ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 242 หร่วนหมิงจู
ดอกหางนกยูงเบ่งบานกระจายไปไกลสุดสายตา ย้อมสีทางเดินระหว่างกำแพงหินที่ทอดยาวจนกลายเป็นสีแดงเข้ม
คงไม่มีใครคาดคิดว่าภายในภูเขาลูกหนึ่ง จะมีทางเดินลับที่รายล้อมไปด้วยสีแดงที่ไล่สีกัน ชั้นแล้วชั้นเล่า ตั้งแต่สีแดงอ่อน สีชมพู จนเป็นสีแดงเข้ม
โม่เทียนเกอมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง นี่คือต้นหางนกยูงชนิดหนึ่งที่กำลังผลัดใบ ดูจากความอุดมสมบูรณ์ของมันแล้ว บางทีมันคงจะเจริญเติบโตมาตั้งแต่สมัยยุคกลาง
กิ่งไม้จากต้นหางนกยูงที่กำลังผลัดใบน่าจะนำมาใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการขัดเกลาได้ ขณะที่ดอกและผลของมันก็สามารถนำมาใช้ปรุงยาได้ ต้นไม้นี้จึงเป็นดั่งขุมสมบัติอย่างแท้จริง นางเปิดกระเป๋ายาของนาง และเริ่มหยิบผลไม้สุกที่ร่วงหล่นพื้นขึ้นมาอย่างช้าๆ มันคือสิ่งที่มีค่าที่สุดของต้นหางนกยูงที่กำลังผลัดใบ ทันทีหลังจากนั้น นางก็เริ่มเก็บดอกไม้ของมัน นางยังเด็ดเอากิ่งไม้ที่ไม่ระคายกับลำต้นหลัก และใส่เข้าไปในกระเป๋าเอกภพของนางด้วย
เมื่อนางจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น โม่เทียนเกอตั้งใจจะเดินกลับไปตามเส้นทางเดิม ถึงกระนั้น นางพบว่านางไม่อาจำเส้นทางที่พานางมายังที่นี่ได้อย่างแจ่มชัดนัก
ตลอดแนวกำแพงหินนี้มีถนนเล็กๆ อยู่มากมาย สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว มันไม่ยากที่จะจำแนกความแตกต่างของพวกมัน ถึงกระนั้น เมื่อโม่เทียนเกอมาถึงทางแยกตรงหน้า นางกลับพบว่าตนเองลืมไปเสียแล้วว่ามาจากทางไหนกันแน่
นางไม่เคยรู้สึกสับสนเช่นนี้มาก่อน คราแรกนางยังสงสัยด้วยซ้ำว่า ความจริงแล้ว นางยังไม่ผ่านบททดสอบที่สอง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นางไม่อาจจำเส้นทางได้แม้แต่น้อย ทว่าทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้านางยามนี้ดูจริงเหลือเกิน กลิ่นของผืนดิน ความตระการตาของต้นหางนกยูง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่นางได้เห็น ได้ยิน หรือสัมผัส ล้วนแต่สมจริงเกินกว่าจะเป็นสิ่งเท็จได้
หรือว่านี่จะเป็นบททดสอบที่สามกันแน่ นางพินิจพิเคราะห์ ห้าความสับสนรังควานวิญญาณ… ทุกสิ่งตรงหน้านางนั้นเป็นเพียงภาพมายา ทว่ามันช่างเหมือนจริงเหลือเกิน
ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในจิตใจ โม่เทียนเกอพลันตัดสินใจอย่างทันท่วงที นางเลือกบริเวณใต้ร่มเงาของต้นหางนกยูง แล้วจึงนั่งลง
