ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 239 ศิษย์น้องเจียง
หลัวเฟิงเสวี่ยสามารถทลายม่านพลังได้ โดยอาศัยโชคเพียงเล็กน้อย
แม้ว่านางจะห่างไกลจากขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเพียงแค่ก้าวเดียว ทว่าท้ายที่สุดแล้ว นางยังคงอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเท่านั้น และความร้ายกาจของม่านพลังห้าวิญญาณก็เกินกว่าจินตนาการของนางมาก นางเพียงแต่เคลื่อนที่ไปรอบๆ อย่างวุ่นวาย เดิมทีนางคิดว่านางจะถูกเคลื่อนย้ายออกไปในบททดสอบแรก ทว่านางพบว่าโชคของนางยังค่อนข้างดีทีเดียว นางบังเอิญพกเครื่องรางที่ใช้กักขังได้มาด้วย ฉะนั้น นางจึงผ่านบททดสอบ และทลายม่านพลังออกมาได้อย่างราบรื่น
ถึงกระนั้น ภาพฉากเบื้องหน้าทำให้นางงงงวย เหตุใดจึงเกิดความบาดหมางขึ้นระหว่างศิษย์พี่เยี่ยและไป๋เยี่ยนเฟยได้
นางเรียกเยี่ยจิ่งเหวิน “ศิษย์พี่” เพราะพวกเขาทั้งสองล้วนแต่เป็นหลานศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหอมาก่อน และพวกเขาต่างค่อนข้างสนิทชิดเชื้อกับโม่เทียนเกอ พวกเขาคุ้นหน้าค่าตาของกันและกัน นางจึงยังไม่ได้เปลี่ยนวิธีที่นางเรียกชื่อเขา
นางมองไปยังคนทั้งสอง ซึ่งกำลังยืนอยู่ตรงข้ามเยี่ยจิ่งเหวิน จากนั้นจึงกล่าวอย่างสุภาพ “ศิษย์น้องไป๋” สำหรับอีกผู้หนึ่ง นางรู้จักเขาจริง เขาคือหนึ่งในบรรดากลุ่มคนที่นางบอกให้โม่เทียนเกอระวังตนเอาไว้ ถึงกระนั้น บัดนี้นางคือลูกศิษย์ของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ฉะนั้น นางจึงไม่จำเป็นต้องทักทายเขาแม้แต่น้อย
เมื่อไป๋เยี่ยนเฟยเห็นหลัวเฟิงเสวี่ย เขากลับจำนางไม่ได้ เขาจึงเพียงแต่ขานกลับพอเป็นมารยาท “ศิษย์พี่” ในทางกลับกัน ต่งซือหยางจำนางได้ เขาทักทายอย่างช่วยไม่ได้ “อาจารย์ลุงหลัว”
ขณะที่นางกำลังประเมินสถานการณ์ตรงหน้า หลัวเฟิงเสวี่ยกระซิบถามเยี่ยจิ่งเหวิน “ศิษย์พี่เยี่ย เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
เยี่ยจิ่งเหวินกล่าวอย่างแค้นเคือง “เห็นชัดว่าพวกเขามาจากพื้นที่อื่น ทว่ากับต้องการเก็บสมุนไพรวิญญาณในพื้นที่ของข้า”
“โอ้…” สายตาของหลัวเฟิงเสวี่ยเบนไป ยามที่นางเห็นพื้นที่ไร้ซึ่งพืชสมุนไพรในละแวกใกล้เคียง นางพลันเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยคร่าวแล้ว อย่างไรก็ตาม นางหาได้หุนหันพลันแล่นดั่งเยี่ยจิ่งเหวินไม่ นางยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มันเป็นเรื่องเล็กน้อย เราสามารถพูดคุยกันดีๆ ได้”
เหตุการณ์นี้ก็เป็นผลลัพธ์จากการกระทำหุนหันพลันแล่นชั่วครู่ของไป๋เยี่ยนเฟยเช่นกัน บัดนี้หลัวเฟิงเสวี่ยให้ทางออกแก่เขา เขาพลันตกลงในทันที “โอ้… ในเมื่อศิษย์พี่กล่าวเช่นนั้น…”
ในทางตรงกันข้าม ดูเหมือนต่งซือหยางจะกังวลเล็กน้อย เขาดึงไป๋เยี่ยนเฟยเข้ามา เพราะเขาต้องการเก็บสมุนไพรวิญญาณให้มากขึ้น หากไป๋เยี่ยนเฟยตกลงที่จะประนีประนอม นั่นแปลว่าเขาไม่อาจฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้ได้ไม่ใช่หรือ เช่นนั้นแล้ว เขาจึงกล่าว “หากเป็นเช่นนั้น ศิษย์น้องเยี่ยควรจะกล่าวขอดทษอาจารย์ลุงไป๋ของเรา จากนั้นเราจะถือว่าเรื่องนี้เป็นอันจบสิ้น”
เมื่อคำพูดประโยคนี้ถูกกล่าวออกไป ความขุ่นเคืองปรากฏบนใบหน้าของเยี่ยจิ่งเหวินอีกครา “ท่านว่าอย่างไรนะ!”
ต่งซือหยางเห็นว่าแม้หลัวเฟิงเสวี่ยจะเป็นศิษย์พี่ ทว่าระดับการฝึกตนของนางนั้นต่ำ เขาจึงคิดแผนการเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาเมินเฉยต่อท่าทางโกรธเคืองของเยี่ยจิ่งหวิน และกล่าวต่อไป “เจ้าเสียมารยาทต่ออาจารย์ลุงไป๋ เจ้าควรต้องขอโทษ”
เยี่ยจิ่งเหวินตกลงสู่กับดักของเขา เขาเย้ยหยัน “อาจารย์ลุงไป๋ต่างหากที่ควรต้องขอโทษ แม้เห็นด้วยตาตนเองว่าศิษย์น้องแห่งยอดเขาอาทิตย์รุ่งอรุณของเขาหาได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ไม่ ทว่าเขายังเป็นผู้นำในการสร้างปัญหาด้วย! ข้าไม่ได้ขอให้อาจารย์ลุงไป๋ขอโทษแม้แต่น้อย ทว่าเจ้ากลับต้องการให้ข้าขอโทษงั้นหรือ เจ้ากำลังจะบอกว่าสำนักเสวียนชิงไม่มีที่สำหรับเหตุผล และทุกอย่างขึ้นอยู่กับความอาวุโสงั้นหรือ”
เดิมทีไป๋เยี่ยนเฟยยังมีความรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย ทว่าเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เยี่ยจิ่งเหวินกล่าว ความโกรธแค้นพลันพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครา “ศิษย์น้อง เจ้ามันไร้เหตุผล! ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับข้า ระดับอาวุโสไม่มีความสำคัญในสำนักเสวียนชิงงั้นหรือ”
“ศิษย์น้องไป๋ ศิษย์พี่เยี่ย!” หลัวเฟิงเสวี่ยรีบแทรกอย่างรวดเร็ว ขณะที่ถลึงตาอาฆาตใส่ต่งซือหยางอย่างลับๆ นางกล่าวด้วยใบหน้าปั้นยิ้ม “บัดนี้เรายังต้องทำบททดสอบ หากเจ้ามีสิ่งใดที่ต้องการจะพูด เราค่อยมาปรึกษาหารือหลังจากเสร็จสิ้นแล้วกัน”
หลัวเฟิงเสวี่ยทำให้สถานการณ์ราบรื่น คนทั้งสองจึงกลับมานิ่งสงบได้ในที่สุด ขณะที่พวกเขากำลังจะยอมผ่อนปรน ทว่ากลับมีใครบางคนกำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเขา
“นี่มันศิษย์พี่ไป๋ไม่ใช่หรือ ทักษะของท่านช่างโดดเด่น และสถานะของท่านช่างสูงนัก ท่านมาทะเลาะกับศิษย์น้องได้อย่างไร หากเรื่องนี้หลุดลอดออกไป ท่านจะทำให้อาจารย์ลุงเจิ้นหยางต้องเสื่อมเสียเกียรติ!”
เสียงเยาะเย้ยของสตรีนางหนึ่งพลันดังขึ้น ทำให้ทุกคนล้วนแต่หันไปมองเสียงนั้นเป็นสายตาเดียว ทันทีหลังจากนั้น หลัวเฟิงเสวี่ยแอบตะโกน “แย่แล้ว!” ขึ้นมาภายในใจ ศิษย์น้องเจียงมาปรากฏตัวที่นี่เหมือนกันได้อย่างไร ทั้งสองคนบังเอิญได้มาเจอหน้ากัน… มันจะไม่ชุลมุนวุ่นวายหากพวกเขาฉีกกันเป็นชิ้นๆ หรือ
แม้ความโกรธเคืองของไป๋เยี่ยนเฟยจะยังลุกโชน ทว่าเขาไม่ใช่คนไร้เหตุผล เขารู้ว่าเดิมทีเขาเป็นคนผิด เพียงแค่ว่าเขาไม่อาจปล่อยวางความทะนงตนของเขาไปได้ ทว่าบัดนี้ หลังจากได้ยินเสียงของศิษย์น้อง เขาพลันไม่หลงเหลือเหตุผลใดๆ อีกต่อไป
เขาชำเลืองมองอย่างเย็นชา และกล่าว “ไม่ว่าข้าจะทำให้อาจารย์เสื่อมเสียเกียรติหรือไม่ มันเกี่ยวข้องเช่นไรกับศิษย์น้องเจียงหรือ มันเพียงพอแล้วตราบใดที่ข้าไม่ได้ทำให้ยอดเขาล่องเมฆาเสื่อมเสีย หรือว่า… เจ้าเร่งเร้าอยากให้ข้าทำให้ยอดเขาล่องเมฆาเสื่อมเสียเกียรติกันล่ะ”
สิ่งที่เขากล่าวมีนัยยะซ่อนอยู่ หากทั้งสองไม่ได้เกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน เขาย่อมไม่เกี่ยวข้องกับยอดเขาล่องเมฆาอยู่แต่เดิมแล้ว การทำให้ยอดเขาล่องเมฆาต้องเสื่อมเสียเกียรติสำหรับเขา ทั้งสองคนย่อมต้องมีความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างกันและกันเสียก่อน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังใช้คำว่า “เร่งเร้า” ด้วย เป็นการกล่าวโดยนัยว่าศิษย์น้องเจียงเร่งเร้าที่จะมีความสัมพันธ์กับเขา
แม้แต่สตรีทั่วไปยังต้องขุ่นเคืองยามได้ยินคำพูดเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงผู้ที่ขึ้นชื่อว่ายโสโอหังอย่างศิษย์น้องเจียงด้วยซ้ำ นางพลันหยิบริบบิ้นสีออกมาโดยไม่พูดจาทันที และกำมันไว้ในมือ เห็นชัดว่านางตั้งใจจะจู่โจม
“…” หลัวเฟิงเสวี่ยไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไร ยามที่เยี่ยจิ่งเหวินและไป๋เยี่ยนเฟยกำลังทะเลาะเบาะแว้งกัน นางสามารถทำให้เรื่องราวราบรื่นได้ ทว่าสำหรับความขัดแย้งระหว่างศิษย์น้องเจียงและไป๋เยี่ยนเฟย นางคิดว่านางไม่เข้าไปยุ่มย่าม ไม่ว่านางจะมีสถานะเช่นไรจะเป็นการดีกว่า มิฉะนั้น นางเพียงแต่หาเรื่องใส่ตนเท่านั้น
เช่นนั้นแล้ว ทันทีที่นางเห็นภาพฉากนี้ นางพลังดึงเยี่ยจิ่งเหวินไปกับนางโดยทันที และถอยไปอยู่ด้านหลังอย่างรอบคอบ
ศิษย์น้องเจียงเป็นดังที่คาดการณ์ไว้จริง นางเริ่มโจมตีด้วยการแกว่งไกวริบบิ้นสีของนางไปยังไป๋เยี่ยนเฟย ระดับการฝึกตนของนางอยู่ในขั้นเริ่มต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเท่านั้น ทว่าริบบิ้นสีนี้เป็นศาตราวุธเวทที่ยากจะควบคุมได้ยิ่งนัก ฉะนั้น ไป๋เยี่ยนเฟยจึงไม่กล้าประเมินนางต่ำเกินไป คมดาบพระจันทร์เสี้ยวควงเป็นรูปกากบาท แสงดาบสะท้อนแสงของกันและกัน ตัดผ่านขอบเขตพลังทางจิตวิญญาณของริบบิ้นสี
ทั้งสองคนแลกหมัดกันคนละทีสองที ทั่วพื้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยพลังทางจิตวิญญาณที่ตัดกันไปมา
เมื่อได้เห็นภาพฉากนี้ ต่งซือหยางไม่รู้ว่าเขาควรดีใจหรือเสียใจดี หากไม่มีผู้ใดทลายม่านพลังออกมาได้ในพื้นที่ พื้นที่นั้นๆ จะยังคงรักษาม่านพลังมายาเอาไว้ ฉะนั้น พวกเขาไม่อาจมองเห็นสมุนไพรวิญญาณได้ ด้วยสาเหตุเช่นนี้ เขาจึงมายังพื้นที่ของเยี่ยจิ่งเหวินเพื่อเบียดเบียนผลประโยชน์ ถึงกระนั้นก็ตาม บัดนี้ มีคนทลายม่านพลังออกมาคนแล้วคนเล่า มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ เขาจึงควรไปพื้นที่อื่นและลองเสี่ยงโชคที่นั่นดู โชคร้ายที่อาจารย์ลุงไป๋กำลังต่อสู้กับใครบางคน มันคงไม่เหมาะสมหากเข้าจะจากไปในยามนี้
ขณะที่ต่งซือหยางเดินไปเดินมาด้วยความหวั่นวิตก หลัวเฟิงเสวี่ยรู้สึกว่าเขาชวนให้รำคาญลูกตา จึงส่งสัญญาณบอกเยี่ยจิ่งเหวินผ่านทางสายตา วินาทีต่อมา นางพลันตะโกน “คนแซ่ต่ง! เจ้ากล้าโจมตีข้างั้นหรือ!”
เยี่ยจิ่งเหวินเข้าใจคำใบ้ของนาง พลันกล่าวตอบทันที “ต่งซือหยาง! ข้าเข้าใจหากเจ้าต้องการทำร้ายข้า ทว่าเหตุใดเจ้าต้องวางแผนทำร้ายศิษย์น้องหลัวด้วย! ศิษย์น้องหลัวเพียงแต่อยู่ในขั้นเริ่มต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเท่านั้น!” ทันทีหลังจากนั้น เขาทำท่าชี้นิ้ว และพุ่งกระบี่ลอยได้มุ่งตรงไปยังต่งซือหยาง
ท่าทางของต่งซือหยางเปลี่ยนไป เขาตะโกน “เจ้า…” ทว่าก่อนที่เขาจะกล่าวอะไรต่อไปได้ กระบี่ลอยได้ของเยี่ยจิ่งเหวินพลันถึงตัวเขาแล้ว
โม่เทียนเกอกำลังเก็บสมุนไพรวิญญาณมาตลอดทาง และนี่คือภาพฉากที่นางได้เห็นเมื่อมาถึง
นางงงงวยเล็กน้อย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไป๋เยี่ยนเฟยกำลังต่อสู้กับศิษย์น้องเจียง และพี่ใหญ่เยี่ยกำลังจะเข้าโจมตีผู้ฝึกตนการสร้างฐานพลังงานขั้นสุดท้าย แล้วยังมีหลัวเฟิงเสวี่ย ซึ่งกำลังแอบรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองยิ่งนักด้วย
“เทียนเกอ!” หลัวเฟิงเสวี่ยเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นนาง “เทียนเกอ! มีคนรังแกข้า!”
เมื่อได้ยินเสียงของหลัวเฟิงเสวี่ย โม่เทียนเกอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันไปหา “เกิดอะไรขึ้น” นางถามด้วยความสงสัย ท่าทางของหลัวเฟิงเสวี่ยคือท่าทางของคนที่ถูกรังแกจริงหรือ นอกจากนั้น แม้ผู้ฝึกตนผู้นั้นจะอยู่ในขั้นสุดท้ายแล้ว ทว่าวิชาการต่อสู้ด้วยพลังเวทของเขายังคงทั่วไปยิ่งนัก เมื่อเยี่ยจิ่งเหวินอยู่ที่นี่ ผู้ฝึกตนผู้นั้นจะมีโอกาสรังแกนางได้เช่นไร
หลัวเฟิงเสวี่ยยิ้มแยกเขี้ยวและขยิบตาให้นาง ทว่านางกลับกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “คนผู้นั้น! เขาเพิ่งวางแผนทำร้ายข้า! โชคดีที่ข้ามีศิษย์พี่เยี่ยอยู่ตรงนี้ด้วย!”
หลังจากได้รับการชำเลืองมองจากหลัวเฟิงเสวี่ย และสังเกตเห็นได้ว่าคนผู้นั้นคือหนึ่งในบรรดาผู้คนที่หลัวเฟิงเสวี่ยเตือนให้นางระวังตนไว้ โม่เทียนเกอพลันเข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นโดยคร่าวแล้ว นางกล่าวตอบโดยทันที “วางใจได้! ในเมื่อเขากล้ารังแกเจ้า เราจะทำให้เขาได้ลิ้มลองรสชาติแห่งความทุกข์ทรมาน!”
ต่งซือหยางเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก บัดนี้เมื่อโม่เทียนเกอ ซึ่งเป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้ายเช่นกัน ได้มาถึงที่นี่ เขาพลันรีบร้องออกไปในทันที “ศิษย์น้องเยี่ย อาจารย์ลุงหลัว! เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแล้ว! ข้าไม่ได้ ไม่ได้…”
เยี่ยจิ่งเหวินจะปล่อยเขาไปได้อย่างไรกัน เขาฉวยโอกาสตอนที่ต่งซือหย่างกำลังกล่าว กระบี่ลอยได้พุ่งตรงไปหาเขา พลังแห่งคมกระบี่ที่ทั้งว่องไวและทรงพลังตัดทลายการป้องกันของต่งซือหยาง ทำให้คมกระบี่ทิ่มแทงเข้าไปยังแขนขวาของเขา
“อ๊าก!” ต่งซือหยางกรีดร้อง
เยี่ยจิ่งเหวินเรียกคืนกระบี่ลอยได้ของเขา กล่าวอย่างเย็นชา “นี่คือบทเรียนแก่ท่าน ในฐานะการเป็นคน ท่านควรประพฤติตนให้เหมาะสมกว่านี้!”
ต่งซือหยางล้มลงไปนอนเหยียดอยู่บนพื้นดิน เพราะไป๋เยี่ยนเฟยกำลังต่อสู้ห้ำหั่นอย่างดุเดือด และไม่มีเวลามาสนใจเขา พร้อมกับที่เยี่ยจิ่งเหวิน หลัวเฟิงเสวี่ย และโม่เทียนเกอล้วนแต่มองดูเขาอย่างเย็นชาอยู่ข้างๆ เขาจึงไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำใด เขาเลิกสนใจว่ามันจะน่าอับอายหรือไม่ เขาเพียงแต่ลุกคลานขึ้นมา จากนั้นวิ่งหนีหายไปโดยทันที
เมื่อคนผู้นั้นจากไป กระบี่ลอยได้ของเยี่ยจิ่งเหวินจึงกลับเข้าสู่ฝักดาบ จากนั้นเขาเดินกลับไปหาพวกเขา พลางกล่าวทักทายโม่เทียนเกอ “เทียนเกอ ช่างบังเอิญเสียจริง! เจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วย”
โม่เทียนเกอยิ้ม “หากไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ข้าคงไม่ได้เห็นละครฉากนี้” จากนั้นนางลดเสียงต่ำลง “พวกเจ้ากำลังอะไรอยู่หรือ”
หลัวเฟิงเสวี่ยเริ่มกระซิบกระซาบ บอกเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับนางเมื่อครู่
โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ อย่างช่วยไม่ได้ เมื่อนางได้รู้เรื่องราวทั้งหมด “เจ้าเองก็ไม่ซื่อสัตย์สินะ”
หลัวเฟิงเสวี่ยป้องปาก “ข้ามักจะเห็นเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นระหว่างลูกศิษย์อยู่บ่อยครั้ง บางครั้งข้าก็เลียนแบบพวกเขาหากมันจำเป็น จิตใจของคนผู้นั้นหาได้เดินถูกเส้นทางไม่ เช่นนั้น จะเป็นเช่นไรหากเรากล่าวหาว่าเขาเป็นคนผิดเล่า”
ใช้ความร้ายกาจเพื่อควบคุมความร้ายกาจ… โม่เทียนเกอไม่คัดค้านในเรื่องนี้ ในไม่ช้า สายตาของนางพลันเหลือบไปมองไป๋เยี่ยนเฟยและศิษย์น้องเจียง ซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับการต่อสู้โดยสิ้นเชิง ถึงกระนั้นก็ตาม นางกลับแปลกใจที่พบว่าอาจมีสถานการณ์แอบแฝงอยู่ภายในการต่อสู้ครั้งนี้
