ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 246 สองร้อยปี
ครู่หนึ่งต่อมา เสียงของสตรีหัวเราะคิกคักดังขึ้นภายในตำหนักซ่างชิง
ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังสตรีเพศรูปงามหลายคนวิ่งหยอกล้อกันไปมา ขณะที่พวกนางกำลังจะวิ่งเข้าไปในบ้านพักหมิงชิน พวกนางพลันหยุดชะงักด้วยความตกใจ จ้องมองชายที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดนั้น ราวกับว่าเขาได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับเสาสลักลายมังกร
“อาจารย์ลุงโส่วจิ้งหรือ” เซียนซูกล่าวพลางกะพริบตา ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น
นางมองหน้าไต้ฮว่า จากนั้นจึงหันไปมองซิ่วฉินและชิงฉี
ฉินซีขยับเล็กน้อย เขากวาดสายตาไปยังพวกนาง และกล่าวว่า “พวกเจ้ารู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”
ท่าทางของเขานั้นเย็นชามาก จนทำให้ผู้ฝึกตนหญิงทั้งสี่คนเงียบไปชั่วขณะ พวกนางกลัวจนไม่กล้าตอบคำถามเล็กน้อย จนท้ายที่สุดซิ่วฉินกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “เราได้ยินว่า… อาจารย์ลุงโม่เกิดเรื่องขึ้นภายในม่านพลังหมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาติ”
“ทั้งที่รู้เช่นนี้แล้ว ทำไมยังส่งเสียงโหวกเหวกกันอีก” น้ำเสียงของเขาไม่ได้ตำหนิแม้แต่น้อย ทว่ามันช่างไร้ซึ่งความไยดียิ่งนัก เย็นชาราวกับว่าเขากลายเป็นเสาหิน
“…” ยังคงเป็นซิ่วฉิน ซึ่งอาวุโสที่สุดท่ามกลางคนทั้งสี่ที่กล่าวตอบ “เจ้าค่ะ จากนี้ไปเราจะระวังให้มากขึ้น” ำ
ฉินซีเบนหน้าไปทางอื่นพลันหลับตาลงโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีก ราวกับว่าเขาไม่ต้องการกังวลถึงสิ่งอื่นใดอีกต่อไป
ซิ่วฉิน ชิงฉี เซียนซู และไต้ฮว่ามองหน้ากันและกัน ท้ายที่สุดพวกนางโค้งคำนับเขา จากนั้นจึงเดินเข้าไปในบ้านพักหมิงชิงอย่างสำรวม
“ช้าก่อน”
ทั้งสี่พลันสัมผัสได้ว่าหัวใจของพวกนางเต้นระรัว แม้ว่าปกติแล้วอาจารย์ลุงโส่วจิ้งจะไม่ค่อยยิ้มนัก ทว่าเขาเป็นคนสุภาพยิ่งนัก กลับกันท่าทางของเขาในวันนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน เขาน่ากลัวยิ่งการท่านปรมาจารย์เสียอีก
ซิ่วฉินเอ่ยถามด้วยเสียงต่ำว่า “อาจารย์ลุงโส่วจิ้ง ท่านมีอะไรให้เรารับใช้หรือเจ้าคะ”
ฉินซีกล่าวอย่างแผ่วเบา ไม่แม้แต่จะหันไปมองนาง “หมิงจูเองก็ได้รับบาดเจ็บ เจ้าไปหานางหรือยัง”
