นั้น ก็ยังคงอยู่ในสภาพดีเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือพลังทางจิตวิญญาณและสภาพแวดล้อมจากเมื่อครั้นหลายแสนปีก่อน ยังคงถูกรักษาเอาไว้ภายในม่านพลังเวทแห่งนี้ด้วย หลังจากเติบโตมานานกว่าแสนปี สมุนไพรวิญญาณธรรมดาทั่วไปในแรกเริ่ม ได้กลายเป็นสมบัติอันใหญ่โตมโหฬารในโลกปัจจุบันของเราแล้ว!”
เมื่อกล่าวเสร็จสิ้น เสิ่นอีเจี้ยนสำรวจปฏิกิริยาของบรรดาลูกศิษย์ และเป็นอย่างที่เขาคาดไว้ แม้ว่าข่าวคราวของม่านพลังนี้จะหลุดรั่วออกไป ทว่ายังคงมีลูกศิษย์ทั่วไปหลายคนที่ไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์เฉพาะนี้ บัดนี้ พวกเขากำลังกระซิบกระซาบซึ่งกันและกัน ปรึกษาหารือเรื่องนี้อย่างเพลิดเพลิน
เสิ่นอีเจี้ยนยกมือของเขาขึ้นมา เป็นสัญญาณแจ้งหยุดการกระซิบกระซาบของทุกคน “ทุกคนควรจะเข้าใจได้ว่า… นี่เป็นโอกาสในการเติบโตอันยิ่งใหญ่สำหรับสำนักเสวียนชิง! หากเราใช้สมุนไพรวิญญาณที่เติบโตอยู่ภายในม่านพลังเวทนั้น เพื่อปรุงเป็นสำรับยา สำนักของเราจะมีผู้ฝึกตนระดับสูงเพิ่มมากขึ้นยิ่งนัก! หลังจากประมุขอาวุโสสูงสุดหลายท่านได้ทำการศึกษาแล้ว เราพบว่าม่านพลังนี้จะมีประสิทธิภาพสูงสุด หากลูกศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานเข้าไป ฉะนั้น เราจึงเรียกพวกเจ้าทุกคนกลับมา ทุกคนจะมีโอกาสเท่าเทียมกัน เจ้าเลือกเก็บสมุนไพรวิญญาณภายในม่านพลังเวท และสำนักจะตอบแทนเจ้าด้วยสำรับยา ตามปริมาณสมุนไพรวิญญาณที่เจ้าเก็บออกมา”
ตอบแทนด้วยสำรับยา! แม้ว่าพวกเขาจะพอได้ยินข่าวลือเรื่องนี้มาบ้าง ทว่าความปลื้มปิติก็ยังคงปรากกบนใบหน้าของลูกศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งหลาน เมื่อได้ยินการยืนยันจากทางเจ้าสำนัก จากดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังงานวิญญาณสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง คุณค่าความสำคัญของสำรับยาไม่ได้เพียงแต่ช่วยให้ลูกศิษย์ผู้หนึ่งพัฒนาไปสู่อีกขั้นของดินแดนได้เท่านั้น ยาบำรุงพลังงานทางจิตวิญญาณของบรรดาลูกศิษย์การหลอมรวมพลังงานวิญญาณ ต้องใช้ศิลาวิญญาณเพียงสองก้อนต่ออันเท่านั้น ฉะนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผู้ที่ค่อนข้างร่ำรวยในการสรรหามันมาอย่างต่อเนื่อง ถึงกระนั้นก็ตาม ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน แม้แต่บรรดาลูกศิษย์ชั้นสูง พวกเขาจะได้รับยาเพิ่มพลังจิตวิญญาณเพียงยี่สิบชิ้นต่อปีเท่านั้น และปริมาณก็ยิ่งลดหลั่นน้อยลงไปสำหรับลูกศิษย์ทั่วไปด้วย
เนื่องจากสาเหตุเช่นนั้น สำหรับลูกศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานเช่นพวกเขา ผู้ซึ่งสามารถละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างได้ พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้รางวัลสำรับยาเหล่านี้หลุดมือไปเป็นอันขาด
