ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 101 หมากสังหาร (2)
เจ้าเป๋าเป่าคนนี้ปกติก็ไม่อยู่กับร่องกับรอยอยู่แล้ว วันนี้ก็มิรู้ว่าไปอ่านหนังสืออะไรเข้า คราวนี้ตัวเอกของเรื่องคงเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดตัวหนึ่งกระมัง
เป๋าเป่าหัวเราะคิกคักทำหน้าทะเล้น แล้วจับบังเ**ยนขับรถต่อไป
เพียงแต่นาทีที่เขาหันหัวกลับ ประกายร่าเริงในดวงตาดูเหมือนจะเยือกเย็นลง มองทิวทัศน์สองข้างทางเงียบๆ ลมฤดูร้อนปะปนด้วยเสียงจอแจของตลาดนัดพัดผ่านใบหน้า ยังมี…
ยังมีกลิ่นหอมอ่อนจางของสตรีที่อยู่ข้างกาย
เป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดแต่เพียงผู้เดียวมีอะไรไม่ดี ไม่ว่าคู่ชีวิตของนายน้อยสี่ในวันข้างหน้าจะเป็นใครก็ตาม เขาก็ยังคงมีฐานะที่ไม่มีใครแทนที่ได้ตลอดกาล
มิใช่หรือ
รถม้าไกลออกไปทุกที แต่ภาพฉากบนรถม้ากลับตกอยู่ในสายตาของคนผู้หนึ่ง เงาร่างสายหนึ่งติดตามรถม้าอย่างเงียบเชียบตลอดทาง จนถึงประตูของซือหลี่เจียน แล้วจึงหันกลับปะปนไปกับกลุ่มชาวบ้าน
หลังกลับถึงซือหลี่เจียน นอกจากเสียงซุบซิบนินทาของพวกที่ดีใจเมื่อเห็นคนอื่นตกทุกข์แล้ว ในตอนที่ชิวเยี่ยไป๋เข้าสู่ที่พัก ทุกอย่างสงบเงียบดี
“นอกจากข้าจะหาวิธีควบคุมคนในกองคั่นเฟิงและป้องกันคนนอกมารังควานแล้ว โจวอวี่ก็ใช้ฝีมือต่อตู้เชียนจ่งของกองปู่เฟิงไปบ้าง ดังนั้นสถานการณ์ขณะนี้จึงสงบเรียบร้อย” ตอนลงจากรถ เป๋าเป่าแปลงโฉมอีกครั้งพร้อมกับยืดกระดูก ดังนั้นขณะนี้เขาจึงปรากฏข้างกายของชิวเยี่ยไป๋ในคราบของเจี่ยงเฟยโจว เดินพลางกล่าวรายงาน
ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว “ดูท่าโจวอวี่ยังพอมีสติปัญญาอยู่บ้าง”
“นั่นน่ะสิ ข้าน้อยเห็นคนผู้นี้แม้เมาสุราเคล้านารีทั้งวี่ทั้งวัน พฤติกรรมก็เหลวไหลตลอด แต่ความจริงแล้วยังพอจะมีความคิดและวิธีการอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นเพียงอาศัยบารมีของตู้เชียนจ่งถ่ายเดียวคงจัดการกับความกระเ**้ยนกระหือรือของพวกลิ่วล้อมิได้” เป๋าเป่ากระซิบ
นางฟังเป๋าเป่าแล้วก็ถอนใจอย่างอับจน
นั่นน่ะสิ ความกระเ**้ยนกระหือรือของพวกลิ่วล้อ
เมื่อครู่อยู่บนรถ เป๋าเป่าได้รายงานเรื่องสำคัญที่สุดในหลายวันนี้อย่างละเอียด นั่นคือฉินอี้จ่างของกองปู่เฟิงบาดเจ็บสาหัสเกินเยียวยา
แล้วคนของกองปู่เฟิงจะไม่กระเ**้ยนกระหือรือได้อย่างไร