“ไปมาแล้วเจ้าค่ะ โม่เหมยและคนอื่นๆ กำลังตามหลังเรามา อีกไม่นานพวกนางคงพาศิษย์พี่หญิงหร่วนกลับมา” ”
“อือ” เขาโบกมือไปด้านหลัง “พวกเจ้าไปได้แล้ว”
ทั้งสี่สาวเท้าไปยังบ้านพักหมิงชิงอย่างระมัดระวัง พวกนางพบว่าม่านพลังของอาจารย์ลุงโม่กระจัดกระจายไปหมด พวกนางจึงค่อยๆ ก้าวเข้าไปด้านใน
เมื่อเข้ามาถึงลานด้านใน เซียนซูกระซิบขึ้นในท้ายที่สุด “อาจารย์ลุงโส่วจิ้งเป็นอะไรไป เมื่อกี้เขาดูน่ากลัวชะมัดยาด”
“ใครจะไปรู้เล่า…” ซิ่วฉินขมวดคิ้ว ่ทันใดนั้นเองนางพลันแสดงสีหน้าตื่นตะลึงออกมา “การที่อาจารย์ลุงโส่วจิ้งปรากฎตัวที่นี่ หมายความว่าเขาเลิกปิดประตูแห่งจิตแล้วหรือ”
ไต้ฮว่ารำพันขึ้นมา “ว่ากันว่าเขาจะปิดประตูแห่งจิตจนกว่าจะทะลวงดินแดนได้มิใช่หรือ เมื่อกี้ ข้ายังนึกว่าตาฝาดไป สงสัยจริงๆ ว่าอาจารย์ลุงโส่วจิ้งออกจากการปิดประตูแห่งจิตของเขาได้อย่างไร”
“ข้าไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาตรงไหน ถ้าเขาจะออกจากการปิดประตูแห่งจิต ทว่าเหตุใดเขาถึงมานั่งหน้าตางงงวยอยู่ตรงนั้นต่างหากเล่า” เซียนซูกล่าวด้วยความสับสน
ชิงฉีกล่าวต่อ “เป็นไปได้ไหมว่า… อาจารย์ลุงโส่วจิ้งจะกลับมาที่บ้านพักหมิงชิง แล้วพลันนึกขึ้นได้ว่ามันเป็นที่อยู่อาศัยของอาจารย์ลุงโม่ไปแล้ว”
ซิ่วฉินกล่าว “ไร้สาระ! ตั้งแต่ที่อาจารย์ลุงโส่วจิ้งย้ายออกไป มีกี่ครั้งเชียวที่เขากลับมาที่นี่ ทุกครั้งที่เขากลับมา เขามีแต่ไปสนทนากับท่านปรมาจารย์ที่โถงกลาง แล้วรีบกลับทันทีเมื่อเสร็จมิใช่หรือ”
“จริงด้วย…”
เซียนซูกลอกตาไปมาครู่หนึ่ง ทันทีหลังจากนั้น นางขยับเข้ามาใกล้อีกสามคนที่เหลือ พลางกระซิบว่า “พวกเธอรู้หรือเปล่า อาจารย์ลุงโส่วจิ้งเป็นคนไปที่หุบเขาของยอดเขาหลักโดยฉับพลัน แล้วพาตัวอาจารย์ลุงโม่กลับมาวันนี้”
“หา!” ไต้ฮว่าร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ เมื่อนางรู้ว่าตัวเองส่งเสียงดังเกินไป จึงรีบยกมือขึ้นมาป้องปากทันที ก่อนที่จะกล่าวเบาๆ “ข้าออกมาช้าเลยไม่รู้เรื่อง เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” เซียนซูกล่าว “ข้าเพียงแค่ได้ยินมาเท่านั้นเอง อ้อ มันทำให้ข้านึกถึงข่าวลือเมื่อหลายสิบปีก่อนด้วย…”
ทั้งสี่คนมองหน้ากัน พวกเขาต่างรู้ในทันทีว่าแต่ละคนต้องการจะพูดสิ่งใด
ชิงฉีจับคางของตัวเอง พลันกล่าวว่า “ตอนแรกข้าก็นึกว่าเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น!”