“เอาละ ในเมื่อทุกคนเข้าใจตื้นลึกหนาบางแล้ว บัดนี้ ข้าจะบรรยายถึงคุณสมบัติของม่านพลังเวทชิ้นนี้” เมื่อได้เห็นความกระตือรือร้นจากบรรดาลูกศิษย์เบื้องล่าง เสิ้นอีเจี้ยนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “หลังจากประมุขอาวุโสสูงสุดได้ทำการศึกษามันแล้ว เราค้นพบว่าม่านพลังเวทนี้คือ ‘หมื่นปรัชญาแห่งม่านพลังธรรมชาติ’ ซึ่งถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณ ทุกคนต้องไม่ดูเบามันเด็ดขาด ม่านพลังเวททุกชิ้นถูกสร้างขึ้นจากการผสมผสานกันระหว่างม่านพลังหลากหลายชนิด และม่านพลังเวทชิ้นนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ สำหรับพลังอำนาจที่ม่านพลังเวทนี้มีนั้น ไม่มีการบันทึกรายละเอียดของมันอยู่ในคัมภีร์โบราณ ถึงกระนั้น ประมุขอาวุโสสูงสุดหลายท่านได้เข้าไปตรวจสอบม่านพลังเวทนี้แล้ว จุดประสงค์ของม่านพลังเวทนี้มีเพื่อใช้ทดสอบและฝึกฝนลูกศิษย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีภยันตรายถึงแก่ชีวิตใดๆ ซ่อนอยู่ภายใน…”
“ม่านพลังเวทนี้แบ่งออกเป็นสามด่านโดยคร่าว ด่านแรกคือด่านห้าวิญญาณปลิดชีพ ในด่านนี้ ลูกศิษย์ทุกคนจะถูกขังอยู่ในอุปสรรคอันแล้วอันเล่า และต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อฝ่าด่านอุปสรรคนั้นออกมาให้ได้ ทุกคนสามารถทำเช่นใดย่อมได้ จำนวนอุปสรรคที่ลูกศิษย์ผู้หนึ่งสามารถผ่านไปได้ในท้ายที่สุด ขึ้นอยู่กับทักษะความสามารถของลูกศิษย์ผู้นั้น จงจำไว้ว่าการผ่านอุปสรรคทั้งหลายหาใช่จุดประสงค์หลักไม่ ทุกครั้งที่เจ้ามาถึงยังอุปสรรคหนึ่งๆ เจ้าเพียงแต่ต้องเก็บสมุนไพรวิญญาณที่เติบโตอยู่ในบริเวณโดยรอบเท่านั้น”
“ด่านที่สองคือด่านห้านิวรณ์พลิกสัมผัส ในด่านนี้ พวกเจ้าทุกคนจะต้องระวังให้มากเป็นพิเศษ เจ้าต้องปกป้องดูแลจิตใจของเจ้าให้ดี และห้ามใช้จิตสัมผัสเด็ดขาด พึงระวังนิวรณ์ทั้งห้าประการ อันได้แก่ความโลภ ความโกรธ ความเขลา ความเกียจคร้าน และความกังขา หากเจ้าถูกนิวรณ์ทั้งห้าประการรบกวนเข้าจนได้ ไม่เพียงแต่เจ้าจะถูกเคลื่อนย้ายออกจากม่านพลังเวทโดยทันทีแล้ว สภาพจิตใจของเจ้าจะต้องเผชิญกับความเสียหายชั่วขณะหนึ่งด้วย พวกเจ้าต้องไม่ประมาทในเรื่องนี้เป็นอันขาด”
“ด่านสุดท้ายคือด่านห้าความสับสนรังควานวิญญาณ ความสับสนทั้งห้าประการได้แก่ ความสับสนทางจิตใจ ความสับสนทางปัญญา ความสับสนทางความคิด ความสับสนทางจิตวิญญาณ และความสับสนทางเจตนา พวกมันยากที่จะอธิบายได้ ทว่าความจริงแล้ว มันเพียงพอที่จะทำให้พวกเจ้าจดจำในข้อนี้ได้ว่า ไม่ว่าสิ่งใดจะปรากฏกายต่อหน้าพวกเจ้าก็ตาม เจ้าจำต้องแยกแยะให้ออกว่าสิ่งใดจริงสิ่งใดปลอม และยึดมั่นในจิตใจแห่งเต๋าให้รวดเร็วที่สุด!”
