ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 237 ม่านพลังกลายพันธุ์
พื้นผิวน้ำช่างสงบนิ่งเป็นที่สุด มันเปล่งประกายระยิบระยับภายใต้แสงตะวัน พร้อมด้วยสายลมพัดเอื่อยแผ่วเบาลอยเหนืออยู่ด้านบน ภาพฉากนี้ทำให้โม่เทียนเกอพลันนึกถึงท้องทะเลที่นางเห็นยามไปถึงหลินไห่เป็นครั้งแรก
ถึงกระนั้น นางรู้ดีว่านี่เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น ยามใดที่พวกเขาขุ่นเคือง ยามนั้นคลื่นน้ำจะโหมซัดเป็นระลอก พลันกลืนกินผู้คนที่อยู่รอบตัวไปในชั่วพริบตา
ก่อนหน้านี้ หลัวเฟิงเสวี่ยได้อธิบายถึงด่านห้าวิญญาณปลิดชีพนี้ให้กับนางแล้ว มันมีพลังทางจิตวิญญาณทั้งหมดรวมห้าธาตุ ซึ่งแต่ละธาตุจะประกอบรวมและปรากฏเป็นม่านพลังอันหนึ่งขึ้นมา เหล็ก ไม้ น้ำ ไฟ และดิน ทันทีที่คนผู้หนึ่งสามารถผ่านม่านพลังทั้งห้าไปได้ พวกเขาถึงจะได้รับการพิจารณาให้ผ่านบททดสอบด่านแรก มีโอกาสอันน้อยนิดที่ม่านพลังห้าวิญญาณนี้จะกลายพันธุ์ โดยที่พลังทางจิตวิญญาณจำนวนสองถึงห้าธาตุ จะปรากฏขึ้นและหลอมสร้างกลายเป็นม่านพลังอันใหม่
โม่เทียนเกอโชคดีเป็นอย่างมาก ไม่มีการกลายพันธุ์ของม่านพลังต่อหน้านาง มันเป็นเพียงม่านพลังธาตุน้ำธรรมดาทั่วไปเท่านั้น
ทว่า… นางจะทลายม่านพลังนี้ได้อย่างไร
เหล็กส่งเสริมน้ำ น้ำส่งเสริมไม้ ดินพิฆาตน้ำ น้ำพิฆาตไฟ จากหลักการเหล่านี้ นางจะต้องไม่ใช้สิ่งอันใดซึ่งเกี่ยวข้องกับธาตุเหล็กและธาตุไฟทั้งสิ้น นางควรจะต้องใช้คาถาหรือศาตราวุธเวทที่เป็นธาตุไม้หรือธาตุดิน
โม่เทียนเกอชั่งน้ำหนักความคิดของนางครู่หนึ่ง ในบรรดาศาตราวุธเวทที่นางมีนั้น ไม่มีชิ้นใดที่มีคุณสมบัติของธาตุอย่างชัดเจน ฉะนั้น นางอาจจะต้องใช้เครื่องรางโดยตรงแทนเสีย
หลังจากตัดสินใจวิธีลงมือขั้นต่อไปของนางได้แล้ว นางพลันนำเครื่องรางธาตุดินออกมา จากนั้นบินขึ้นไปกลางท้องนภาโดยทันที
ขณะที่นางมองไปยังเบื้องล่างจากด้านบน นางค้นพบว่าผืนน้ำนี้ไร้ซึ่งที่สิ้นสุด ทว่ามันกลับไม่มีคลื่นหรือสิ่งใดบนพื้นผิวของมัน มันช่างไร้ซึ่งภยันตรายใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ถึงกระนั้น ยิ่งมันดูนิ่งสงบมากเท่าไร มันยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้นเท่านั้น ม่านพลังที่ใช้เพื่อทดสอบทักษะความสามารถในการต่อสู้ด้านพลังเวทของผู้คน จะนิ่งสงบเช่นนี้ได้อย่างไร
โม่เทียนเกอร่ายคาถา สร้างเครื่องรางหลายชิ้นเพื่อบดขยี้ผืนน้ำนั้น ยามที่พวกมันสัมผัสกับพื้นผิวของผืนน้ำ พวกมันพลันส่งเสียงดังกึกก้องแสบแก้วหูในพริบตา
ผืนน้ำเริ่มมีระลอกคลื่นในที่สุด คลื่นสูงเสียดฟ้าปรากฏขึ้นบนผืนน้ำ ซึ่งเคยสงบนิ่งยิ่งนักเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ คลื่นเกือบจะกวาดนางเข้าไปอยู่ด้านใน พลังทางจิตวิญญาณรุนแรงทำให้นางรู้สึกราวกับว่า มันกำลังพยายามจะทำลายนางให้แตกเป็นเสี่ยงๆ …