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าโจวอวี่คนนี้เป็นคนรุ่นหลังของตระกูลโจวที่ช่วยสถาปนาแคว้น เป็นบุตรคนเล็กลูกภรรยาเอกฉางถิงโหว แม้ขณะนี้ตำแหน่งที่ตกทอดกันมาของตระกูลโจวจะลดหลั่นลงตามลำดับ อิทธิพลไม่เหมือนแต่ก่อน แต่ยังคงมีฐานะอยู่บ้างในกลุ่มผู้อาวุโสของราชสำนัก ครั้งนี้โจวอวี่คงใช้อิทธิพลของตระกูลโจวแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจจะประกันตัวซือถูหนิงออกจากคุกให้ได้ แม้ยามปกติเขาจะทำตัวเหมือนพวกหยิบหย่งไม่เอาไหน แต่เนื้อแท้มิใช่คนเลวร้าย
จนกระทั่งชิวเยี่ยไป๋กับเป๋าเป่ากลับถึงกองคั่นเฟิง ภาพพิสดารที่มีแต่ก้นสลอนตรงลานประตูไม่เหลือแล้ว ส่วนมากทาหยูกยาเองได้แล้วและพากันกลับห้องพัก ในห้องโถงจึงเหลือแค่ขันทีน้อยที่คอยทำความสะอาดปรากฏให้เห็นเป็นครั้งคราว ถือว่าเงียบสงบดี
ดังนั้นครั้งนี้นางจึงเข้าสู่ห้องประชุมอย่างราบรื่น
พอเข้าประตูก็เห็นโจวอวี่นั่งอยู่แล้ว พอเห็นนางก็รีบลุกขึ้นมองดูชิวเยี่ยไป๋ครู่หนึ่งแล้วกล่าวตะกุกตะกักว่า “ใต้…เท้า…ใต้เท้าเชียนจ่ง”
ชิวเยี่ยไป๋เห็นโจวอวี่สวมเสื้อสีน้ำเงินแขนสอบ เอวรัดสายหยกศีรษะเกล้าเป็นมวยผมอย่างเรียบร้อย เผยให้เห็นใบหน้าคมสัน มิใช่ผมกระเซิงเช่นยามปกติแถมยังแบะคอเสื้อ หน้าตายังคงกรุ้มกริ่มลามก
นางมองโจวอวี่ขึ้นๆ ลงๆ แล้วยิ้มอย่างเย้ยหยัน “โจวอี้จ่างตื่นจากฝันหวานแล้วหรือ”
นางมิได้ลืมครั้งแรกที่พบกับเขา เขากำลังร่วมรักกับใครบางคนในป่า และเขายังเคยอวดต้นขาเปลือยเปล่ายักคิ้วชายตาใส่นาง
เห็นได้ชัดว่าโจวอวี่ก็นึกถึงสภาพตอนพบกับชิวเยี่ยไป๋ครั้งแรกเช่นกัน สีหน้าจึงเป็นสีเขียวสีแดงสลับกัน เขาก้มหน้ากล่าวเสียงเบาว่า “ก่อนหน้านี้…ก่อนหน้านี้ข้าน้อยผิดเอง…ใต้เท้าโปรดให้อภัย”
หลายวันที่ชิวเยี่ยไป๋ไม่อยู่ เจี่ยงเฟยโจวกับเขาช่วยกันรับผิดชอบกองคั่นเฟิง พอคนแซ่ฉินตายลงเขาจึงรู้สึกผวาเป็นคนแรก แม้ก่อนหน้านี้จะเหลวไหลเลอะเทอะ แต่ไม่เคยทำเรื่องจนคนเสียชีวิตมาก่อน
เขาจึงต้องทนกับเสียงก่นด่าและท้าทาย และนึกถึงซือถูหนิงที่ถูกจองจำในคุก แรงกดดันมหาศาลและความละอายใจโถมทับ ในที่สุดเขาก็มองกระจ่างในหลายเรื่อง และเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคนบางคน จึงสำนึกว่าที่ผ่านมาตนเองเหลวไหลเลอะเทอะเพียงใด
บัดนี้แม้เขาจะตื่นแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่เฝ้ารอคอยให้ชิวเยี่ยไป๋กลับมา
คืนนั้นที่พบกันครั้งแรก ฝีมือสยบขวัญทำเอาเขาแค้นมาก แม้จำต้องยอมสยบต่อชิวเยี่ยไป๋ แต่ยังคงไม่เต็มใจ บัดนี้เขากลับรู้สึกว่าเชียนจ่งคนใหม่ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งไม่เพียงเป็นผู้มีความสามารถ แต่ยังสามารถนำพาพวกเขาออกจากความเดือดร้อนได้ด้วย
ชิวเยี่ยไป๋พอกลับมาก็ถากถางเขา ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงหน้ากระตุกแล้ว บัดนี้เขากลับรู้สึกละอายใจ ได้แต่รับฟังโดยดุษณี
ชิวเยี่ยไป๋มองดูเขาอยู่พักใหญ่ จึงกล่าวเนือยๆ ว่า “โจวอี้จ่างตื่นแล้วยังไม่สาย ฟังเจี่ยงอี้จ่างบอกว่าพักนี้เขาดูแลกิจการภายใน ส่วนโจวอี้จ่างลงแรงกับการจัดการพวกก่อกวนภายนอกหรือ”
แม้น้ำเสียงของชิวเยี่ยไป๋จะยังคงพิกลอยู่ แต่โจวอวี่กลับไม่กล้าขุ่นเคือง รีบกล่าวว่า “กองคั่นเฟิงขณะนี้ถือว่าเรียบร้อยดี ล้วนเป็นความชอบของเจี่ยงอี้จ่าง ข้าน้อย…ข้าน้อยความจริงก็ไม่มีความสามารถอะไร ถึงอย่างไรฉินอี้จ่างอาการสาหัสจนเสียชีวิตไม่ใช่เรื่องเล็ก ทางกองปู่เฟิงอาละวาดหนัก ด้านพี่ชายภรรยาข้าน้อย…”
เขามองดูชิวเยี่ยไป๋อย่างอิหลักอิเหลื่อแวบหนึ่ง “พี่ชายภรรยาข้าน้อยแม้จะเป็นเชียนจ่งปู่เฟิง แต่ก็ไม่ยอมช่วยข้าน้อย เขาบอกว่าเพราะทุกคนมองว่าข้าน้อยเป็นญาติกับเขา ถ้าเขาสอดมืออย่างเปิดเผยเกรงว่าคนในกองปู่เฟิงคงไม่พอใจแน่ เขาอาจหลุดจากตำแหน่งก็เป็นได้”
พูดจบก็เหมือนจะละอายใจ จึงมิได้พูดต่อจนกระทั่งชิวเยี่ยไป๋จิบน้ำชาที่เสี่ยวเหยียนจื่อส่งให้ แล้วโบกมือให้เขาพูดต่อ
โจวอวี่พิร่ำพิไรพูดต่อ “แม้แต่ไหนแต่ไรซือหลี่เจียนไม่เคยส่งคดีของตนเองให้คนนอกพิจารณาโทษ แต่คราวนี้เป็นคดีคนเสียชีวิต ข้าน้อย…ข้าน้อยเป็นจำเลยหลัก ข้าน้อยกังวลมากจึงกลับไปขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสในตระกูล จึงได้ระงับคดีนี้ไว้เป็นการชั่วคราว”
โจวอวี่หากองหนุนจากตระกูลโจวจริงด้วย นี่อยู่ในความคาดหมายของชิวเยี่ยไป๋อยู่แล้ว ทว่า…
“เจ้าไปขอร้องย่าเจ้าหรือ ทำไมจึงไม่ขอร้องบิดาเจ้าเล่า”
ชิวเยี่ยไป๋แปลกใจ เพราะความจริงต้องฉางถิงโหวต่างหากจึงจะพูดจามีน้ำหนัก ย่าของเขาก็แค่ภรรยาขุนนางระดับสาม จะแทรกแซงผู้หลักผู้ใหญ่ในซือหลี่เจียนได้อย่างไร
โจวอวี่สีหน้ายิ่งอิหลักอิเหลื่อ “บิ…บิดาข้าน้อยรู้เรื่องแล้วจะตีขาสุนัขของข้าน้อยให้หัก ข้าน้อยจึงจำใจต้องไปขอร้องท่านย่า”
ชิวเยี่ยไป๋จึงเข้าใจ ที่แท้ก็ใช้บารมีของย่ามาบีบบิดาให้ช่วยเขาเก็บกวาดปัญหายุ่งยากนี่เอง