ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 241 ห้านิวรณ์พลิกสัมผัส
คนทั้งสามแยกกัน เว้นระยะห่างประมาณสิบจั้งระหว่างกัน และมุ่งหน้าตามกันต่อไปอย่างไม่ช้าหรือเร็วจนเกินไป
ความจริงแล้ว หากโม่เทียนเกอกระจายจิตสัมผัสของนาง ระยะเท่านี้ประหนึ่งว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ห่างไกลกันแม้แต่น้อย ทว่าเช่นนี้ถือเป็นการดีกว่า หากนางจำกัดจิตสัมผัสเอาไว้ได้ ผลกระทบต่อจิตหยั่งรู้ของนางก็จะน้อยลงด้วย
โม่เทียนเกอกลับเฝ้ารอให้บททดสอบที่สองมาถึง หากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี นางจะเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิต จนกว่านางจะพัฒนาสู่ขั้นสูงสุดของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน หลังจากเรื่องนี้ได้ข้อยุติแล้ว นางจะพยายามสร้างขุมพลังของนาง สำหรับผู้ฝึกตนเช่นนาง ซึ่งไม่เคยผ่านขั้นตอนเหล่านั้นมาก่อน ปีศาจภายในจิตใจคืออุปสรรคที่น่ากลัวที่สุดระหว่างการก่อเกิดแก่นขุมพลัง หากบททดสอบที่สองอย่างห้านิวรณ์พลิกสัมผัสคล้ายกับปีศาจภายในจิตใจจริง มันประหนึ่งว่านางกำลังเผชิญหน้ากับบททดสอบที่คล้ายกับปีศาจภายในจิตใจ ก่อนการก่อเกิดแก่นขุมพลังของนาง หากได้เผชิญกับประสบการณ์เช่นนี้ นางจะรู้ว่าควรปฏิบัติตนช่นไรยามที่นางจะสร้างขุมพลังจริง
“ทำไมถึงไม่มีการเคลื่อนไหว” เยี่ยจิ่งเหวินถามขึ้นมาด้วยเสียงต่ำ หลังจากพวกเขาทั้งสามเดินทางได้สักพัก
เขาถ่ายทอดเสียงของเขาผ่านทางจิตสัมผัส สิ่งแวดล้อมจึงยังคงเงียบงันโดยสิ้นเชิง
โม่เทียนเกอรู้สึกมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเช่นกัน นางขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะถามกลับไป “ทำไมถึงไม่มีผู้ใดอยู่ที่นี่ นอกจากเราสามคน”
เยี่ยจิ่งเหวินตะลึงงัน “ท่านพูดถูก! ด้วยเหตุผลนี้ แม้เราจะทลายม่านพลังได้ค่อนข้างรวดเร็ว ทว่ามันผ่านมาได้สักพักใหญ่แล้ว ควรจะมีใครสักคนทลายม่านพลังออกมาไม่ใช่หรือ”
หลัวเฟิงเสวี่ยรำพึง “เมื่อเป็นพวกเราลูกศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงาน คงมีนับคนได้ที่สามารถฝ่าบททดสอบแรก อย่างไรก็ตาม มันจะต้องไม่ได้มีแค่พวกเราอย่างแน่นอน…”
หลังจากขมวดคิ้วอยู่นาน หลัวเฟิงเสวี่ยพลันร้องขึ้นมาอย่างฉับพลัน “บางทีเราอาจเข้าสู่บททดสอบที่สองห้านิวรณ์พลิกสัมผัสแล้วก็ได้! จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเราถึงสัมผัสสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวไม่ได้เลย!”