เมื่อเขากล่าวชี้แจงทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว เสิ่นอีเจี้ยนมองไปยังประมุขเต๋าเจิ้นหยาง ครั้นเห็นว่าประมุขเต๋าเจิ้นหยางไม่มีท่าทางคัดค้านแต่อย่างใด เขาจึงกล่าวต่อไป “หมื่นปรัชญาแห่งม่านพลังธรรมชาติ… ตราบใดที่เจ้าระลึกถึง ‘หมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาติ’ เอาไว้ภายในจิตใจ เจ้าจะยืนหยัดก้าวต่อไปจนถึงปลายทางได้แน่! ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าในการใคร่ครวญว่าพวกเจ้าจะรับมือกับภารกิจนี้อย่างไร”
ทันทีที่เขากล่าวจบ ลูกศิษย์ผู้หนึ่งเอ่ยถามขึ้นมาโดยทันที “อาจารย์ลุงเจ้าสำนัก ข้ามีคำถามขอรับ ครั้นเข้าไปในม่านพลังเวทแล้ว พวกเราสามารถเดินทางเป็นกลุ่มได้หรือไม่ขอรับ”
เจ้าสำนักเสิ่นกล่าวตอบ “ม่านพลังเวทนี้พลันเปลี่ยนไปไม่มีที่สิ้นสุด ยามใดที่เจ้าได้เข้าไปแล้ว มันอยู่เหนือการควบคุมของเจ้า เจ้าจึงได้แต่เดินทางต่อไปเพียงผู้เดียวเท่านั้น”
เสียงของการปรึกษาหารือภายในโถงพลันกระหน่ำดังขึ้นโดยทันที
ขณะที่คนนอกไม่อาจไว้วางใจได้ บรรดาคนส่วนใหญ่ในกลุ่มฝึกตนยังคงมีสหายสนิทประจำตนอยู่ ยามใดที่คนผู้หนึ่งออกไปพยายามหาประสบการณ์เพิ่มเติม คนผู้นั้นคงจะโล่งใจมากขึ้น หากพวกเขาได้มีสหายสนิทประจำตนคอยอยู่เคียงข้างกาย หากพวกเขาต้องออกไปตามลำพัง ภยันตรายที่พวกเขาต้องเผชิญจะเพิ่มมากยิ่งขึ้น
โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยล่วงรู้เรื่องนี้มานานแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ มากนัก
ลูกศิษย์อีกผู้หนึ่งลุกขึ้นยืน “อาจารย์ลุงเจ้าสำนัก ข้ามีคำถามขอรับ พวกเราจะบังเอิญเจอกันภายในม่านพลังเวทหรือไม่ขอรับ”
เจ้าสำนักเสิ่นยิ้ม “แน่นอน! มีพวกเจ้ามากกว่าสามร้อยนายอยู่ในนั้น แม้ว่าม่านพลังเวทนี้จะมโหฬาร ทว่ามันไม่มีทางแยกพวกเจ้าทั้งหมดออกจากกันได้ หากเจ้าบังเอิญพบกับศิษย์ร่วมสำนักของเจ้าเข้า ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และรับมือกับความยากลำบากไปด้วยกัน”
โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยชำเลืองมองกันและกัน และเห็นถึงความช่วยไม่ได้ภายในแววตาของทั้งคู่ แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะเป็นศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ามันยากที่จะหลีกเลี่ยงข้อเท็จจริงที่ว่าทุกคนล้วนแต่มีใครบางคนที่รู้สึกไม่ชื่นชอบอยู่เสมอ และยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้พวกเขากำลังแข่งขันกันเอง คงจะมีคนบางจำพวกที่ช่วยเหลือผู้อื่น แต่ก็คงมีคนบางจำพวกที่ทำร้ายผู้อื่นเช่นกัน ฉะนั้น พวกเขายังคงต้องพึ่งพาอาศัยตนเอง
ครู่ต่อมา ภาพฉากพลันค่อยๆ นิ่งสงบลง เมื่อเห็นทุกคนตกลงยอมรับภารกิจแล้ว เจ้าสำนักเสิ่นจึงกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้าทุกคนพร้อมแล้ว เชิญพวกเจ้าเข้าไปยังม่านพลังเวทได้”
ลูกศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานเกือบสามร้อยชีวิตแห่แหนกันออกมาจากโถงกลาง วินาทีหลังจากนั้น ลูกศิษย์แต่ละคนพลันเปิดใช้งานเครื่องมือพลังเวทบินได้ บินตามเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสไปยังตีนเขาของยอดเขาหลักอย่างสง่าผ่าเผย
ในตอนนั้น โม่เทียนเกอพลันสังเกตเห็นเยี่ยเจินจีท่ามกลางฝูงชนได้ในที่สุด เขากำลังพูดคุยอย่างตื่นเต้นกับฮัวหลิง ซึ่งเป็นสหายของเขา นางบินไปหาและร้องเรียกออกไป “เจินจีหรือ”