“ที่ใดไม่มีควัน ที่นั่นย่อมไม่มีไฟ” เซียนซูหัวเราะ “เรารับใช้อยู่ข้างกายท่านปรมาจารย์เกือบร้อยปีแล้ว มีอะไรเกี่ยวกับอาจารย์ลุงโส่วจิ้งบ้างที่เราไม่รู้ อาจารย์ลุงโม่ได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์ท่านปรมาจารย์เพราะอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง นอกจากนั้น ตอนนั้น… พวกเจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าอาจารย์ลุงโส่วจิ้งดูแลนางดีกว่าใครน่ะ”
“จริงด้วย” ไต้ฮว่ากล่าว “แต่ข้าว่ามันก็ยากที่จะเชื่ออยู่ดีว่าคนอย่างอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง…”
“มิเช่นนั้นแล้ว ทำไมเขาต้องคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกด้วยล่ะ นึกสีหน้าของเขาเมื่อครู่นี้สิ เราเคยเห็นภาพอาจารย์นั่งอยู่บนขั้นบันได จิตใจไม่อยู่กับเนื้อตัวแบบนั้นเมื่อไหร่กัน” เซียนซูแอบกล่าวต่อ “ถ้าถามข้า ข้าว่าความจริงต้องเป็นอย่างที่เราคิดแน่”
“…” ไต้ฮว่ากล่าว “เจ้าคงคิดมากเกินไป เรารับใช้ท่านปรมาจารย์มาก็นานโข เราเคยเห็นใครมีจิตใจที่ตั้งมั่นในเต๋าเช่นอาจารย์ลุงโส่วจิ้งบ้าง”
“เจ้าก็พูดถูก” เซียนซูส่ายหัว ลบล้างสิ่งที่นางเพิ่งพูดออกไป “อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรา”
ในที่สุดซิ่วฉินพลันกล่าวขึ้นว่า “เอาละ เราเพิ่งถูกอาจารย์ลุงโส่วจิ้งตำหนิมา ทว่าพวกเจ้าก็ยังจับกลุ่มพูดกันไปเรื่อย หรือว่ายังถูกตำหนิไม่พอกันเล่า”
เซียนซูสงบปากของนางทันที
ชิงฉีพึมพำ “แหม เราแค่หัวเราะกันเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าอาจารย์ลุงโส่วจิ้งกลับมาตำหนิเราแบบนั้น… ทำอย่างกับเราไม่เคย…”
“อาจารย์ลุงโม่ได้รับบาดเจ็บมานะ!” ซิ่วฉินหยุดคำพูดของชิงฉี “ท่านปรมาจารย์ใจดีกับพวกเรามาก แต่เราก็มิควรเกียจคร้านในเรื่องที่ควรกระทำเช่นกัน ข้าได้ยินมาว่าอาการบาดเจ็บของอาจารย์ลุงโม่สาหัสมาก หากเรายังหัวร่อต่อกระซิกกันเช่นนี้ มันจะทำให้คนอื่นๆ อึดอัดไม่ใช่หรือ มันคงไม่เป็นไรนักหากเราไม่รู้ ทว่าในเมื่อเรารู้อยู่แก่ใจแล้ว เราก็ควรสำรวมตัวเองกันไว้บ้าง”
อีกสามคนพยักหน้าไปพลาง ถอนหายใจไปพลาง จากนั้นจึงตามซิ่วฉินเข้าไปที่บ้านหลังเล็กๆ นั้น
ความจริงแล้ว มันไม่ได้เป็นความผิดของพวกนาง ที่ยังหัวเราะหยอกล้อกันเมื่อพวกนางกลับมา ในคราแรก แม้พวกนางจะรู้ว่าอาจารย์ลุงโม่ได้รับบาดเจ็บ ทว่าพวกนางได้ยินว่าอาการบาดเจ็บนั้นไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต และท่านปรมาจารย์เองก็ดูจะไม่จริงจังกับเรื่องนี้ด้วย อีกอย่าง ถึงแม้พวกนางจะไม่กล้าขัดคำสั่งของอาจารย์ลุงโม่ พวกนางก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ซิ่วฉินพูด หมายความได้ชัดเจนว่าเซียนซูกำลังพูดเรื่องไร้สาระ ทว่ามันก็ยังมีความหมายอื่นให้ชวนไตร่ตรองต่อไปอีก หากพวกเราสนุกสนานกันเกินไป อาจทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดได้… เพราะอาจารย์ลุงโม่ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่านะ ทั้งสี่คนอดคิดถึงข้อนี้ไม่ได้
ฉินซียังคงนั่งงุนงงต่ออยู่อีกครู่หนึ่ง ระหว่างนั้นเอง เขาพลันเห็นโม่เหมยและคนอื่นๆ พาหร่วนหมิงจูกลับมา เวลานี้ทั้งเจ้าของของบ้านพักหมิงชินและเรือนจือหลี่ ล้วนแต่เกิดเรื่องขึ้น ทำให้บรรดาหญิงรับใช้ในตำหนักซ่างชิงล้วนรำพันถึงความโชคร้าย ทว่าพวกนางมิอาจช่วยอะไรได้
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าใครจะดูแลโม่เทียนเกอ ซิ่วฉิน ชิงฉี เซียนซู ไต้ฮว่า ล้วนแต่อาศัยอยู่ใกล้บ้านพักหมิงชินมากที่สุด และเป็นพวกนางทั้งสี่เสมอ ที่คอยดูแลจัดการทุกกิจวัตรในบ้านพักหมิงชิง สำหรับเรือนจือหลี่แล้ว แม้ว่าหร่วนหมิงจู จะไม่ได้พำนักอยู่ที่ภูเขาไท่คังแล้วก็ตาม ทว่านางก็ยังคงดื้อด้านอยู่ดี ทำให้โม่เหมย รั่วหลาน เมิ่งจู๋ ซวงจูจำใจต้องแบกรับหน้าที่ในการดูแลนาง
ครานี้ การทดสอบของสำนักทำให้ตำหนักซ่างชิงเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงเสียจริง
เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตาแปลกๆ จากบรรดาหญิงรับใช้ที่ผ่านไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดฉินซีก็ไม่อาจนั่งนิ่งเฉยได้อีก เขายืนขึ้นแล้วค่อยๆ มุ่งหน้าไปยังโถงกลาง
ทันทีที่เขาก้าวขึ้นไปยังโถงกลาง ภายในใจของเขากกลับเต็มไปด้วยความเสียใจ
ประมุขเต๋าจิ้งเหออยู่ภายในโถงกลางตามลำพัง ดูเหมือนว่ากำลังรอเขาอยู่
หลังจากคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง ฉินซีจึงตัดสินใจว่าจะไม่หนี “ท่านอาจารย์”
ดูเหมือนประมุขเต๋าจิ้งเหอจะประหลาดใจเล็กน้อย เขากวาดสายตาสำรวจฉินซีก่อนจะกล่าว “กว่าจะมาได้นะ”
“ข้านั่งครุ่นคิดถึงเรื่องต่างๆ อยู่”
“ครุ่นคิดเรื่องต่างๆ งั้นหรือ” ดวงตาของประมุขเต๋าจิ้งเหอเป็นประกายขึ้นมา “เจ้าคิดเรื่องอะไรกันล่ะ”
แทนที่จะตอบคำถาม ฉินซีทรุดตัวลงนั่ง และจมลงสู่ห้วงความคิดของตัวเองอีกครา
แม้เขาจะเข้าใจหัวใจของตนเองแล้ว ทว่าเขาหาได้คุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้ไม่ ดังเช่นที่ปรากฏ นี่คือความรู้สึกที่จิตใจของคนผู้หนึ่ง เปี่ยมล้นไปด้วยเรื่องราวต่างๆ มากมายสินะ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว บางครั้งเราก็มิอาจกล่าวโทษเหล่าสตรีได้นัก พวกนางมักจะอ่อนไหวกว่าในเรื่องเหล่านี้ และบางเรื่อง… ก็เกินกว่าจะควบคุมได้หากมันเกิดขึ้นแล้ว
ทว่าเขามุ่งมั่นแน่วแน่อยู่เสมอ และเมื่อเขาได้ตัดสินใจลงไปแล้ว เขาจะไม่ลังเลอีกต่อไป
“ท่านอาจารย์ ท่านสนใจอะไรนักหนา” เขาถามขึ้นอย่างไม่แยแส
“เจ้าเด็กเหลือขอ…” ประมุขเต๋าจิ้งเหอโพล่งออกมาด้วยความโกรธ “มีใครหน้าไหนพูดกับอาจารย์ของพวกเขาเช่นนี้บ้าง”
“ท่านต้องรู้สึกอึดอัดเจียนตายแน่ หากข้ามิได้พูดกับท่านเช่นนั้น ใช่ไหม”
“…” น่าแปลกที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่ได้โต้กลับ เขามีท่าทีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “เจ้าเด็กเหลือขอ ท่าทางวันนี้เจ้าจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ”