โม่เทียนเกอหันไปสำรวจรอบตัวนาง ที่นี่อยู่ลึกภายในขุนเขา กำแพงหินล้อมรอบยังคงดูเหมือนก่อนหน้านี้ ทว่าบัดนี้สภาพผืนดินดูแตกต่างออกไป ผืนดินเริ่มขยายบริเวณมากขึ้น สมุนไพรวิญญาณเกินคณานับเติบโตแน่นไปทั่ว และแสงแดดที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด พลันส่องสว่างไปทั่วบริเวณแห่งนี้
กระบี่ลอยได้ของเยี่ยจิ่งเหวินถูกชักออกจากฝัก และบินร่อนไปรอบตัวเขาเพื่อระวังตน “ศิษย์น้องหลัว เจ้าแน่ใจหรือ จะมีภยันตรายเกิดขึ้นรอบตัวเราไหม”
เมื่อได้ยินคำถามของเยี่ยจิ่งเหวิน หลัวเฟิงเสวี่ยเริ่มสำรวจสถานการณ์แวดล้อมอย่างขะมักเขม้น จากนั้นนางพลังหลับตาลง และรวบรวมจิตสัมผัส ท้ายที่สุดแล้วนางพยักหน้าอย่างรอบคอบ และกล่าว “ข้าน่าจะเข้าใจถูกแล้ว พยายามใช้จิตสัมผัสของท่าน ท่านส่งมันออกไปไกลได้แค่ไหน”
ทั้งโม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินกระจายจิตสัมผัสของพวกเขาตามที่หลัวเฟิงเสวี่ยบอก ไม่นานนัก สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลจริงด้วย พวกเขาทำได้เพียงกระจายจิตสัมผัสไกลสิบจั้งรอบๆ ตัวของพวกเขาทั้งสามเท่านั้น
หลัวเฟิงเสวี่ยกล่าว “เริ่มได้แล้ว รักษาสภาวะจิตใจของเราไว้ อย่าได้ส่งผลกระทบต่อกันและกันอีก”
เมื่ออยู่ด้วยกัน ทั้งสามคนสามารถเตือนกันและกันได้ ทว่าหากมีคนหนึ่งต้องเผชิญกับการตระหนักรู้ที่คลาดเคลื่อนไป อีกสองคนที่เหลือจะได้รับผลกระทบไปด้วย เช่นนั้นแล้ว แต่ละคนควรจะฝ่าบททดสอบด้วยตนเองเสียมากกว่า
ทั้งโม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินต่างเห็นด้วยกับคำแนะนำของหลัวเฟิงเสวี่ย พวกเขามองหาสถานที่ หมายเผชิญหน้ากับบททดสอบห้านิวรณ์พลิกสัมผัส
หากมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น โม่เทียนเกอจึงวางม่านพลังป้องกันอย่างง่ายเอาไว้รอบตัวนาง ก่อนที่นางจะนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นในที่สุด
เมื่อหลับตาลง นางตัดการตระหนักรู้ของทุกสิ่งที่อยู่รอบกายออก และปิดจิตจิตหยั่งรู้ของนางเสีย มุ่งมั่นอยู่แต่ห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของนางเท่านั้น พลังทางจิตวิญญาณภายในร่างของนางเคลื่อนไหวโดยรอบอย่างอัตโนมัติ สงบเงียบ และมั่นคง
ในไม่ช้า นางสัมผัสได้ว่านางล่วงเข้าสู่ดินแดนแห่งเวทมนตร์ ทุกสิ่งล้อมรอบตัวนางล้วนอยู่ห่างไกลออกไป ราวกับว่านางอยู่ในที่เปิดโล่ง มีเพียงเสียงกระทบแผ่วเบาจากสายลมที่กำลังพัดพาอย่างนุ่มนวลเท่านั้น ในโลกนี้มีนางอยู่เพียงผู้เดียว
โม่เทียนเกอไม่ได้คาดคิดว่านางจะบังเอิญเข้าสู่สภาวะไร้ตัวตนได้
สภาวะจิตใจของคนผู้หนึ่งคือปริศนาที่ถูกห่อหุ้มด้วยปริศนาอีกชั้น กล่าวโดยทั่วไปแล้ว การตระหนักรู้สภาวะจิตใจเช่นนี้ยากที่จะเชื่อมต่อกับผู้อื่นได้ยิ่งนัก แม้แต่ยามที่อาจารย์สอนลูกศิษย์ของพวกเขา พวกเขาทำได้เพียงแนะแนวลูกศิษย์อย่างค่อยเป็นค่อยไป ถึงกระนั้น การตระหนักรู้ของทุกคนย่อมแตกต่างกัน ฉะนั้น พวกเขาจึงทำได้เพียงพึ่งพาตนเองในท้ายที่สุด