“อ้าว ท่านป้า!” แม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นผู้ฝึกตนที่อยู่ในดินแดนเดียวกัน ทว่าคนหนึ่งนั้นอยู่ในขั้นเริ่มต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งลพังงาน ในขณะที่อีกคนหนึ่งอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ความแตกต่างระหว่างพวกเขาทั้งสองยังคงห่างชั้นกันอยู่มากโข
โม่เทียนเกอลดเสียงถาม “อาจารย์เจ้าได้เตรียมพร้อมให้เจ้าหรือยัง”
เยี่ยเจินจีพยักหน้า “ขอรับ ท่านอาจารย์มอบเครื่องรางและสมบัติพิเศษจำนวนมากให้ข้าแล้ว เขายังบอกข้าอีกว่าข้าควรทำอย่างไร”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” นางใช้เวลาครู่หนึ่งในการไตร่ตรอง จากนั้นจึงหยิบขวดสำรับยาจำนวนหนึ่งภายในเสื้อคลุมของนางออกมา “เอานี่ไปเสีย… อย่างกที่จะใช้มันนักล่ะ ใช้มันในยามที่เจ้าจำต้องใช้มัน”
“ขอรับ” เขารู้ดีว่าท่านป้าของเขาไม่ได้ขาดแคลนสำรับยา เยี่ยเจินจีจึงรับมันเอาไว้อย่างไม่รีรอ
โม่เทียนเกอที่ยังคงรู้สึกกังวลใจ พลันเตือนเขาอีกครั้ง “เจ้าแค่ต้องทำให้สุดความสามารถ ไม่จำเป็นต้องบังคับตนเอง สิ่งสำคัญที่สุดคือการปกป้องตนเอง ห้ามบาดเจ็บเป็นอันขาดล่ะ”
“เข้าใจแล้วขอรับ” ความจริงแล้ว เยี่ยเจินจีรู้สึกตื่นเต้นกับการทดสอบม่านพลังเวทนี้เป็นอย่างมาก ก่อนที่เขาจะสร้างฐานแห่งพลังของเขาได้ เขาเคยเดินทางกลับไปยังโลกฆราวาสเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากที่เขาสร้างฐานแห่งพลังได้ สิ่งที่เขาทำเป็นส่วนใหญ่คือการลงจากภูเขาไปกับศิษย์พี่น้องร่วมสำนัก เพื่อไปจัดการธุระเล็กน้อยเท่านั้น เขาจึงไม่เคยออกไปหาประสบการณ์เพิ่มอย่างแท้จริงแม้แต่ครั้งเดียว
เมื่อนางตักเตือนอบรมเสร็จแล้ว โม่เทียนเกอพลันยิ้มให้ฮัวหลิง จากนั้นจึงบินกลับไปยังกลุ่มของนาง
หลัวเฟิงเสวี่ยซึ่งเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง พลันเดินมาหยุดที่ข้างนาง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าช่างรักหลานชายผู้นี้ของเจ้าเสียจริง เขาเป็นลูกศิษย์เพียงผู้เดียวของอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง เจ้าจะขาดแคลนสิ่งใดได้กันเล่า เลิกกังวลไปเรื่อยได้แล้วน่า”
ในเมื่อหลัวเฟิงเสวี่ยเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา โม่เทียนเกอกลับรู้สึกหดหู่ใจขึ้นมาแทน นางเพียงแต่ส่ายศีรษะและนิ่งเงียบไม่กล่าวสิ่งใดกลับไป
กลุ่มของบรรดาผู้คนบินไปยังบริเวณพื้นหุบเขาอย่างรวดเร็ว และยืนเป็นขบวนเหมือนดังเช่นก่อนหน้า
ทันทีที่ทุกคนมารวมตัวกันครบแล้ว เจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสพลันก้าวออกมาเบื้องหน้า แต่ละคนเริ่มทำท่าร่ายเวท ทันใดนั้น พวกเขาแต่ละคนพลันเปล่งแสงสีขาวออกมาจากร่างกาย แสงสีขาวเหล่านั้นสว่างไสวมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมันกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และพุ่งไปยังกำแพงหิน
แสงสีขาวพลันมลายหายไปทันทีที่มันสัมผัสเข้ากับกำแพงหิน ถึงกระนั้น ไม่กี่วินาทีต่อมา ทางเข้าถ้ำอันมืดสนิทปรากฏตัวบนกำแพงหินนั่น
เจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสพลันเริ่มวางม่านพลังซับซ้อนที่ยากจะทำลายได้ไว้ที่บริเวณด้านหน้าของทางเข้าถ้ำ พร้อมกับฝังศิลาวิญญาณระดับสูงทีละชิ้นๆ ลงไปในนั้น
การได้เห็นศิลาวิญญาณระดับสูงพวกนี้ ทำให้แววตาของลูกศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานต่างลุกวาวเป็นประกาย
พวกมันคือศิลาวิญญาณระดับสูง! สำหรับลูกศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานอย่างพวกเขาแล้ว ศิลาวิญญาณระดับกลางก็ถือว่าหายากยิ่งนัก ทว่าผู้อาวุโสเหล่านี้กลับนำศิลาวิญญาณระดับสูงพวกนี้ออกมาถึงหลายร้อยชิ้นเป็นอย่างน้อย!