โม่เทียนเกอหยุดอยู่กลางอากาศ ป้องกันและทำให้จิตใจมั่นคง ม่านพลังนี้เป็นด่านทดสอบแรก หลังจากที่นางได้เข้ามายังม่านพลังหมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาติ ฉะนั้น มันไม่ยากเท่าไรนักที่จะรับมือ ภายใต้การโจมตีอย่างต่อเนื่องของเครื่องรางและคาถาธาตุดินของนาง คลื่นซัดโหมกระหน่ำพลันสูญสิ้นพลัง และค่อยๆ สงบนิ่งลงอย่างรวดเร็ว
ผืนน้ำเบื้องล่างเริ่มขุ่นมั่วไม่ชัดเจน ทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโม่เทียนเกอ นางมีความเชื่อมั่นในตนเองเล็กน้อย เมื่อเป็นเรื่องปรัชญาแห่งม่านพลัง ม่านพลังหมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาตินี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก ฉะนั้น นางยังไม่อาจเข้าใจมันได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ม่านพลังห้าวิญญาณอันเล็กน้อยนี้… มีสิ่งใดให้ต้องหวาดกลัวนักกันเล่า
ยามที่ความคิดนั้นแล่นวาบผ่านเข้ามาภายในจิต ม่านพลังอันใหม่ก็ถูกสร้างขึ้นเสียแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของนางพลันแข็งทื่อโดยทันที
ครู่ต่อมา นางยิ้มอย่างขมขื่นพลางถอนหายใจ แน่นอนว่าคนเราต้องไม่พูดจาอย่างสบายใจเกินไปนัก ที่เบื้องหน้าของนาง พายุกำลังโหมกระหน่ำสร้างหายนะ สายฟ้าฟาดลั่นไปทั่วท้องนภา ผืนดินกำลังคลาเคลื่อน และเปลวไฟลุกโชนกำลังถาโถมไปทั่วทุกหนแห่ง… เห็นได้ชัดว่านางพบกับความอับโชคครั้งใหญ่เข้าเสียแล้ว เหล็ก ไม้ ไฟ และดิน… มันคือม่านพลังกลายพันธุ์แห่งธาตุทั้งสี่!
ครานี้ นางไม่มีโอกาสได้ใคร่ครวญถึงวิธีทลายม่านพลังอันนี้ พายุอันโหมกระหน่ำ สายฟ้าฟาด และแสงวิญญาณ ที่ถูกสร้างขึ้นจากพลังทางจิตวิญญาณแห่งธาตุทั้งสี่ ล้วนแต่กำลังมุ่งหน้าพุ่งตรงมาหานางทั้งสิ้น
ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวถูกใช้งาน ทว่าแทนที่มันจะกลายเป็นกำแพงอิฐ มันค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น และห่อหุ้มโม่เทียนเกอเอาไว้ภายใน ราวกับว่ามันเป็นผ้าฝ้ายขนาดยักษ์ สิ่งนี้คือวิธีการใช้งานผ้าเช็ดหน้าไหมขาวที่โม่เทียนเกอใช้เวลาถึงสิบปีในการคิดค้น ขณะที่นางอยู่ภายในเจดีย์บรรลุเต๋า แม้ว่าวิธีการนี้จะไม่ได้ทรงพลังไปมากกว่าวิธีการดั้งเดิม ในการที่มันกลายเป็นกำแพงอิฐ ทว่าวิธีการนี้กลับยืดหยุ่นได้มากกว่ายิ่งนัก
ทันทีหลังจากนั้น นางพลันงุ่นง่านอยู่กับการควานหาสิ่งของภายในกระเป๋าเอกภพของนาง ซึ่งนางได้เขวี้ยงของสองสิ่งออกไป พวกมันคือตุ๊กตาแกะสลักหินสองตัว!
เมื่อได้เข้ามาอยู่ในครอบครองของนาง ตุ๊กตาทั้งสองตัวผ่านการชำระล้างและทำให้บริสุทธิ์อีกครั้ง นางจึงสามารถใช้พวกมันได้ตามปรารถนา ยามนี้ พวกมันเหมาะสำหรับการทลายม่านพลังหมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาตินี้ยิ่งนัก
เมื่อตุ๊กตาทั้งสองตัวร่อนลงกับพื้น พวกมันกวัดแกว่งดาบขนาดยักษ์ไปยังผืนดินที่กำลังปะทุอย่างรุนแรง กำลังของพวกมันช่างแปลกประหลาดเกินผู้ใดยิ่งนัก ภายในช่วงเวลาอันสั้น พลังวิญญาณดาบที่พวกมันกวัดแกว่งนั้น ผ่าแยกผืนทรายและศิลาที่กำลังลุกฮือโหมกระหน่ำจนขาดเป็นสองท่อน แม้แต่ไฟโลกันตร์ยังต้องสยบราบคาบต่อพวกมัน
ทว่าเท่านี้กลับไม่เพียงพอ สายฟ้าสร้างขึ้นมาจากเหล็ก สายลมสร้างขึ้นมาจากไม้ ดินส่งเสริมเหล็ก ไม้พิฆาตดิน ตุ๊กตาทั้งสองตัวนั้นเป็นธาตุไม้ ฉะนั้น พวกมันจึงไม่มีประสิทธิภาพมากพอในการต่อสู้กับอสุนีบาตและวาตภัย
โม่เทียนเกอใคร่ครวญเรื่องนี้ จากนั้นจึงเปิดกระเป๋าสัตว์วิญญาณของนาง เพื่อปลดปล่อยเสี่ยวหั่ว
เสี่ยวหั่วเป็นสัตว์วิญญาณระดับสามซึ่งอยู่ในขั้นสูงสุดแล้ว มันไม่ใช่สัตว์ระดับหนึ่ง ที่ได้แต่พ่นลูกไฟเหมือนครั้นที่นางจับมันได้ในคราแรกอีกแล้ว ด้วยพลังไฟสุริยัน มันได้สั่งสมทักษะจนกลายเป็นสัตว์วิญญาณพร้อมต่อสู้มาเนิ่นนานแล้ว
ด้วยเหตุผลเช่นนี้เอง โม่เทียนเกอถึงตั้งใจนำเสี่ยวหั่วใส่ลงไปในกระเป๋าสัตว์วิญญาณ และพามันมาด้วยกับนาง แทนที่จะปล่อยให้มันเติบโตในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนอย่างที่เคยเป็น ยามนี้มันพร้อมต่อสู้แล้วในที่สุด
นางและเสี่ยวหั่วได้สร้างพันธะสัญญาเจ้านายบริวารไว้เรียบร้อย ความคิดของพวกเขาจึงเชื่อมโยงถึงกัน เสี่ยวหั่วกระโจนออกไป โดยไม่ต้องรอให้โม่เทียนเกอทันได้สั่งการสิ่งใด มันอ้าปาก และพ่นไฟสุริยันเพื่อต่อสู้กับลมพายุและสายฟ้าฟาด
โม่เทียนเกอบินร่อนอยู่กลางอากาศ สั่งการตุ๊กตาแกะสลักหินและเสี่ยวหัวผ่านจิตหยั่งรู้ของนาง
หลังจากเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน สมบัติมหาศาลที่นางมี และความแข็งแกร่งของนางทำให้นางไม่เกรงกลัวผู้ใดที่อยู่ระดับต่ำกว่าดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง เมื่อพิจารณาถึงความเจนจัดในม่านพลังชนิดต่างๆ ของนางแล้ว แม้แต่ม่านพลังที่ถูกทิ้งไว้จากยุคกลาง ก็ไม่อาจเขย่าขวัญนางได้
ไม่นานนัก เมื่อถูกโจมตีจากตุ๊กตาแกะสลักหินและเสี่ยวหั่ว สายฟ้าฟาดพลันอ่อนแรงลงเรื่อยๆ เปลวไฟค่อยๆ มอดดับหายไป ลมพายุเริ่มสงบลง และผืนดินปะทุเดือดพลันสงบนิ่งเช่นกัน
ขณะที่โม่เทียนเกอกำลังจะถอนหายใจด้วยความโล่งใจ นางพลันเห็นพลังทางจิตวิญญาณแห่งธาตุทั้งสี่บนพื้นดิน ค่อยๆ รวมร่างกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียว ทันทีหลังจากนั้น พื้นดินลอยขึ้นคล้ายฟองอากาศอย่างเชื่องช้า ราวกับว่ามันมีชีวิต และพลันค่อยๆ ประกอบเข้าด้วยกันจนกลายเป็นร่างของศิลามนุษย์
ท่าทีของโม่เทียนเกอเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ศิลามนุษย์ตนนี้ มีลำตัวเป็นทรายและหิน มีดวงตาเป็นเปลวไฟ และมันยังมีแขนที่สร้างจากสายลมและสายฟ้า เห็นได้ชัดว่ามันถูกสร้างขึ้นมาจากการผสมผสานกันของธาตุทั้งสี่
แน่นอนว่าม่านพลังจากยุคกลางไม่ง่ายดายแม้แต่น้อย!
นางเคลื่อนไหวเป็นสัญญาณ ทำให้เสี่ยวหั่วที่กำลังจ้องเขม็งศิลามนุษย์ตนนั้น รีบวิ่งกลับเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของนางโดยทันที โม่เทียนเกอตบศีรษะของมันเบาๆ และกล่าวว่า “อย่าลงมือบุ่มบ่ามไป ค่อยโจมตีเมื่อข้าบอกเจ้า”
เสี่ยวหั่วร้อง “โฮ่งๆ” ออกมาหลายครั้ง และลงไปขดตัวอยู่ข้างเท้าของนางอย่างเชื่อฟัง
โม่เทียนเกอส่งจิตหยั่งรู้ของนางออกไป ตุ๊กตาแกะสลักหินทั้งสองตัวพุ่งโจมตีศิลามนุษย์ตนนั้นด้วยดาบศิลาของพวกมัน
เปลวไฟภายในดวงตาของศิลามนุษย์ลุกโชนขึ้นชั่วพริบตาหนึ่ง ทันทีหลังจากนั้น ศีรษะของมันหันไปประจันหน้ากับตุ๊กตาทั้งสองตัว
โม่เทียนเกอเคยเห็นความแข็งแกร่งของตุ๊กตาแกะสลักหินทั้งสองตัวด้วยตนเอง มันไม่เกินจริงไปนักที่จะกล่าวว่าพลังของพวกมันยอดเยี่ยมไม่เหมือนใคร ในยามนี้ ดาบศิลากวัดแกว่งอย่างไร้ปรานีโจมตีศิลามนุษย์ตนนั้น ทว่าแทนที่จะหลบหลีกพวกมัน ศิลามนุษย์กลับพุ่งตรงดิ่งเข้าไปปะทะ
“ปั่ก!” เสียงกระแทกกันอย่างหนักหน่วงดังขึ้น ตุ๊กตาแกะสลักหินถอยร่นไปหลายก้าว พวกมันถูกศิลามนุษย์กระหน่ำเข้าให้อย่างจัง!
สีหน้าของโม่เทียนเกอเริ่มเคร่งเครียดยิ่งขึ้น โชคดีที่ตุ๊กตาแกะสลักหินพวกนี้ทำมาจากวัตถุดิบพิเศษ ฉะนั้น แม้พลังของพวกมันจะเทียบไม่ได้กับศิลามนุษย์ ทว่าพวกมันกลับไม่เสียหาย
นางใช้เวลาครู่หนึ่งในการไตร่ตรอง จากนั้นจึงตบศีรษะของเสี่ยวหัวเบาๆ “เสี่ยวหั่ว จัดการมัน แต่รักษาระยะห่างไว้ อย่าให้มันพุ่งหาเจ้าได้”
เสี่ยวหั่วร้อง “โฮ่งๆ” ออกมาอีกครั้งเพื่อการขานตอบ จากนั้นกระโจนออกไปจากข้างเท้าของนาง พลังเวทธาตุไฟถูกปลดปล่อยพุ่งตรงไปยังลำตัวของศิลามนุษย์
การเคลื่อนไหวของศิลามนุษย์เชื่องช้า เมื่อมันเห็นพลังเวทที่กำลังพุ่งเข้ามาของเสี่ยวหั่ว มันไม่พยายามหลบหลีกแต่อย่างใด มันเพียงแต่หันหลัง พึงใช้ก้อนหินและทรายบริเวณลำตัว เพื่อเผชิญหน้ากับไฟสุริยันของเสี่ยวหั่ว อย่างไรก็ตาม มันกลับปัดป้องไฟสุริยันของเสี่ยวหั่วเอาไว้ได้!
ก้อนหินมาจากดิน ไฟส่งเสริมดิน ศิลามนุษย์คือร่างประกอบของธาตุทั้งสี่ น่าประหลาดใจนักที่มันมีความรู้พื้นฐานเช่นนี้ด้วย!
โม่เทียนเกอได้แต่เลิกคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ นี่เป็นคราแรกที่นางได้พบเห็นม่านพลังเช่นนี้
ศิลามนุษย์นี้คือการผสมผสานระหว่างธาตุทั้งสี่ ฉะนั้น หลักการแห่งการส่งเสริมและพิฆาตระหว่างธาตุทั้งห้า จึงเปล่าประโยชน์ในการทลายมันให้ราบคาบ มันยังทั้งไร้เทียมทานและแข็งแกร่งเป็นที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่มีจิตสัมผัสเลยแม้แต่น้อย… วิธีโจมตีของนางทั้งหมดล้วนแต่ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง!
เนื่องจากนางลอยล่องอยู่บนกลางอากาศ และศิลามนุษย์มิอาจโบยบินได้ มันทำได้แต่เพียงขว้างปาพลังลมและพลังสายฟ้าอันแล้วอันเล่าเพื่อโจมตีนางเท่านั้น แม้จะถูกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวคุ้มกันอยู่ ทว่าโม่เทียนเกอยังคงต้องเคลื่อนหลบหนีไปทั่ว ขณะที่กำลังใช้สมองของนางในการไตร่ตรอง
พลังเวทมิอาจได้ผล ศาตราวุธมิอาจได้ผล แม้แต่ศาสตร์สกัดวิญญาณก็มิอาจได้ผล… นางยังมีวิธีอื่นใดอีกกัน อ้อ ใช่แล้ว! กับดักไงล่ะ! นางสามารถใช้ม่านพลังชนิดต่างๆ เพื่อทลายม่านพลังนี้!
เมื่อนางตัดสินใจได้แล้ว โม่เทียนเกอจึงควานหาสิ่งของอย่างงุ่นง่านภายในกระเป๋าเอกภพของนาง ไม่กี่นาทีต่อมา นางเงื้อมือขึ้น และขว้างธงม่านพลังหลายคันลงไปยังเบื้องล่าง ธงม่านพลังเหล่านี้เต็มไปด้วยม่านพลังที่มีลวดลายคล้ายเส้นใบไม้ ซึ่งใช้เลือดสัตว์วิเศษในการวาดขึ้นมา หลังจากธงม่านพลังปักลงที่พื้นล้อมรอบตัวศิลามนุษย์แล้ว โม่เทียนเกอจึงนำธงม่านพลังคันใหญ่ที่สุดออกมา และรวบรวมพลังทางจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งไว้ที่ปลายนิ้วของนาง จากนั้นในชั่วเพียงสายฟ้าฟาด นางชี้นิ้วของนางไปยังธงม่านพลังขนาดใหญ่นั่น ทันใดนั้น ธงม่านพลังเหล่านั้นที่อยู่ล้อมรอบศิลามนุษย์ ได้ตั้งตระหง่านขึ้นมาในชั่วพริบตา
โม่เทียนเกอโบกสะบัดธงม่านพลังที่อยู่ในมือนาง ทันใดนั้น ธงม่านพลังทั้งหมดที่อยู่ล้อมรอบศิลามนุษย์ พลันปล่อยลำแสงประสานถักทอเข้าหากันอย่างไม่คาดคิด และสร้างแหที่จะใช้ดักจับศิลามนุษย์ให้ตกลงสู่กับดักนี้
เปลวไฟภายในดวงตาของศิลามนุษย์ลุกโชนขึ้นอีกครา แขนที่สร้างจากสายลมและสายฟ้าเคลื่อนไหวอย่างรอบคอบ ปลดปล่อยพลังเวทธาตุลมและสายฟ้าออกมาอย่างไม่ขาดสาย ถึงกระนั้นก็ตาม มันกลับล้มเหลวในการสัมผัสการมีอยู่ของโม่เทียนเกอ
ศิลามนุษย์ไร้ซึ่งจิตสำนึกและความรู้สึก มันเพียงแต่มีความรู้พื้นฐานเท่านั้น เมื่อธงม่านพลังทั้งหมดร่วงหล่นลงมาล้อมรอบมันเข้า มันเพียงแต่ยืนนิ่งอย่างโง่เขลา แทนที่จะถอยร่นออกไปจากขอบเขตของม่านพลัง บัดนี้ ม่านพลังของโม่เทียนเกอได้จัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว มันจึงไม่อาจสัมผัสถึงตำแหน่งของนางได้อีกต่อไป มันทำได้แต่เพียงอาศัยความรู้พื้นฐานที่ผู้สร้างม่านพลังแห่งนี้ได้มอบให้แก่มัน โจมตีด้วยสายลมและสายฟ้าเพื่อทลายเครื่องพันธนาการที่กักขังมันอยู่เอาไว้เท่านั้น
หากม่านพลังของนางเป็นเพียงม่านพลังธรรมดาทั่วไป มันคงจะถูกทลายด้วยการโจมตีของสายลมและสายฟ้าเสียแล้ว ทว่าขณะที่การต่อสู้เกิดขึ้นนั้น ม่านพลังนี้เป็นม่านพลังปรับแต่งที่นางคิดค้นขึ้นมา หลังจากได้ศึกษาคัมภีร์ม่านพลังเสวียนจี และคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ขณะที่การโจมตีด้วยสายลมและสายฟ้าของศิลามนุษย์กระแทกอย่างรุนแรงภายในม่านพลัง ธงม่านพลังพลันแกว่งไกว ทว่ามันหาได้พังทลายลงไม่
โม่เทียนเกอเติมพลังทางจิตวิญญาณเข้าไปในธงม่านพลังทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง และกักขังศิลามนุษย์ภายในม่านพลังของนางได้อย่างแน่นหนา
นี่เป็นวิธีการที่ดูโง่เขลาเบาปัญญา เมื่อใคร่ครวญถึงการอาศัยศิลาวิญญาณระดับสูงจำนวนหลายร้อยถึงหลายพันชิ้น ในการเปิดใช้งานม่านพลังขนาดมโหฬารเช่นนี้ มันแสดงให้เห็นได้ชัดว่าม่านพลังนี้จำต้องใช้พลังทางจิตวิญญาณมากน้อยเพียงใด มีพวกเขาเกือบสามร้อยชีวิตเข้ามาในม่านพลังนี้ และพวกเขาแต่ละคนต้องเผชิญหน้ากับบททดสอบตามลำพัง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว บททดสอบแต่ละครั้งที่พวกเขาต้องเผชิญ จำต้องมีข้อจำกัดในพลังทางจิตวิญญาณอย่างแน่นอน มิฉะนั้น บททดสอบของผู้อื่นพลันได้รับผลกระทบไปด้วย ตราบใดที่นางสามารถยื้อยุดเอาไว้ได้สักระยะ และกลืนกินพลังทางจิตวิญญาณจนกระทั่งถึงขีดจำกัด บททดสอบของนางย่อมต้องจบสิ้นในท้ายที่สุด
โม่เทียนเกอไร้ที่พึ่ง แม้ว่านางจะอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน และไม่ได้หวาดกลัวต่อผู้ฝึกตนที่อยู่ระดับต่ำกว่าดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังใดๆ อย่างไรเสีย นี่คือม่านพลังที่สร้างขึ้นมาจากยุคกลาง และนางช่างอับโชคที่ต้องบังเอิญมาพบกับม่านพลังสี่ธาตุด้วย วิธีการอันโง่เขลาเพื่อทลายม่านพลังนี้ เป็นเพียงหนทางเดียวที่นางสามารถคิดขึ้นมาได้ และนางคิดขึ้นมาได้ เพียงเพราะนางช่ำชองในการใช้ม่านพลังเท่านั้น
เวลาค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไป เสียงของสายลมและสายฟ้าจากลำตัวของศิลามนุษย์พลันเลือนหายไปอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งศิลามนุษย์พังทลายพร้อมกับส่งเสียงอันดังกึกก้องออกมาในท้ายที่สุด ธงม่านพลังที่อยู่บนพื้นดิน ซึ่งต้องทนรับการโจมตีอันรุนแรงของศิลามนุษย์ ล้วนแต่ล้มลง ราวกับว่าพวกมันสูญสิ้นพลังไปเช่นกัน