ในการพัฒนาฝึกฝนสภาวะจิตใจ พวกเขาจำต้องเห็น ได้ยิน และสัมผัสสิ่งต่างๆ ให้มาก มีเพียงแต่การหยั่งรู้สิ่งต่างๆ เท่านั้นที่จะทำให้คนผู้หนึ่งสามารถพัฒนาได้ ไม่มีทางเลือกอื่นใด
ตลอดการเดินทางกว่ายี่สิบปีของนาง โม่เทียนเกอไม่ได้ริเริ่มคิดค้นด้วยตนเองมากนัก นางมักจะติดกับอยู่ภายในเจดีย์บรรลุเต๋าเสียเป็นส่วนใหญ่ ถึงกระนั้นก็ตาม ในความเป็นจริง ความกดดันที่นางแบกรับยามที่นางอยู่ภายในเจดีย์บรรลุเต๋ากับเริ่นอวี่เฟิง และค่อยๆ เฝ้าดูพวกเขาจากภายนอก ล้วนเป็นการฝึกจิตอย่างหนึ่งเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ภายในเจดีย์บรรลุเต๋า นางยังคงศึกษาบันทึกส่วนตัวที่โม่เหยาชิงทิ้งไว้ สัมผัสกับประสบการณ์ชีวิตของโม่เหยาชิง นี่ก็เป็นรูปแบบการฝึกจิตอย่างหนึ่งเช่นกัน
ได้ไปเยือนยังโลกฆราวาส ได้ไปยังตระกูลเยี่ย ได้ดูแลตระกูลเยี่ยแทนอารอง ได้เข้าไปยังถ้ำเซียนของจื้อเวยโดยบังเอิญ ได้ศึกษาเล่าเรียนเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของนักพเนจรจื้อเวย ได้เห็นความรักอันแสนอาภัพของเหยาจื่อซิวและซางหรูหว่าน ได้ไปยังเขตธารน้ำแข็งเหนือสุดของโลก ได้บังเอิญพบกับเริ่นอวี่เฟิง ได้ไปยังทะเลตะวันออก…
โม่เทียนเกอใช้เวลากว่ายี่สิบปีในการเผชิญสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดอย่างไม่รู้ตัว ภายในสถานการณ์ที่นางเองก็ไม่อาจรู้ตัว สภาวะจิตใจของนางเติบโตขึ้น และก้าวไปถึงดินแดนหนึ่ง ฉะนั้น ภายในบททดสอบห้านิวรณ์พลิกสัมผัสที่คล้ายกับปีศายภายในจิตใจแห่งนี้ นางสามารถก้าวเข้าสู่สภาวะไร้ตัวตนได้อย่างง่ายดาย
ครู่หนึ่งผ่านไป ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น ดูเหมือนโม่เทียนเกอจะหวนกลับไปยังหมู่บ้านตระกูลโม่ในแคว้นจิ้น…
“ที่รัก ท่านต้องไปจริงๆ หรือ” แม้สตรีนางนั้นแต่งตัวคล้ายสตรีที่แต่งงานแล้ว ทว่ารูปร่างหน้าตาของนางยังคงเหลือเค้าความอ่อนโยนของเด็กสาวเอาไว้ นางกำลังจ้องบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ราวกับนางไม่ต้องการพรากจากเขาไป
ดูเหมือนว่าบุรุษผู้นั้นจะอยู่ในวัยราวๆ สามสิบปี เมื่อเทียบกับภรรยาแล้ว เขาแก่กว่ายิ่งนัก ถึงกระนั้น เขาทั้งนุ่มนวล สง่างาม และสงบนิ่ง ดูเหมือนว่าเขาพร้อมด้วยเสน่ห์ของเด็กหนุ่มที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะในวัยยี่สิบกว่าปี
เขามองภรรยาของเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม “ไม่ต้องห่วง ข้าจะกลับมาในอีกไม่กี่วัน”
“ทว่า…” ดูเหมือนสตรีนางนั้นลังเลที่จะพูดบางสิ่ง ท้ายที่สุดแล้วนางเพียงแต่ก้มหน้าลงและนิ่งเงียบ
รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าของบุรุษผู้นั้น ขณะที่เขากุมมือของภรรยา จากนั้นนำมือทั้งสองข้างของพวกเขาไปวางไว้ที่ท้องน้อยอันแบนราบของนาง “ข้าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด ก่อนที่เด็กจะลืมตาดูโลก หากเจ้ามีปัญหาอันใด ไปคุยกับพี่อาวั่งได้ ข้าขอให้นางช่วยดูแลเจ้าแล้ว”
สตรีนางนั้นดูเขินอายทีเดียว “ที่รัก ท่านรู้แล้วหรือ”
“ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร” เขาจ้องมองท้องอันแบนราบของภรรยา ด้วยสายตาที่ยากจะเข้าใจได้ พลางคิดในใจ “… ข้าหวังว่าเด็กคนนี้… จะปลอดภัย”
หลายปีต่อมา
“ท่านแม่ ทำไมข้าถึงไม่มีพ่อ” เด็กสายตัวน้อย ซึ่งใบหน้ามีรอยจ้ำสีม่วง เอ่ยถามแม่ผู้มีสีหน้าซีดเผือดราวกับคนป่วย
แม่ทายาให้กับเด็กน้อยอย่างเบามือ ทว่านางหยุดการเคลื่อนไหวเมื่อได้ยินคำถามของเด็กน้อย
“ท่านแม่”
สตรีนางนั้นตั้งสติกลับมาได้ นางส่ายศีรษะพลันกล่าว “อย่าไปฟังเรื่องเหลวไหล พ่อของเจ้าจากไปเพราะเขามีบางสิ่งที่ต้องจัดการ เขาจะกลับมาเมื่อเขาจัดการธุระเสร็จสิ้น”
“ทว่า…” เด็กสาวตัวน้อยดูสับสน “ท่านพ่อไปยังที่ที่ห่างไกลมากๆ อย่างนั้นหรือ ไกลมากจนเขาไม่อาจกลับมาได้จนถึงตอนนี้”
“อื้อ ไกลมากๆ เลยจ้ะ…”
ดังนั้น นางจึงอธิษฐานในวันนั้น ขอให้ท่านพ่อของนางกลับมาเร็วขึ้นเล็กน้อย จะได้ไม่มีผู้ใดกล้าพูดว่านางเป็นเด็กไม่มีพ่ออีก
ต่อมา
“เทียนเกอ! เทียนเกอ! พ่อของเจ้ากลับมาแล้ว!”
วันนั้นเป็นวันเกิดของนาง แม่ของนางเตรียมหมี่ซั่วและแม้แต่ไข่ดาวน้ำเอาไว้ให้นาง ทว่าทันใดนั้น นางพลันได้ยินเสียงของซ้ออาวั่งจากข้างบ้าน
บุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากลานบ้านด้านนอก เขาเปื้อนฝุ่นไปทั้งตัว ทว่าใบหน้าของเขากลับมีรอยยิ้มปรากฏอยู่
ท่านพ่อเหมือนกับที่ท่านแม่เล่าไม่มีผิด เขาทั้งใจดีและอ่อนโยน ยามใดที่เขายิ้ม เขาจะทำให้นางพลันรู้สึกอบอุ่น
“เทียนเกอ เจ้าคือเทียนเกอ!” พ่อของนางก้มตัวลง “เจ้าโตเร็วเหลือเกิน! ข้าคือพ่อของเจ้าไง!”
แม่ของนางออกมาจากบ้าน แววตาของนางท่วมท้นไปด้วยหยาดน้ำตา
พ่อของนางยิ้ม อุ้มนางขึ้น จากนั้นเดินตรงไปหาแม่ของนาง “ที่รัก ข้ากลับมาแล้ว ข้ากลับมาเพื่อพาพวกเจ้าไป”
…
ความปรารถนาของนางเป็นจริง ทุกสิ่งเลือนรางราวกับนางกำลังฝันไป ถึงกระนั้น นางดีใจจากก้นบึ้งของหัวใจ ที่นางได้เห็นว่าพ่อของนางหน้าตาเช่นไรในที่สุด ความสุขเช่นนี้คือของจริงอย่างคาดไม่ถึง
พ่อของนางพาพวกเขากลับไปยังคุนอู๋ และสอนนางเรื่องการฝึกตน การหลอมรวมพลังงานวิญญาณ การสร้างฐานแห่งพลังงาน ทุกสิ่งในชีวิตล้วนผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นยิ่งนัก… นางเติบโตและก้าวสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง และตระกูลเยี่ยไม่ได้พังพินาศลง… ต่อมานางได้พบบุรุษผู้หนึ่ง พวกเขาตกหลุมรักกันและกัน กลายเป็นสหายฝึกตนร่วมสัมพันธ์… ต่อมานางก้าวเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ได้ เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเสรีอยู่ในขั้วท้องฟ้า และกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานในที่สุด…