ไป๋เยี่ยนเฟยหาได้ชอบกลไม่ ระดับการฝึกตนของเขาสูงกว่าศิษย์น้องเจียง เขาจึงไม่ตกอยู่ในอันตรายโดยสิ้นเชิง ถึงกระนั้น อาจเป็นเพราะเขาถูกจำกัดจากกฎเกณฑ์ของสำนัก ดูเหมือนว่าเขาจะไม่กล้าทำร้ายศิษย์น้องเจียงเท่าไรนัก ในขณะเดียวกัน ศิษย์น้องเจียงกลับดูชอบมาพากลเล็กน้อย เห็นชัดว่านางโจมตีเขาอย่างเบามือ…
หลัวเฟิงเสวี่ยสังเกตเห็นสายตาของนางได้ จึงเข้ามาใกล้และกระซิบใส่หู “เจ้าสังเกตเห็นด้วยใช่ไหม ข้าถึงได้บอกไงว่าพวกเขาต้องลงเอยกันอย่างแน่นอน”
ความจริงแล้ว ไป๋เยี่ยนเฟยค่อนข้างเก่งกาจทีเดียว นอกจากนิสัยเอาแต่ใจเหมือนเด็กของเขาแล้ว รูปร่างหน้าตาของเขาจัดว่าดีทีเดียว ทักษะความสามารถดีเลิศ การพัฒนาระดับฝึกตนกำลังใกล้เข้ามาแล้ว และเขายังมีประมุขเต๋าเจิ้นหยางเป็นผู้สนับสนุนด้วย ศิษย์น้องเจียงตาถึงยิ่งนัก หากนางไม่เลือกไป๋เยี่ยนเฟย นางคงจะไม่สนใจผู้ใดอีก เมื่อดูจากอุปนิสัยใจคอและรสนิยมสูงของนาง
พวกเขาทั้งสามมองดูอยู่ข้างๆ ครู่หนึ่ง พลางพูดคุยพลางหัวเราะไปตลอด ทว่าขณะที่พวกเขากำลังจะจากไป พวกเขาพลันได้ยินเสียงตะโกนของศิษย์น้องเจียงดังขึ้นจากด้านหลัง “พวกเจ้าไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!”
โม่เทียนเกอและอีกสองคนหยุดนิ่ง มองหน้ากันและกัน ทว่าพวกเขาหันกลับไปในท้ายที่สุด หลัวเฟิงเสวี่ยกล่าว “ศิษย์น้องเจียง มีเรื่องอันใดหรือ”
ศิษย์น้องเจียงกวาดสายตามองคนทั้งสาม ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่โม่เทียนเกอในท้ายที่สุด จากนั้นนางเชิดคางขึ้นและถาม “ท่านคือศิษย์พี่โม่ผู้นั้นใช่หรือไม่”
“ผู้นั้นหรือ” โม่เทียนเกอติดใจน้ำเสียงของศิษย์น้องเจียง ทว่าไม่ได้กล่าวตอบแต่อย่างใด “ใช่แล้ว ศิษย์น้องเจียงต้องการสิ่งใดจากข้าหรือ” นางยังคงใช้น้ำเสียงเป็นมิตร เพราะนางไม่มีเจตนาสร้างศัตรูแต่อย่างใด
ศิษย์น้องเจียงเดินเข้ามามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อนางประเมินโม่เทียนเกอเสร็จแล้ว นางหันหลังกลับไป และถลึงตาใส่ไป๋เยี่ยนเฟย “นี่คือศิษย์พี่โม่ที่ท่านเคยหลงรักอย่างนั้นหรือ ข้าต้อยต่ำกว่านางตรงไหน”
ไป๋เยี่ยนเฟยรู้สึกอับอายเมื่อได้เห็นโม่เทียนเกอ เขาจึงแสร้งทำเป็นไม่เห็นนาง ทว่าบัดนี้ เขาถูกตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมาต่อหน้าทุกคน เขาจึงสูญเสียอาการสงบนิ่งและตะโกนในที่สุด “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย!”
คิ้วคงรูปของศิษย์น้องเจียงย่นเข้าหากัน ขณะที่นางพลันขมวดคิ้ว ริบบิ้นสีของนางแกว่งไปมา สร้างการไหลเวียนพลังทางจิตวิญญาณขึ้นอีกครา “ไป๋เยี่ยนเฟย! ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ข้าเจียงหมิ่นมีส่วนใดที่ท่านไม่โปรดปรานกัน ไม่ว่าจะเป็นระดับการฝึกตน หรือทักษะความสามารถ หรืออายุ… ส่วนไหนของข้าที่ไม่ดีกัน เห็นชัดว่ามีแต่ท่านที่มัวแต่เฝ้าเพ้อถึงศิษย์พี่โม่ เฮอะ! ท่านไม่โปรดปรานข้างั้นหรือ ศิษย์พี่โม่เองก็ไม่ได้โปรดปรานท่านไม่ใช่หรือ ท่านไม่ต่างอะไรจากข้า!”