โม่เทียนเกอถอนหายใจ โชคดีที่นางตัดสินใจได้ถูกต้อง
โชคร้ายที่ศิลามนุษย์ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก อาจกล่าวได้ว่าม่านพลังหลงทิศเสวียนจีของนางถูกทำลายลงเสียแล้ว
ขณะที่นางกำลังเก็บธงม่านพลังแห่งม่านพลังหลงทิศที่แตกหักขึ้นมาจากพื้นดิน และใส่เข้าไปในกระเป๋าเอกภพของนางนั้น นางพลันเห็นว่าภาพฉากรอบตัวนางค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป ภาพทิวทัศน์ป่าเขาเมื่อครู่นี้ค่อยๆ เลือนหายไป และเริ่มเผยให้เห็นรูปร่างดั้งเดิมของมัน มันเป็นเพียงถ้ำทั่วไปเท่านั้น! ถึงกระนั้น สิ่งที่น่าหวาดหวั่นคือหลังจากผ่านการต่อสู้เช่นนั้นมาแล้ว มันกลับไม่เหลือร่องรอยการต่อสู้บนกำแพงหินที่ล้อมรอบอยู่แม้แต่น้อย
นางใคร่ครวญเรื่องนี้ ม่านพลังนี้ช่างทรงพลังเกินกว่าการคาดการณ์ของนางอย่างแท้จริง เครื่องรางหลากชนิดที่นางใช้ภายในม่านพลัง พลังมหาศาลของตุ๊กตาแกะสลักหินทั้งสองตัว และไฟสุริยันของเสี่ยวหั่ว… ไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดนี้ไม่ได้ทิ้งร่องรอยแต่อย่างใดไว้บนกำแพงหินแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าม่านพลังนี้สามารถขจัดพลังทุกชนิดที่อยู่ภายในตัวของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เสียงร้อง “โฮ่งๆ” ของเสี่ยวหั่วดังเข้ามาในหูของนาง โม่เทียนเกอหันไปยังทิศทางของเสียงร้องนั่น เพื่อที่จะได้พบว่ามันกำลังน้ำลายไหลให้กับสมุนไพรวิญญาณ ซึ่งเติบโตอยู่ที่บริเวณมุมถ้ำ
นางอุ้มเสี่ยวหั่วขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องไปมองแล้ว มันไม่ใช่ของเจ้าถึงเจ้าจะมองต่อไปก็ตาม หากเจ้าต้องการสมุนไพรวิญญาณ เจ้าเข้าไปยังโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน หลังจากที่เราเสร็จสิ้นภารกิจได้ เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าจะกินให้พุงกางก็ย่อมได้ ทว่าต้นนี้ไม่ใช่ของของเจ้า”
เสี่ยวหั่วร้องตอบด้วยเสียง “โฮ่ง” อย่างผิดหวัง ทว่ามันพลันเลิกขัดขืน
หลังจากวางเสี่ยวหั่วลงที่ข้างลำตัวแล้ว โม่เทียนเกอนำกระเป๋ายาออกมา ซึ่งมีไว้เพื่อเก็บยาครอบวิญญาณทั้งหลาย จากนั้นนางเริ่มเลือกและเก็บเกี่ยวต้นที่โตเต็มวัย จากบรรดาสมุนไพรวิญญาณทั้งหมดที่ขึ้นละลานตาอยู่บนกำแพงหินและบริเวณมุมถ้ำ พลางใส่พวกมันลงไปในกระเป๋ายา สำหรับต้นที่ยังเป็นหน่ออ่อนหรือยังไม่โตเต็มที่ นางปล่อยมันไว้เช่นนั้น เพื่อที่มันจะสามารถเติบโตต่อไปได้
เมื่อนางจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว นางพลันใส่กระเป๋ายาลงไปในกระเป๋าเอกภพของนาง และพาเสี่ยวหั่วมุ่งหน้าตรงเข้าไปยังด้านในของถ้ำต่อไป