เมื่อคนหนึ่งต้องเผชิญกับสถานการณ์ตรงหน้าที่มิอาจเข้าใจได้ ทางที่ดีที่สุดที่พอทำได้คือรับมือกับมันอย่างมั่นคง นอกจากนี้ ในเมื่อห้าความสับสนรังควานวิญญาณน่าจะเป็นภาพมายา หากนางไม่เห็นสิ่งใด นางก็ไม่น่าจะเป็นอะไร
ในขั้นแรกนางสวมเครื่องรางสงบจิตใจ และกลืนยาสงบจิตวิญญาณ ต่อมาหลังจากได้ไตร่ตรองบางสิ่งแล้ว นางจึงถอดจี้ซ่อนวิญญาณที่นางสวมไว้ที่คอออกมาถือเอาไว้ ครั้นจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อย โม่เทียนเกอที่กำลังนั่งขัดสมาธิ พลันหลับตาของนางลงในที่สุด นางพร้อมแล้วที่จะเผชิญกับบททดสอบที่สาม
แม้จี้ซ่อนวิญญาณจะส่งผลเมื่อสวมใส่ไว้ที่คอเช่นกัน ทว่ามันจะให้ผลดีกว่าหากนางถอดมาถือไว้ในมือ เพราะมันเชื่อมต่อกับเส้นลมปราณของนางโดยตรง
ความรู้สึกที่เหมือนฝันนี้ปรากฎขึ้นมาอีกครา ทันใดนั้น จิตใจของนางพลันพร่ามัว ราวกับว่าสติสัมปชัญญะของนางกำลังจะหลุดลอยออกไป และนางยังรู้สึกเหมือนกำลังจะหลับในไม่ช้า
“ท่านปรมาจารย์!” ขณะที่อยู่ในสภาวะมึนงงนั้น โม่เทียนเกอพลันได้ยินเสียงๆ หนึ่ง
นางลืมตาขึ้น และเห็นเงาของใครบางคนผ่านช่องว่างของกิ่งและใบไม้ของต้นหางนกยูง คนผู้นั้นคือหร่วนหมิงจู!
นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร อีกอย่างทำไมนางถึงตะโกนว่า “ท่านปรมาจารย์”
ความคิดดังว่านั้นยังคงก้องอยู่ภายในจิตใจ ทว่าชั่ววินาทีต่อมา นางพลันรู้สึกว่ามันมิได้แปลกแต่อย่างใด หากหร่วนหมิงจูจะมาอยู่ตรงนี้ เหตุใดนางถึงรู้สึกประหลาดขึ้นมาได้
หร่วนหมิงจูไม่เห็นนาง หล่อนเดินตรงไปพลางจ้องมองจุดหนึ่งข้างกายของนาง และรอยยิ้มอ่อนหวาน ไร้เดียงสาพลันปรากฎขึ้นบนใบหน้านาง ราวกับว่านางกำลังเดินอยู่กับใครบางคน
ถึงกระนั้น เห็นชัดว่าข้างกายนางหาได้มีผู้ใดไม่
“ท่านปรมาจารย์!” หร่วนหมิงจูเอ่ยขึ้นขณะกำลังเดินเข้ามา “ศิษย์พี่ไม่สนใจข้าเลย แต่ท่านก็ไม่ตำหนิเขาสักนิด!”
หลังจากนั้นไม่นาน ราวกับว่านางได้ยินบุคคลที่ยืนอยู่ข้างกายกล่าวบางอย่าง นางจึงเม้มปาก และกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ทำไมข้าต้องเป็นเหมือนศิษย์พี่ด้วย เราเพิ่งเข้าช่วงยี่สิบปีเท่านั้น ทว่าเราสามารถสร้างฐานแห่งพลังได้แล้ว เหตุใดเราจึงต้องกลัวว่าจะไม่มีเวลามากพอในการสร้างขุมพลังด้วยเล่า ข้าว่าศิษย์พี่ต่างหากที่ประหลาด เขายังอ่อนเยาว์แท้ๆ กลับทำตัวเหมือนคนแก่เหลือเกิน!”
นางหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นจึงป้องปากและหัวเราะร่วน ดูร่าเริงเป็นที่สุด “ยังไงก็ช่าง ข้าอยากมีความสุขและเป็นอิสระ การฝึกตนมีประโยชน์เช่นใด มันต้องไม่ใช่การเก็บตัวอยู่ในถ้ำเซ๊ยนสำหรับการปิดประตูแห่งจิตเป็นแน่แท้!”
ในตอนนั้น หร่วนหมิงจูเดินมาถึงหน้าต้นหางนกยูง
นางเงยหน้ามองต้นหางนกยูงสีแดง ทว่าดูเหมือนนางจะไม่เห็นโม่เทียนเกอที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากนางนัก
“โอ้โห! สวยจังเลย! คราวหน้าเราต้องพาศิษย์พี่มาด้วย เขาจะได้เห็นภาพอย่างที่เราเห็นไง!”
หลังจากพูดจบ ใบหน้าของนางพลันมีสีหน้างุนงง ถึงกระนั้น รอยยิ้มก็ค่อยๆ ปรากฎขึ้นมาบนใบหน้าของนางอีกครั้งในครู่ต่อมา “ศิษย์พี่ ข้าจะพาท่านไปดูอะไรดีๆ เอ้า! ไปกันเถอะ ไปกันเถอะ!”
ดูเหมือนนางกำลังฉุดดึงใครบางคนไปตลอดทางที่นางเดินเข้าไปใต้ร่มต้นหางนกยูง
“ดูสิ สวยมากเลยใช่ไหมล่ะ”
เวลาล่วงเลยไปสักพักหนึ่ง ก่อนที่นางจะส่งเสียง “เฮอะ!” และกล่าวด้วยความรำคาญใจ “ศิษย์พี่ ท่านออกมาเที่ยวกับข้าทั้งที ช่วยตั้งใจหน่อยไม่ได้หรือ”
“…”
“แหม!” การที่หร่วนหมิงจูหัวเราะเช่นนี้ ทำให้นางดูเหมือนเด็กสาว นางไม่มีจุดประสงค์อื่นใดแอบแฝง มีแต่เพียงความสุขแสนบริสุทธิ์เท่านั้น “ศิษย์พี่ ท่านจะต้องเฉาตายแน่หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป! ท่านเอาแต่ฝึกตนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน… ข้าไม่คิดว่าท่านอยากมีชีวิตเช่นนั้นหรอก มันน่าเบื่อจะตายไป!”
“ฮ่าๆ !” นางเอื้อมมือออกไปฉุดผู้ไร้ตัวตนนั้น “ศิษย์พี่ ท่านต้องยิ้มให้มากกว่านี้! ท่านหล่อมากเลยเวลาที่ท่านยิ้ม!”
โม่เทียนเกอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง และมองไปที่หร่วนหมิงจู ซึ่งยามนี้อยู่ไม่ไกลจากนางนัก ภาพตรงหน้าของนางพร่าเลือนไปอยู่ชั่วพริบตา มีใครบางคนปรากฎตัวขึ้นข้างกายหร่วนหมิงจูอย่างเงียบเชียบ
เขาผู้นั้นเอื้อมมือไปลูบศีรษะของหร่วนหมิงจู และกล่าว “เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว เจ้าเที่ยวเล่นมามากพอแล้ว กลับกันเถอะ”
หร่วนหมิงจูเมินหน้าหนี “ไม่! ข้ายังไม่อยากกลับ! ศิษย์พี่ มันไม่ง่ายเลยที่เราจะได้ออกมาเที่ยวกันเช่นนี้…”
จี้ซ่อนวิญญาณในมือของโม่เทียนเกอปล่อยกระแสความเย็นออกมา ทำให้นางสั่นเทิ้ม และทำให้จิตใจของนางชัดเจนขึ้นเล็กน้อย ถึงกระนั้น นางยังคงสับสนกับเหตุการณ์ที่ปรากฏเบื้องหน้า
ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งนี้คือของจริงหรือของปลอม นี่เป็นภาพหลอนของหร่วนหมิงจู หรือของนางกันแน่
ทันทีที่ความคิดนี้แล่นวาบขึ้นมาภายในจิตใจ ภาพของคนผู้นั้นที่นางเห็นพลันค่อยๆ จางหายไป โม่เทียนเกอถอนหายใจด้วยความโล่งใจ เห็นชัดว่านางได้รับผลกระทบจากหร่วนหมิงจู เพราะหร่วนหมิงจูกำลังอยู่ในอาการหลอน และโม่เทียนเกอก็กำลังนึกถึงใครบางคนที่ควรอยู่ตรงนั้นเช่นกัน
ครู่ใหญ่ต่อมา สีหน้าของหร่วนหมิงจูพลันเปลี่ยนไปอีกครั้ง เด็กสาวที่เคยอ่อนหวานน่ารักผู้นั้น แปรเปลี่ยนเป็นก้าวร้าวและเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าใจเจ้ากำลังคิดอะไรงั้นหรือ” นางตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว ขณะชี้ไปที่ต้นหางนกยูงเบื้องหน้า “ข้าจะบอกให้นะ เลิกฝันเฟื่องได้แล้ว! ดูสภาพเจ้าสิ! เจ้าอยากแย่งท่านพี่ไปจากข้างั้นหรือ ฝันไปเถอะ!”