น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม ทำให้ใบหน้าของไป๋เยี่ยนเฟยแดงก่ำไปทั่วได้สำเร็จ เขาเบิกตาโพลงอย่างดุร้ายใส่เจียงหมิ่น กล่าวถาม “ข้าจะไม่ฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับเจ้า เจ้าจะมาวุ่นวายกับข้าต่อไปอีกทำไม เจ้าอยากแต่งงานกับข้าถึงเพียงนั้นเลยหรือ”
คาดไม่ถึงว่าศิษย์น้องเจียงหาได้โกรธเคืองเพราะเขาไม่ สายตาของนางยังคงเต็มไปด้วยความเหยียดยามขณะกล่าว “ข้าแค่สับสน บางทีท่านอาจรู้สึกอับอายเพราะท่านถูกศิษย์พี่โม่ปฏิเสธ ท่านจึงต้องการทำเช่นนั้นกับข้าเพื่อเป็นการแก้แค้นหรือ ไป๋เยี่ยนเฟย การทำเช่นนี้ทำให้ท่านรู้สึกสาแก่ใจยิ่งนักใช่หรือไม่”
“เจ้า…” สีหน้าของไป๋เยี่ยนเฟยเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีม่วง
ศิษย์น้องเจียงยังคงไม่ปล่อยเขาไป “การปฏิเสธข้าช่วยปลอบประโลมใจของท่านได้หรือ พวกเจ้าดูถูกที่ข้าถูกศิษย์พี่โม่ปฏิเสธ บัดนี้เจ้าได้เห็นแล้วใช่ไหม ศิษย์น้องเจียงถูกข้าปฏิเสธแล้ว!”
นางเลียนน้ำเสียงของไป๋เยี่ยนเฟย เมื่อกล่าวส่วนสุดท้าย และการเลียนแบบของนางค่อนข้างคล้ายทีเดียว ทำให้ผู้ชมทั้งสามส่งเสียง “ฟรืด” ขณะที่ขำพรวดออกมา
แม้ศิษย์น้องเจียงจะยโสโอหังนัก ทว่าความจริงในแล้ว ในบางมุมนางก็ค่อนข้างน่ารักทีเดียว แม้ระดับอาวุโสในโลกแห่งการฝึกตนจะถูกจัดเรียงตามลำดับการฝึกตน ทว่าลำดับอาวุโสภายในกลุ่มการฝึกตนนั้น มีความซับซ้อนกว่านั้นเล็กน้อย
ก่อนที่ประมุขเต๋าซวนหยินจะก้าวเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ เขาและลูกศิษย์ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งในหน่วยของประมุขเต๋าจิ้งเหอ ในตอนนั้น หลัวเฟิงเสวี่ยและเยี่ยจิ่งเหวินถือว่าอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งสองล้วนแต่เป็นหลานศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหอ
การก้าวเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ของประมุขเต๋าซวนหยินถือว่าเป็นการเริ่มต้นสร้างหน่วยใหม่ แม้โดยส่วนตัวแล้ว เขาและประมุขเต๋าจิ้งเหอจะยังคงเป็นอาจารย์ลูกศิษย์ซึ่งกันและกัน ทว่าบัดนี้พวกเขาต่างอยู่ดินแดนเดียวกัน และตามหลักการ เขาไม่จำเป็นต้องเรียกประมุขเต๋าจิ้งเหอว่า “อาจารย์” อีกต่อไป (ทว่าเขายังคงเรียกเช่นนั้น)
เมื่อประมุขเต๋าซวนหยินพัฒนาก้าวสู่ดินแดนใหม่ ลูกศิษย์ของเขาล้วนแต่ขยับอันดับเช่นกัน ตัวอย่างเช่น หากหลัวเฟิงเสวี่ยต้องเรียกฉินซีว่าอาจารย์ลุงก่อนหน้านี้ บัดนี้นางสามารถเรียกเขาว่าศิษย์พี่ได้ เพราะนางเป็นลูกศิษย์ของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เช่นเดียวกับเขา ในขณะเดียวกัน บัดนี้นางควรเรียกเยี่ยจิ่งเหวินว่าหลานศิษย์เสีย