สิ่งที่นางมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่านางต้องการสิ่งใด ท้ายที่สุดแล้วนางจะได้มันมา ตั้งแต่ความรักในครอบครัว มิตรภาพ ความรักใคร่ ครอบครัว การฝึกตน หรือทรัพย์สมบัติมหาศาล… สุดท้ายแล้ว นางได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพ และกลายเป็นสิ่งมีชีวิตเสมือนทวยเทพในโลกฆราวาส
นางยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของโลก จ้องมองโลกมนุษย์ที่อยู่เบื้องล่าง ทุกสิ่งอยู่ในกำมือของนาง ทว่านางกลับรู้สึกว่างเปล่า ราวกับนางไม่ได้รับสิ่งใดมาแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น นางเริ่มกังขา ทั้งหมดนี้คือความจริงหรือ หากไม่ใช่ เหตุใดมันจึงรู้สึกจริงยิ่งนัก หากมันคือความจริง เหตุใดทุกสิ่งที่นางเห็นกลับพร่ามัวอยู่เสมอ
นางชื่นชอบความรู้สึกสำเร็จเช่นนี้ทีเดียว เพราะความเศร้าเสียใจที่ไม่อาจฝังกลบได้ กลับไม่ปรากฏอยู่ในจิตใจของนาง ทว่า… เหตุใดนางจึงรู้สึกว่างเปล่าราวกับนางไม่ได้รับสิ่งใดมาแม้แต่น้อยกัน
ทันใดนั้น สัมผัสอันเย็นเฉียบไหลผ่านทรวงอกของนาง ปลุกนางให้ตื่นขึ้นจากฝันอันงดงามนี้
โม่เทียนเกอลืมตาขึ้น นางถูกความหวาดกลัวถาโถมอยู่ครู่หนึ่ง นางล่วงเข้าสู่สภาวะไร้ตัวตน และพร้อมตั้งจิตให้มั่น ทว่านางยังคงถูกจับได้ หากนางมีสภาวะจิตใจที่รวนเร นางไม่รู้จริงๆ ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นต่อไป
เมื่อนางเงยหน้ามองดูสภาพแวดล้อมรอบกาย นางพบว่ามีกลุ่มคนประมาณห้าถึงหกคนกำลังนั่งล้อมรอบอย่างกระจัดกระจายเป็นระยะ รวมถึงเยี่ยจิ่งเหวินและหลัวเฟิงเสวี่ยด้วย
แน่นอนว่าหลัวเฟิงเสวี่ยคาดเดาได้ถูกต้อง ความจริงแล้ว หลังจากพวกเขาออกจากพื้นที่บททดสอบแรกได้ไม่นาน พวกเขาพลันเข้าสู่บททดสอบที่สองโดยทันที ทว่าพวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงโดยสิ้นเชิง พวกเขาจึงไม่อาจเล็งเห็นสถานการณ์รอบตัวได้
ความโลภ ความโกรธ ความเขลา ความเกียจคร้าน และความกังขา บททดสอบนี้ทำให้โม่เทียนเกอตระหนักได้ว่าแม้นางจะไม่ได้พัวพันกับความโกรธ ความเขลา ความเกียจคร้าน หรือความกังขา ทว่าความละโมบยังคงซุกซ่อนอยู่เบื้องลึกภายในจิตใจของนาง
นางต้องการกลับไปยังสมัยเด็ก ต้องการพ่อของนางกลับมา และมีครอบครัวที่สมบูรณ์ นางต้องการการเข้าสู่โลกแห่งการฝึกตนอย่างราบรื่น แทนที่จะต้องเดินทางไปทั่วนานกว่าหลายสิบปี นางต้องการมีครอบครัว มิตรสหาย และคนรัก เพื่อเติมเต็มทุกสิ่งให้สมบูรณ์แบบ นางยังคงต้องการบรรลุการฝึกตนให้สำเร็จ ก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพ เปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจและอิสระเสรีภายในโลกใบนี้… ปรากฏว่านางละโมบอย่างคาดไม่ถึง