เมื่อศิลาวิญญาณถูกฝังไว้อย่างเหมาะสมทั้งหมดแล้ว เหล่าผู้อาวุโสจึงร่วมมือกันและกระแทกม่านพลังเวทนั้นด้วยฝ่ามือของพวกเขา ม่านพลังเวทเปล่งแสงแห่งจิตวิญญาณออกมา และทันทีหลังจากนั้น ศิลาวิญญาณจำนวนหลายร้อยก้อนแวววาวระยิบระยับ จากนั้นจึงเริ่มถ่ายโอนพลังทางจิตวิญญาณออกไปในกระแสธารอันไม่มีที่สิ้นสุด
เจ้าสำนักเสิ่นหันกลับมา และกล่าวเสียงดังว่า “ลูกศิษย์ทั้งหลาย อย่างที่พวกเจ้าทุกคนได้เห็น เราจำต้องใช้ศิลาวิญญาณจำนวนมากเหลือเกินในการเปิดใช้งานม่านพลังเวทชิ้นนี้ หลังจากเราได้เริ่มเปิดใช้งานมันในครานี้แล้ว เราจำต้องรอไปอีกอย่างน้อยสามสิบถึงห้าสิบปี ก่อนที่เราจะสามารถเปิดใช้งานมันได้อีกครา ฉะนั้น ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะใช้โอกาสในครั้งนี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด!”
เจ้าสำนักเสิ่นกล่าวเป็นนัยไว้ จากนั้นจึงถอยหลังไปยืนอยู่ข้างๆ เหล่าผู้อาวุโสท่านอื่น “เอาละ พวกเจ้าเริ่มต้นได้แล้ว พวกเจ้าสามารถเข้าไปยังด้านในทีละคน โดยเริ่มจากซ้ายไปขวาเดี๋ยวนี้”
แถวแรกของขบวนคือบรรดาลูกศิษย์ของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อย่างพวกเขา พวกเขามีอยู่จำนวนไม่มากนัก ปัจจุบัน สำนักเสวียนชิงมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งสิ้นหกราย ในบรรดาพวกเขาทั้งหมด ห้ารายสามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ได้เป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว ฉะนั้น พวกเขาจึงมีผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานจำนวนไม่มากท่ามกลางบรรดาลูกศิษย์ทั้งหมด มีเพียงแต่ประมุขเต๋าซวนหยิน ซึ่งเพิ่งก้าวเข้าสู่ดินแดนใหม่ได้ไม่นานเท่านั้น ที่ลูกศิษย์ล้วนแต่อยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งหมด เมื่อพวกเขาทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว มีทั้งสิ้นเกือบยี่สิบรายเท่านั้น
หลังจากหลัวเฟิงเสวี่ยซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้านางได้เข้าไปแล้ว โม่เทียนเกอจึงพลันก้าวขึ้นไปข้างหน้า และเดินตรงมุ่งหน้าเข้าสู่หมื่นปรัชญาแห่งม่านพลังธรรมชาติ
ขณะที่นางกำลังเดินผ่านม่านพลังสนับสนุนที่ด้านนอก และเข้าไปยังทางเข้าถ้ำบนกำแพงหิน โม่เทียนเกอเพียงแต่รู้สึกราวกับว่ามีแสงวาบแห่งความมืดมิด ตามมาด้วยแสงวาบแห่งความสว่างไสวปรากฏอยู่ตรงหน้านาง เมื่อนางกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง และพลันมองไปรอบๆ นางค้นพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่เหนือพื้นผิวน้ำที่ช่างกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา