ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 245 ความลับที่น่าอาย
เขาไม่เคยปฏิเสธความเลื่อมใสที่มีต่อสตรีนางนี้ได้เลย
บางทีอาจเป็นเพราะหมิงจู หรืออาจเป็นเพราะบรรดาผู้ที่เลื่อมใสเขา ทว่าเขาไม่เคยมองสตรีอย่างจริงจังสักที เขามักคิดอยู่เสมอว่า แม้พวกนางจะมิได้มีความสามารถด้วยกว่าบุรุษเพศ ทว่าจิตใจของพวกนางกลับเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายอยู่เป็นประจำ นอกจากผู้ที่ได้รับเลือก ซึ่งมีจำนวนเพียงหยิบมือนั้น ที่เหลือไม่ได้เหมาะสมกับการเป็นผู้ฝึกตนนัก
ทว่ากับโม่เทียนเกอ… เขารู้สึกได้ว่านางคือหนึ่งในหยิบมือนั้นที่มีความพิเศษ
นางเป็นคนขยัน แม้ว่าความสามารถจะจัดว่าไม่เอาไหน แทนที่จะมัวรำพันกับชะตาชีวิตตัวเอง นางกลับขยันมากขึ้นกว่าใครๆ แม้แต่หลังจากที่นางรู้ว่าตนเองมีความสามารถเหนือกว่าผู้อื่นแล้ว นางก็ไม่เคยหยุดพักแม้แต่น้อย นางเป็นคนตั้งใจจริง ตั้งแต่เขาได้รู้จักกับนาง เขาไม่เคยเห็นนางปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสิ่งไหน นางมุ่งมั่นกับการฝึกตน มุ่งมั่นอยู่บนเส้นทางของนางเท่านั้น นางเคารพตนเอง ตั้งแต่ตอนที่นางเป็นเพียงผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณตัวน้อย ซึ่งมิได้มีสิ่งใดทั้งนั้น นางมักจะมุ่งมั่นฝึกตนเพื่อก้าวต่อไปสู่เส้นทางการเป็นเซียน แทนที่จะทรยศเกียรติและศักด์ศรีของตนเองอยู่เสมอ นางยังค่อนข้างฉลาดเสียด้วย แม้ว่าจะทำเรื่องผิดพลาดและเลือกทางผิดไปบ้าง นางก็เก็บความผิดพลาดมาเป็นบทเรียนเพื่อเรียนรู้เสมอ
ตั้งแต่วันที่เขาได้รู้จักกับนางจนกระทั่งถึงปัจจุบัน นางเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากผู้ฝึกตนที่ไม่มีความโดดเด่นใดในคุนอู๋ จนกลายเป็นศิษย์ชั้นยอดอย่างแท้จริงในกลุ่มผู้ฝึกตนขนาดใหญ่ ความขยันและความเพียรพยายามของนางไม่เคยเปลี่ยนแปลง หากแต่ประสบการณ์และทักศะในการรับมือกับสิ่งต่างๆ พลันเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ตัวเขาจะมีส่วนร่วมในการเติบโตของนาง ทว่าพรสวรรค์และความพยายามของนางนั้น เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ความจริงแล้ว หากมองจากมุมหนึ่ง นางช่างโชคดียิ่งนัก พวกเขาล้วนแต่คิดว่านางเสียรากวิญญาณไปโดยเปล่าประโยชน์ ทว่านางกลับเป็นอัจฉริยะที่ฟ้าประทานมา ยิ่งไปกว่านั้น นางยังได้รับความดีความชอบจากผู้ฝึกตนแห่งเทพ จึงได้รับทรัพย์สมบัติพิเศษหลายอย่างด้วย
ถึงกระนั้นก็ตาม นางก็ขยันเป็นอย่างยิ่ง นางจึงคู่ควรกับผลลัพธ์เช่นนั้นอย่างแท้จริง
ความจริงแล้ว ในบรรดาผู้ฝึกตนที่มาได้ไกลขนาดนี้ มีผู้ใดที่ไม่ประสบความสำเร็จจากความพยายามและโชคที่ดีบ้างเล่า อาจารย์ของเขาถือได้ว่าไม่มีโชคใดๆ ทว่าเขากลับพัฒนาได้ด้วยการฝึกตนของเขา อย่างไรก็ตาม เขา็มีสมบัติหลายอย่างที่เอาไว้ใช้ในการต่อสู้ด้วยพลังเวท และสมบัติเหล่านี้ล้วนแต่เป็นรากฐานที่เขาต้องการเพื่อยืนหยัดบนโลกใบนี้ อาจารย์ลุงเจิ้นหยาง อาจารย์ลุงเมี่่ยวอี หรือแม้แต่ศัตรูคู่แค้นของเขาอย่างอาจารย์ซงเฟิง มีใครบ้างที่ไม่ได้เผชิญกับโอกาสที่ถูกชะตาลิขิตไว้ และได้รับทรัพย์สมบัติมาบ้างเล่า เขาเองก็ไม่ต่างกัน
ทุกคนในคุนอู๋ตะวันตกต่างบอกว่า ฉินโส่วจิ้งเป็นยอดอัจฉริยะแห่งขั้วท้องฟ้า ที่ยากจะปรากฎขึ้นในรอบสหัสวรรษ ทว่าในความเป็นจริงหรือ ความเก่งกาจของเขามาจากการมีรากวิญญาณสองชิ้น แม้ว่ารากวิญญาณทั้งสองของเขาจะยอดเยี่ยม ทว่าเขาจะอยู่เหนืออัจริยะตัวจริง ที่มีรากวิญญาณเดี่ยวหรือมีรากวิญญาณกลายพันธุ์ได้อย่างไร แม้ว่าเขาจะมีจิตใจอันบริสุทธิ์ และไม่เคยพบกับจุดติดขัดแต่อย่างใด ทว่าเขามิได้เหนือไปกว่าอัจฉริยะเหล่านั้น
ก่อนที่เขาจะสร้างฐานแห่งพลังงานได้ ทุกสิ่งล้วนเกิดจากความขยันหมั่นเพียรของเขา ทว่าการสนับสนุนจากอาจารย์ของเขาก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน หลังจากที่เขาสร้างฐานแห่งพลังงานได้แล้ว เขามักจะออกไปฝึกจิตและฝ่าฟันโชคชะตาด้วยอยู่บ่อยครั้ง เพราะเขารู้สึกว่าเขาไม่อาจพึ่งพาอาจารย์ของเขาไปได้ตลอดทั้งชีวิต
โชคของเขาค่อนข้างดี และเขาเองก็ปราดเปรื่องอยู่แล้ว เขาจึงสามารถเผชิญกับโชคชะตาฟ้าลิขิตทั้งหลายได้อย่างราบรื่น และได้รับทรัพย์สมบัติศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก ซึ่งรวมไปถึงลูกประคำวิญญาณพลังหยาง และกระบี่อัคนีสามพลังหยางด้วย
เขาสร้างขุมพลังได้เมื่ออายุเจ็ดสิบแปดปี พวกที่ไม่เข้าใจชีวิตของเขาต่างประหลาดใจ ที่ผู้ฝึกตนซึ่งมีรากวิญญาณสองชิ้นเช่นเขา สามารถก้าวผ่านความทรหดเช่นนั้นได้สำเร็จ ทว่าความจริงน่ะหรือ เขาทำสำเร็จ เพียงเพราะเขามีลูกประคำวิญญาณพลังหยางต่างหาก
ลูกประคำวิญญาณพลังหยางเป็นสมบัติพิเศษชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากการรวมตัวของพลังวิญญาณบนโลก มันถูกสร้างขึ้นจากการควบแน่นของพลังวิญญาณหยางที่บริสุทธิ์อย่างมาก มันมีขนาดเล็กยิ่งนัก ทว่ามันก็ดูดซับเส้นเลือดวิญญาณบางชนิดในคุนอู๋ไปทั้งหมด จนทำให้เส้นเลือดวิญญาณนั้นกลายเป็นยอดเขาธรรมดาที่ไม่มีพลังวิญญาณแม้แต่น้อย ต่อมา มันฝังตัวอยู่ตามที่ต่างๆ เป็นเวลากว่าแสนปี จนกระทั่งเขาได้ค้นพบมัน
ดังนั้น เมื่อได้รับลูกประคำวิญญาณพลังหยางมาแล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องดูดซับพลังวิญญาณจากภายนอกอีกต่อไป เพราะจากมุมมองหนึ่งนั้น อาจกล่าวได้ว่าเขามีเส้นเลือดวิญญาณอยู่ภายในร่างกายของเขาอยู่แล้ว
มันเป็นเพียงเพราะสมบัติที่ไม่เหมือนใครเช่นนั้น ที่ทำให้การฝึกฝนตนของเขาก้าวกระโดดไปได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เขาก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้อย่างราบรื่น เมื่อเขาอายุได้เพียงเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หากเป็นผู้อื่น พวกเขาจะได้รับสมบัติอันมีเอกลักษณ์เหล่านี้ และเผชิญหน้ากับโชคชะตาฟ้าลิขิตทั้งหลายเช่นกันหรือไม่ บางครั้งถึงแม้จะเป็นชะตาที่ฟ้าลิขิต และสมบัติพิเศษนั้นจะปรากฏกายอยู่ตรงหน้า ทว่าบางคนก็ไม่อาจคว้ามันมาครอบครองได้ หากไม่เพียรพยายามให้มากพอ
บรรดาผู้ฝึกตนที่แสนเกียจคร้านซึ่งมีระดับการฝึกฝนที่สูงกว่าเขา ทว่ากลับไร้ซึ่งความสามารถหรืออับโชคเหล่านั้นก็ดี หรือบรรดาผู้ฝึกตนที่หาได้มีความเพียรไม่ เพราะพวกเขามัวแต่อาศัยพรสวรรค์เหล่านั้นก็ดี ทั้งหมดจะไม่มีทางเข้าใจในหลักการนี้ได้
ด้วยเหตุนี้เอง จากแง่มุมหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่าเขาชื่นชมในสตรีนางนี้ เพราะนางทำให้เขาเห็นตัวเองอยู่ภายในตัวของนาง
อาจารย์ของเขากล่าวไว้ว่า ผู้คนที่ตรงกันข้ามหรือคล้ายกัน จะรู้สึกสงสัยใคร่รู้ในกันและกันได้ง่ายดาย ทว่าในทางกลับกัน ความสงสัยใคร่รู้นี้เองคือก้าวแรกสู่จุดเริ่มต้นของความเสน่หา
เดิมทีเขาไม่ได้เชื่ออาจารย์ของเขา ทว่าตอนนี้เขาไม่มีทางอื่นนอกจากเชื่อคำพูดนั้น
เขาเริ่มเห็นนางเป็นสตรี แทนที่จะเป็นเด็กน้อยตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
บางทีมันอาจเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่พวกเขามาถึงสำนักเสวียนชิง และเขาได้หวนคืนสู่สถานะเดิมของตัวเอง หรือมันอาจเริ่มต้นระหว่างช่วงสามสิบห้าปีที่แสนยาวนานนั้น เขาอยากระลึกเรื่องนี้ให้ได้ หากแต่เขาไม่สามารถจำมันได้อย่างชัดเจน บางครั้งเขารู้สึกว่าความรู้สึกเหล่านี้ดูจะไม่มีเหตุผลเลยเสียด้วยซ้ำ และอยู่ๆ มันก็ผุดขึ้นมาอย่างกะทันหันด้วย
เพราะเขาชื่นชมนาง เขาจึงรู้สึกสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตัวนาง เพราะเขาสงสัยใคร่รู้ในตัวนาง ทำให้เขาสนใจในตัวนาง เพราะเขาสนใจในตัวนาง ความคิดของเขาจึงมักเกี่ยวกับนางอยู่บ่อยครั้ง ครั้นเวลาล่วงเลยไป ความคิดของเขาที่เกี่ยวกับนาง พลันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด เขาก็ไม่อาจเลิกคิดถึงเรื่องของนางได้อีก
บางเวลาเขาก็ครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้อย่างรอบคอบอีกครั้ง เป็นไปได้ไหมว่าเพราะนางโตเป็นสาวแล้วในตอนที่พวกเขาเจอกัน การพบกันของพวกเขาช้าไปถึงเจ็ดปี ทำให้นางมีเวลามากพอที่จะเติบโตขึ้น เพราะฉะนั้น ในคราแรก แม้เขาจะยังคิดว่าเด็กคนนั้นเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ทว่าในใจของเขากลับชัดเจนนัก นางเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และนางไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไป
นางมองเขาในฐานะผู้ฝึกตนจากดินแดนเดียวกัน นางจึงหยอกล้อกับเขา เล่าประสบการณ์ต่างๆ ของนาง และแม้แต่หารือเรื่องความกังวลใจของนางด้วย ความสุขกายสบายใจนี้เองที่ทำให้เขามีความสุข
จิตใต้สำนึกของเขาต้องการปิดบังตัวตนไม่ให้นางรู้ เพราะเขาชอบความรู้สึกที่ได้อยู่ในระดับเดียวกับนาง เขามักคิดเสมอว่าหากเขาบอกความจริงกับนาง ระยะห่างระหว่างพวกเขาจะต้องเพิ่มขึ้นในชั่วพริบตา และนางเองก็คงไม่เชื่อเขาอย่างที่เคย
เขาบอกจงมู่หลิงว่าหากเขาไม่ได้ปิดบังตัวตนของเขา นางคงไม่ได้อยู่ที่สำนักเสวียนชิงเป็นแน่ ความจริงแล้ว นั่นเป็นเพียงเหตุผลหนึ่งเท่านั้น เมื่อครานั้น นางเปรียบเสมือนนกน้อยที่ตกใจแม้กระทั่่งเสียงง้างอันแผ่วเบาของคันธนู หากนางรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา นางคงจะคิดหาทุกวิถีทางเพื่อจะหนีไป ถูกต้องไหม แม้นางจะเชื่อใจฉินซีอยู่บ้าง ทว่านางไม่มีทางเชื่อใจฉินโส่วจิ้งได้เป็นแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่นางหนีไปเมื่อครานั้น
ยามที่เขาเข้าไปช่วยนางในเหตุจลาจลสัตว์อสูรนั้น เขาไม่ได้คิดอะไรในเรื่องนี้มากนัก ท้ายที่สุดแล้วเขามีความรู้สึกอันท่วมท้นต่อนางหรือไม่กันนะ มันให้ความรู้สึกราวกับว่าเรื่องนั้นได้ผ่านมานานเหลือเกิน จนเขามิอาจจำได้เท่าไรนัก ถึงกระนั้นก็ตาม เขามั่นใจว่าตัวเขาไม่ได้คิดเกี่ยวกับการฝึกตนร่วมสัมพันธ์หรือสิ่งที่คล้ายกันในยามนั้นเลย
เขาไม่มีทางตกหลุมรักผู้ฝึกตนที่เพิ่งสร้างฐานแห่งพลังงานได้ แม้นางจะมีพรสวรรค์ที่ไม่เหมือนใครก็ตามที ช่องว่างของอายุที่ห่างกันกว่าร้อยปีไม่ได้ส่งผลต่อผู้ฝึกตนมากนัก และทั้งสองก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดด้วย เขาและพ่อของนางเป็นเพียงสหายกันเท่านั้น และถึงแม้จะสนิทชิดเชื้อเพียงใดก็ตาม อายุของพวกเขาก็ต่างกันมากกว่าร้อยปี เรื่องความอาวุโสน่ะหรือ สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นปัญหาแต่อย่างใด มีเพียงเรื่องเดียวที่เขาไม่อาจเพิกเฉยได้ นั่นคือความแตกต่างในระดับการฝึกตนของพวกเขา
“…”
เขาย้อนนึกเรื่องราวในอดีตอย่างใจเย็น มองลึกเข้าไปในหัวใจของเขา เพื่อหาร่องรอยแห่งอดีต ทว่าเขากลับพบว่าเหตุผลนั้นง่ายมาก เขามิได้เจนโลกเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้น แนวคิดประโยชน์นิยมแห่งผู้ฝึกตนนั้นหยั่งรากลึกอยู่ในเลือดเนื้อของเขา แม้ใจของเขาจะประทับใจนางเพียงใด ทว่าเขาฉินโส่วจิ้ง ผู้เป็นความหวังในอนาคตของสำนักเสวียนชิง ไม่ต้องการแต่งงานกับสตรีที่เพิ่งสร้างฐานแห่งพลังงาน และมีชะตากรรมอันเลือนรางบนเส้นทางสู่ความเป็นเซียน
สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวที่เขาจำได้ในวันนี้ หลังจากพยายามนึกถึงทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้น ทว่าสิ่งเหล่านี้กลับเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยนึกถึงมาก่อนในอดีตเช่นกัน
ต่อมา เมื่อเขาเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน และบังเอิญได้พบกับผู้ฝึกตนแห่งเทพทั้งสอง เขากลับจำต้องทนรับความอัปยศอดสูเช่นนั้น
เดิมทีเขาเคยคิดว่าตนเองมองนางจากที่ที่สูงกว่า เขาประทับใจบางอย่างในตัวนาง ทว่ามันยากที่จะโน้มน้าวตนเองให้ละอคติที่มีต่อระดับการฝึกตนของนางได้ ถึงกระนั้น ปรากฏว่าเขาเป็นเพียงร่างเตาหลอมให้ผู้อื่นเท่านั้น
“ร่างเตาหลอม” คำนี้ถือเป็นความอัปยศอดสูอันยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับบุรุษเพศ
และเรื่องนี้เองที่ส่งผลต่อฉินโส่วจิ้ง ผู้คิดว่าตนเองสูงส่งเสมอมา และไม่อาจเห็นผู้ต่ำต้อยกว่าอยู่ในสายตาได้
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาฝึกตนอย่างบ้าคลั่ง เขาต้องการให้ผู้ฝึกตนแห่งเทพทั้งสองได้รู้ว่า เขาฉินโส่วจิ้ง สามารถยืนหยัดทัดเทียมพวกเขาได้ เขาสามารถพิชิตพวกเขาได้เสียด้วยซ้ำ และก้าวเข้าสู่ลัทธิเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้ในท้ายที่สุด
อย่างไรก็ตาม อาจารย์ของเขากลับบอกว่าตัวเขากำลังล่วงเข้าสู่กำแพงปีศาจ และเขาจะต้องคิดให้รอบคอบถึงความเรียบง่ายยามที่เขาเริ่มฝึกตน
ในตอนนั้น เขาไม่ได้ฝึกฝนเพราะเหตุผลใดเป็นพิเศษ เขาเพียงแต่ต้องการฝึกตนเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดฉุดรั้งเขาไว้ได้ และเขาไม่เคยหลงใหลในสิ่งใดแม้แต่น้อย เขาเพียงแต่ฝึกฝนต่อไปอย่างเต็มที่
ทว่าตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว
ตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่รับรู้ถึงสภาพจิตใจที่เปลี่ยนไป เขาไม่ใช่ฉินโส่วจิ้ง ผู้ที่ไร้ซึ่งความรู้สึกท่วมท้นภายในจิตใจ ผู้ที่ไม่รู้รสชาติแห่งความหลงไหล และผู้ที่มีหัวใจบริสุทธิ์แห่งเต๋า รวมถึงครอบครองความปรารถนาอีกน้อยนิดอีกต่อไป
เมื่อเขาเปลี่ยนไปแล้ว เขาจะกลับไปเป็นคนเดิมได้อย่างไร
เขาพยายามสงบสติอารมณ์ ทำให้เมื่อเขาเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตในครานี้ มันจึงยาวนานถึงสามสิบห้าปี
ในช่วงสามสิบห้าปีที่ผ่านมา เขาได้ตกหลุมพรางที่ตัวเองสร้างไว้ และท้ายที่สุดแล้วเขาถูกกักขังเอาไว้อยู่ภายใน ยิ่งเขาอยากพิสูจน์ตัวเองมากเท่าไร หรือความรู้สึกในจิตใจของเขามันแน่ชัดมากเท่าไร เขาก็ยิ่งหมกมุ่นมากเท่านั้น และมันก็ยิ่งยากที่จะทลายกำแพงปีศาจนี้ลงได้
ตัวเขาในเวลานี้ค่อยๆ ไตร่ตรองความคิดทั้งหลาย ที่เขาไม่เคยได้พิจารณาอย่างรอบคอบในอดีตทีละน้อย เขาสำรวจทุกซอกทุกมุมของความทรงจำและจัดระเบียบมัน โดยไม่คำนึงถึงว่าความคิดเหล่านี้มันเคยน่าอับอายเพียงใด
เดิมทีเขาเคยคิดว่าเขาสามารถอยู่เช่นนั้นได้ตลอดทั้งชีวิต ทุ่มเทตัวเองให้กับเส้นทางสู่การเป็นเซียน อยู่ตัวคนเดียวไปตลอดทั้งชีวิต และสามารถก้าวถึงลัทธิเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้ในท้ายที่สุด