“…”
“ยังกล้าหยาบคายกับงั้นหรือ เจ้าพูดถูก ทว่ามันมีปัญหาอะไรกับการที่ข้าเป็นหลานศิษย์ของท่านปรมาจารย์ ข้าเรียกเขาว่าศิษย์พี่ได้ แล้วเจ้าทำได้ไหมล่ะ เว่ยจยาซือ หัดเจียมตัวเสียบ้าง!”
เรื่องนี้… โม่เทียนเกออยากฟังต่ออีกสักหน่อย ทว่าจิตของนางเริ่มพร่าเลือนแล้ว บางครั้งเสียงของหร่วนหมิงจูฟังดูเหมือนแว่วมาจากที่ไกลๆ ทว่าบางครั้งกลับฟังดูเหมือนอยู่ใกล้เข้ามา
“ได้ วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้า คนอย่างเจ้าจะทำอะไรข้าได้” หร่วนหมิงจูซึ่งเข้าใจว่าต้นหางนกยูงตรงหน้าคือเว่ยจยาซือ พลันกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าโกรธแค้น นางเงื้อมือขึ้น และทิ่มแทงกระบี่ไปยังด้านหน้า
เมื่อได้เห็นกิ่งไม้บนต้นหางนกยูงร่วงหล่น โม่เทียนเกออยากลุกออกจากตรงนั้น ทว่านางพบว่าสติของนางกลับพร่ามัว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน
โชคดีที่หร่วนหมิงจูหยุดการเคลื่อนไหวแล้ว สีหน้าของนางเผยความโศกเศร้าออกมา “ท่านปรมาจารย์ ท่านปรมาจารย์ ท่านพูดอะไรกัน”
“…”
“ไม่นะ! อย่าไล่ข้าไปเลย!” นางตะโกน “ท่านปรมาจารย์ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ อย่าไล่ข้าไปจะได้ไหม” นางอ้อนวอนขณะจ้องมองบุคคลผู้ไร้ตัวตน
“ศิษย์พี่ ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าพูดกับท่านปรมาจารย์ที! ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าเพียงแต่จะสั่งสอนนาง ข้าไม่คิดว่าการโจมตีของข้าจะรุนแรงถึงเพียงนั้น…”
“การบอกให้ข้าไปอยู่ลานแยก มันต่างจากการไล่ข้าตรงไหนกัน ท่านปรมาจารย์ โปรดเห็นแก่พ่อของข้าและให้อภัยข้าในครานี้จะได้ไหม ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำเช่นนี้อีก ครั้งนี้ข้าสัญญาจริงๆ !”
นางคู้ตัวลง และเริ่มร่ำไห้ ทำให้ใบหน้าของนางเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางพลันปาดน้ำตาบนใบหน้า “พวกท่านไม่ยอมให้ข้ากลับไป ก็ได้ ข้าจะไม่กลับไปอีก! พวกท่านจะต้องมามารับตัวข้ากลับไปไม่ช้าก็เร็ว!”
ทว่านางกลับรู้สึกผิดหวัง จากท่าทีแข็งกร้าวในตอนแรก ท่าทางของนางค่อยๆ หม่นหมอง และเพียงแต่นั่งอยู่ตรงนั้นเองในความงุนงง
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางพลันยิ้มดีใจในที่สุด “ข้ากลับไปได้แล้วหรือ ข้ากลับไปได้จริงๆ หรือ” จากนั้นนางก็หัวเราะอย่างพึงพอใจ “ข้าว่าแล้วเชียว! ท่านปรมาจารย์กับศิษย์พี่รักข้ามากที่สุด พวกเขาไม่มีวันยอมให้ข้าอยู่ที่นี่ตามลำพังเป็นแน่!”
“ท่านปรมาจารย์!” นางร้องเรียกขณะทะยานตัวขึ้นจากพื้น ทว่าชั่วพริบตาต่อมา รอยยิ้มบนใบหน้าของนางพลันแข็งทื่อ “ท่านปรมาจารย์ ท่านยังอยากไล่ข้าไปอีกหรือ”
นางเริ่มตะโกน “ทำไม มันผ่านมาหกสิบปีแล้ว นั่นยังไม่เพียงพออีกหรือ การทอดทิ้งข้าไว้ที่นั่นยังเป็นการลงโทษไม่เพียงพอหรือ ข้าไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกแล้ว!”
“ศิษย์พี่!” ดูเหมือนนางจะเห็นบางสิ่ง นางจึงพยายามคว้าสิ่งนั้นอย่างฉุนเฉียว “ศิษย์พี่ ข้ากลับมาแล้ว ข้า…”
รอยยิ้มบนใบหน้าของนางฉาบอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นความกังขา “ศิษย์พี่ ท่านพูดอะไรออกมา แม้แต่ท่านก็ด้วย…”
นางทรุดตัวนั่งลงกับพื้น พึมพำกับตนเอง “พวกท่าน… พวกท่านไม่รักข้าแล้วหรือ เหตุใด เหตุใดท่านถึงยังไม่ยอมยกโทษให้ข้า ทั้งที่มันผ่านมาเนิ่นนานแล้ว เหตุใดพวกท่านถึงโทษว่าเป็นความผิดข้า แม้ข้าจะเคยทำสิ่งใดผิดก็ตาม ท่านก็ให้อภัยข้าเสมอ ทว่าครานี้ ท่านจะไม่ยอมยกโทษให้ข้าอีกแล้วหรือ”
หยดน้ำตาบนใบหน้าที่ซูบซีดของนาง ค่อยๆ ร่วงเผาะลงมากระทบกับมือ ยามนี้นางไร้เรี่ยวแรงที่จะร้องไห้ออกมาดังๆ เสียด้วยซ้ำ แววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“ข้า… ข้าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ไม่มีใครรักข้าเลย แม้แต่ท่านปรมาจารย์และศิษย์พี่ของข้า ต่างก็ไม่รักข้า…” นางค่อยๆ เลื่อนสายตาขึ้นไป และไปหยุดอยู่ที่หนึ่ง ราวกับนางเห็นบางสิ่งบางอย่าง
ครั้นเวลาล่วงเลยไป ดวงตาของนางค่อยๆ เต็มไปด้วยความเกลียดชังและความโศกเศร้า “พวกท่านคงจะหาใครมาแทนที่ข้าได้แล้วสินะ อาจารย์ลุงโม่อย่างนั้นหรือ ท่านปรมาจารย์ ศิษย์พี่ มองหน้าข้าสิ ข้าหมิงจูไง ข้าคือหมิงจูที่ท่านรักใคร่เอ็นดูแต่เพียงผู้เดียวไง! ท่านปรมาจารย์…”
“ไม่ ท่านไม่รักหมิงจูแล้วหรือ ข้าไม่ยอม! เห็นชัดว่าเป็นของข้า… ท่านปรมาจารย์เป็นของข้า ศิษย์พี่ก็เป็นของข้าเช่นกัน!” ท่าทางโหดเ**้ยมปรากฎขึ้นบนใบหน้าของหร่วนหมิงจู ขณะที่นางค่อยๆ หันหน้ามา นางอยู่ไม่ไกลจากโม่เทียนเกอ ซึ่งยังคงนั่งอยู่ใต้ร่มของต้นหางนกยูง
“เว่ยจยาซือ เจ้ามาหัวเราะเยาะข้าหรือ เฮอะ!” จากท่าทางของหร่วนหมิงจูแล้ว นางคงเห็นโม่เทียนเกอเป็นเว่ยจยาซือไม่ผิดแน่
โม่เทียนเกอยังคงลืมตาอยู่ นางรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทว่านางมิอาจบอกได้ว่ามันคือสิ่งใด
หร่วนหมิงจูหยิบกระบี่ของนางและลุกขึ้น นางกล่าว “หากข้าสั่งสอนเจ้าอีกสักคราเล่า อย่างที่เจ้าพูดนั่นแหละ ข้ามันไม่เหลืออะไรแล้ว!”
โม่เทียนเกอมองดูอย่างช่วยไม่ได้ ขณะที่หร่วนหมิงจูเงื้อมือของนางขึ้น นางมองดูอย่างช่วยไม่ได้ ขณะที่หร่วนหมิงจูทิ่มแทงกระบี่ไปข้างหน้า
พริบตานั้น โม่เทียนเกอเคลื่อนไหวได้ในที่สุด นางยกมือขึ้นปัดป้องพลังของกระบี่เล่มนั้นด้วยลำแสงแห่งพลังจิตวิญญาณ ถึงกระนั้น การเคลื่อนไหวของนางทำให้สิ่งของที่อยู่ในมือต้องร่วงหล่นกระทบกับพื้น
หร่วนหมิงจูย่อตัวลงเก็บสิ่งของนั้นขึ้นมา
สิ่งนั้นคือจี้หยกสีอ่อน มันประดับประดาไปด้วยลวดลายเมฆา และมีเชือกสีแดงผูกติดอยู่ บริเวณตรงกลางอีกด้านของหยกชิ้นนั้น มีรอยสลักเล็กๆ เขียนว่า “ฉิน”
ดวงตาของหร่วนหมิงจูเบิกโพลง คราแรกนางดูประหลาดใจ ทว่าไม่ช้า สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นความกังขา ท้ายที่สุดแล้วสีหน้าของนางพลันหม่นหมอง และเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แม้แต่นิ้วของนางสั่นระรัวด้วยความโกรธเคือง “ศิษย์พี่… ศิษย์พี่ ท่านมอบจี้หยกนี้ให้ผู้อื่น… ท่าน…”
สายตาของนางพลันค่อยๆ สงบนิ่งลง นางหันไปมองโม่เทียนเกอ แม้จะไม่แน่ชัดว่านางกำลังพูดกับโม่เทียนเกอ หรือพูดกับตนเองอยู่กันแน่ นางกล่าว “ท่านปรมาจารย์กับศิษย์พี่เกลียดข้า คนอื่นๆ ในสำนักก็ล้วนแต่ดูถูกข้า… ข้าจะทนเป็นหร่วนหมิงจูต่อไปทำไม ไม่ ข้าไม่อยากเป็นหร่วนหมิงจูแล้ว” ความมืดมนปรากฏขึ้นในสายตาของนาง และสายตานั้นเองพลันจับจ้องไปที่ใบหน้าของโม่เทียนเกอ “การเป็นเจ้านี่มันดีจริงๆ ลูกศิษย์ของท่านปรมาจารย์สามารถเรียกเขาว่าศิษย์พี่ได้อย่างเปิดเผย… เจ้ายังมีทักษะเก่งกาจ บางทีในอีกหลายสิบปี ข้าอาจก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้น…” รอยยิ้มชวนฝันเปล่งประกายขึ้นบนใบหน้าของนาง “เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะเป็นเจ้าเอง…”