“ท่านรู้ แต่ท่านก็ยังกวนประสาทข้า” ฉินซีเองก็ไม่ได้พยายามปกปิดอะไร อย่างไรก็ตาม เรื่องบางอย่างก็ชัดเจนอยู่แล้วจากการกระทำของเขา แทนที่จะถูกชายชราน่าไม่อายผู้นี้หัวเราะเยาะ เขาควรต้องซื่อสัตย์กับตนเองเสียหน่อย
ประมุขเต๋าจิ้งเหอนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ทว่าเขายังคงประเมินฉินซีด้วยสายตาเช่นเดิม ครู่ต่อมา รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาในที่สุด “เจ้าเด็กเหลือขอ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วใช่ไหม”
“อือ” ฉินซี็ไม่ได้พยายามจะเลี่ยงคำถาม สายตาของเขาทอดลอยออกไป ทว่าน้ำเสียงของเขานั้นยังคงราบเรียบ “ท่านอาจารย์ ท่านมีสิ่งใดอยากถามอีกหรือไม่ โปรดถามมาในคราเดียว”
ยิ่งท่าทีของเขาปกติมากเท่าไร ประมุขเต๋าจิ้งเหอยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น เพราะนั่นหมายความว่าเจ้าเด็กคนนี้ได้ตัดสินใจบางอย่างแล้ว
“ก่อนอื่น เล่าแผนของเจ้าให้ข้าฟังเสีย” เขาไม่อาจกลบเกลื่อนรอยยิ้มบนหน้าได้ “ความจริงแล้ว แม้เจ้าทั้งสองจะมีระดับการฝึกตนที่แตกต่างกัน แต่ก็หาได้ห่างชั้นกันมากนัก เวลานี้ ทั้งสภาพจิตใจและระดับการฝึกของเทียนเกอ ล้วนแต่ดีเยี่ยมใช้ได้ นางมีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับการก่อเกิดขุมพลังแล้ว หากนางสามารถสร้างขุมพลังของตนเองได้สำเร็จ พวกเจ้าทั้งสองก็จะเป็นผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับเดียวกัน และหากเจ้าสามารถสร้างจิตวิญญาณใหม่ได้ในภายภาคหน้า นางก็จะตามหลังเจ้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฉะนั้น ไม่มีอะไรเลยที่จะต้อง…”
“ข้าต้องการก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่” ฉินซีขัดขึ้น
เมื่อถูกขัดจังหวะกลางคัน ประมุขเต๋าจิ้งเหอเริ่มตำหนิฉินซี “เจ้าว่าอย่างไรนะ นี่เจ้ายังไม่เลิกล้มความคิดนี้อีกหรือ ไหนเจ้าบอกว่าเข้าใจทุกอย่างแล้วไง”
ฉินซีก้มหน้าต่ำ เพ่งสายตาไปที่ถ้วยน้ำชาในมือ สายตาของเขาแม้จะดูอ่อนโยน ทว่าน้ำเสียงกลับขึงขังอย่างมาก “จนกว่าข้าจะก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ได้ ข้าจะไม่พูดอะไรกับนางทั้งนั้น”
“เจ้า…” ประมุขเต๋าจิ้งเหอแทบจะสำลักด้วยความโกรธ ครู่ใหญ่ผ่านไป เขาจึงเอ่ยถามในท้ายที่สุด “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่”
ฉินซีกล่าวเบาๆ “มันจะเป็นอย่างไรหากข้าบอกนางเสียแต่ตอนนี้ บังคับนางให้ตอบแทนน้ำใจของข้าอย่างนั้นหรือ หรือใช้อำนาจของข้ากดดันนางกันเล่า”
รอยยับย่นปรากฏขึ้นบนคิ้วของประมุขเต๋าจิ้งเหอ “เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร เรื่องแบบนี้มันต้องเต็มใจกันทั้งสองฝ่าย หากเทียนกอไม่เต็มใจ นางก็แค่ปฏิเสธ ไม่ใช่ว่าเราไปบังคับขู่เข็ญอะไรเสียหน่อย”