หรือบางที เขาอาจรักสตรีสักนางหนึ่งอย่างแท้จริง ไม่ว่านางจะเป็นใครหรือมีสถานะอะไร พวกเขาจะอยู่ด้วยกัน ตราบจนชั่วชีวิตของพวกเขา และตายจากไปพร้อมกัน
ปรากฏว่า จิตใจของเขาไม่ได้ซื่อตรง หรือสูงส่งและเปี่ยมคุณธรรมอย่างที่เขาคิด
เขามีความรู้สึกให้กับสตรีนางหนึ่ง ทว่าเขาติดอยู่ในกับดักอคติว่าด้วยระดับการฝึกตนของพวกเขา เขาพอใจกับความรู้สึกเหนือกว่า ที่เขาได้เฝ้ามองดูนางจากเบื้องบน ด้วยอัตตาและความรู้สึกเหนือชั้นกว่าของเขา เขาจึงตั้งหน้าตั้งตาฝึกตน เพื่อที่วันหนึ่งเขาจะเฝ้ามองดูนางจากเบื้องบนได้อีกครั้ง
เขามีอารมณ์ที่มืดมนเช่นนี้ได้อย่างไร อาจเป็นเพราะเขาไม่อาจปล่อยนางไปได้ และเหนืออื่นใดทั้งหมด เขาไม่สามารถละทิ้งความหยิ่งในศักดิ์ศรีอันน่าขันของเขา และไม่ต้องการยอมรับว่าเขามีใจให้กับนางด้วย หรืออาจเป็นเพราะว่าเดิมทีเขาเป็นพวกแนวคิดประโยชน์นิยม และไม่ได้ต่างจากผู้ฝึกตนคนอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย
อาจารย์ของเขาพูดถูก เขาได้ล่วงเข้าสู่กำแพงปีศาจแล้ว เขาเคยคิดว่าหากตัวเองฝึกตนอย่างเต็มที่ จนกระทั่งเขาก้าวถึงดินแดนจิตวิญญาณใหม่ได้ เขาจะสลัดความลับที่น่าอายเหล่านี้ออกไปได้ ขณะที่ในความเป็นจริงแล้ว เขาเพียงแค่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่ถูกต้องมาตลอด
อย่างไรก็ตาม แม้ตอนนี้เขาจะเข้าใจหัวใจของตัวเองแล้ว ทว่าเขาจะยังไม่เอ่ยสิ่งเหล่านี้ออกมาดังๆ ในยามนี้
หากเขาบอกความรู้สึกของเขากับนางในยามนี้ มันต่างอะไรจากการหลอกใช้นางกัน หากเขาไม่อาจสร้างจิตวิญญาณใหม่ให้ตัวเองได้ ทว่ากลับอยากอยู่กับนางแล้วไซร้ นั่นก็เหมือนกับต้องการหลอกใช้นางเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความหลงใหลนี้ เพื่อที่เขาจะได้สร้างจิตวิญญาณใหม่ได้อย่างราบรื่นไม่ใช่หรือ เขาไม่ต้องการทำสิ่งที่น่ารังเกียจเช่นนี้ ไม่เลยแม้แต่น้อย
นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาทำได้ และเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขายืนหยัดได้ หลังจากยอมจำนนต่อความลับทั้งหมดของเขาแล้ว
ท้ายที่สุดแล้ว คนผู้หนึ่งต้องเดินบนเส้นทางแห่งเต๋าสู่ความเป็นเซียนด้วยตนเอง เขาจะฝากความหวังของเขาไว้กับวิถีนอกรีตเช่นนี้ได้อย่างไร แม้ว่าเขาจะรักนาง ทว่าการฝึกตนเพื่อเป็นเซียนยังคงเป็นความปรารถนาในชีวิตของเขาอยู่ดี
สำหรับนางแล้ว นางคงไม่ต้องการความรู้สึกใดๆ ที่ข้องเกี่ยวกับทางโลกอีกแม้แต่น้อย
ดังนั้น หากเขารักนาง หากเขาไม่อาจปล่อยนางไปได้ เขาทำได้เพียงแต่รอจนกว่าตนเองจะสามารถสร้างจิตวิญญานใหม่ของเขาขึ้นมา และนางสามารถสร้างขุมพลังของนางได้เท่านั้น เมื่อถึงตอนนั้น เขาเพียงแค่เอ่ยถามนางว่า นางยินดีจะร่วมหนทางสู่ความเป็นเซียนด้วยกันกับเขาหรือไม่
หากนางยินดี ความหวังที่เขาทะนุถนอมมายาวนานก็จะเป็นจริง หากนางไม่ยินดี มันเพียงแต่แปลว่าพวกเขาไม่ได้เกิดมาคู่กันในชาตินี้เท่านั้น