ปรากฏว่านางไม่เคยลืมเลือนความเศร้าเสียใจในวัยเด็กเหล่านี้ได้
ตั้งแต่ที่นางมาถึงสำนักเสวียนชิง การเดินทางบนเส้นทางฝึกตนของนางราบรื่นยิ่งนัก นางมักคิดอยู่เสมอว่านางไม่มีความปรารถนาอื่นใดภายในจิตใจ เว้นแต่การพัฒนาบนเส้นทางการฝึกตนเท่านั้น ถึงกระนั้น คาดไม่ถึงว่านางยังคงมีความละโมบซ่อนอยู่ในความคิด ซึ่งนางกดมันลึกไว้อยู่ในจิตใต้สำนึกโดยไม่รู้ตัว
ขณะที่โม่เทียนเกอกำลังครุ่นคิด เหงื่อเย็นเฉียบเริ่มผุดขึ้นมาจากหน้าผากของนาง หากนางไม่ได้เข้าสู่ม่านพลังหมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาติในครานี้ นางคงจะไม่มีทางตระหนักได้ว่ายังคงมีรูรั่วภายในสภาวะจิตใจของนาง หากนางพยายามสร้างขุมพลังโดยไม่ตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ นางจะต้องประสบความยากลำบากในภายหลังเป็นแน่
โชคดีที่ก่อนนางจะสร้างขุมพลัง นางบังเอิญได้เข้าสู่ม่านพลังหมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาตินี้ จึงค้นพบจุดอ่อนในสภาวะจิตใจของนาง หลังจากเรื่องนี้แล้ว นางจะต้องแก้ไขความละโมบในความคิดให้ได้ ก่อนที่นางจะสามารถเดินหน้าเข้าสู่การก่อเกิดแก่นขุมพลัง
เมื่อตั้งปณิธานได้แล้ว โม่เทียนเกอหลับตาลง และใช้เวลาครู่หนึ่งในการปรับการหายใจของนาง จนกระทั่งสภาวะจิตใจของนางกลับมาสู่สภาวะนิ่งสงบแล้ว นางจึงพลันลุกขึ้นในที่สุด และเก็บสมุนไพรวิญญาณที่เติบโตอยู่ในละแวกใกล้เคียง
สำหรับสิ่งที่ต้องทำต่อไป นางกลับรู้สึกกระอักกระอ่วน เยี่ยจิ่งเหวินและหลัวเฟิงเสวี่ยยังคงอยู่ที่นี่ ครั้นเวลาล่วงเลยไป สีหน้าของพวกเขาจะแสดงความเจ็บปวดและความสุขออกมา เห็นชัดว่าพวกเขายังคงอยู่ในบททดสอบห้านิวรณ์พลิกสัมผัส เดิมทีพวกเขาตกลงว่าจะดูแลซึ่งกันและกัน ทว่าสถานการณ์ปัจจุบันของนางนั้นค่อนข้างพิเศษทีเดียว หลังจากนางผ่านบททดสอบที่สองแล้ว นางไม่ได้ล่วงเข้าสู่บททดสอบที่สามในทันที ตามอย่างที่หลัวเฟิงเสวี่ยเคยกล่าวไว้ หากนางยังคงอยู่ที่นี่ นางไม่แน่ใจว่านางจะเผชิญกับภาพหลอนอีกหรือไม่ จะเกิดอะไรขึ้นหากต่อไปนางคิดว่าคนพวกนี้คือศัตรูของนางกันล่ะ
ครั้นเวลาล่วงเลยไป ทว่ายังคงไม่มีผู้ใดในบริเวณนี้ตื่นขึ้นมา พวกเขายังคงฝ่าด่านบททดสอบจิตใจเฉพาะตัวของแต่ละคนอยู่
โม่เทียนเกอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลุกขึ้นและเริ่มเดินเข้าไปยังด้านใน
การอยู่ต่อหรือการจากไปล้วนแต่มีข้อเสียของมันทั้งนั้น นางจึงควรทำตามความปรารถนาของนางเสีย นอกจากนั้น สมุนไพรวิญญาณโดยรอบล้วนแต่มีมากจนนับไม่ถ้วน มันคงจะดีหากนางสามารถเก็บมันได้มากขึ้น
นางเริ่มเดินต่อไป พร้อมกับเก็บสมุนไพรวิญญาณไปตลอดทาง ค่อยๆ เดินเข้าไปไกลยิ่งขึ้น ไกลยิ่งขึ้น จนกระทั่งนางค่อยๆ ลืมไปว่านางกำลังอยู่ที่ใด…