“แต่นางจะคิดเช่นไรเล่า” ฉินซียังคงก้มหน้า “ใช่สิ! ท่านอาจารย์ ท่านกับนางมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ทว่าไม่ว่าพวกท่านจะปรารถนาดีต่อกันเพียงไร นางก็ยังคงระแวดระวังผู้อื่นอยู่ภายในใจลึกๆ เสมอ ท่านอาจารย์ นางกำลังจะสร้างขุมพลังของตัวเอง เราไม่ควรรบกวนสภาพจิตใจของนางในตอนนี้”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอเงียบไปเป็นเวลานาน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจในที่สุด “แต่เจ้าไม่ฉุกคิดบ้างหรือว่า หากเจ้าสร้างจิตวิญญาณใหม่ได้แล้ว ช่องว่างระหว่างเจ้ากับนางจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น”
มือของฉินซีสั่นเล็กน้อย ทว่าเขายังคงไม่เงยหน้า
ประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงกล่าวต่อไป “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าเข้าใจอารมณ์ของนางอยู่บ้าง ความภาคภูมิใจในหัวใจของเทียนเกอ ไม่ได้น้อยไปกว่าเจ้า เจ้าไม่อยากหลอกใช้นางก็จริง ทว่านางจะไม่คิดเช่นเดียวกับเจ้างั้นหรือ ดังนั้น ยิ่งระดับการฝึกตนของเจ้าสูงขึ้นเท่าไร นางก็จะยิ่งไกลจากเจ้ามากขึ้นเท่านั้น”
ฉินซีนิ่งเงียบอยู่นานสองนาน ทว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอกลับสังเกตเห็นว่ามือของเขาสั่นเล็กน้อย
หลังจากเวลาได้ล่วงเลยไป ในที่สุดเขาพลันถามขึ้นว่า “แล้วท่านอาจารย์คิดเห็นเช่นไรในเรื่องนี้ นางกำลังจะสร้างขุมพลังของตัวเองในไม่ช้า อย่างไรเสีย นางก็ต้องใช้เวลาอีกประมาณสิบถึงยี่สิบปีเป็นแน่ใช่ไหม หรือว่าข้าควรหยุดฝึกตนในครานี้ และรอให้นางตามระดับของข้าได้ทันก่อนเล่า”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอหัวเราะเบาๆ “เจ้าเด็กคนนี้… เจ้าสมองทึบไปแล้วสินะ หากเจ้าสร้างจิตวิญญาณใหม่ หลังจากที่พวกเจ้าทั้งสองครองคู่กันแล้ว นางจะยังถอนตัวได้อีกหรือ”
“…” ฉินซีไม่ได้พยักหน้าตอบรับ ดูเหมือนเขากำลังครุ่นคิดในคำพูดของประมุขเต๋าจิ้งเหออยู่
เมื่อได้คิดกลับไปกลับมาอยู่หลายครา ท้ายที่สุดเขาพลันเอ่ยขึ้นว่า “งั้นข้าจะรอแล้วกัน อย่างไรเสีย นางจะต้องสร้างจิตวิญญาณใหม่ของนางได้ในสักวัน อย่างมากก็แค่สองร้อยปีเท่านั้น ข้ายังมีเวลาอีกมาก ข้าอดทนรอเพื่อนางได้”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอสำลักคำพูดของฉินซี เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า สุดท้ายแล้วฉินซีจะตัดสินใจเช่นนี้ ถึงกระนั้นก็ตาม เขาเองก็ครุ่นคิดเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน จนในที่สุดแล้ว เขาก็เลิกล้มความคิดที่จะต่อสู้กับมัน ประมุขเต๋าจิ้งเหอกล่าวขึ้น “เอาเถอะ บางทีนี่อาจจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด แม้ว่านางจะสร้างขุมพลังได้สำเร็จในตอนนี้ ทว่าความแตกต่างระหว่างขั้นเริ่มต้น และขั้นสูงสุดของดินแดนแห่งการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็ยังมากโขเกินไปอยู่ดี ทว่าหลังจากก้าวเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่แล้ว นางคงไม่มีความคิดอื่นใดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ประมุขเต๋าจิ้งเหอช้อนสายตาขึ้น ราวกับซุกซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้ “ถึงกระนั้น เจ้าเต็มใจจะรอไปอีกสองร้อยปีจริงหรือ”