ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 116 ท่านไม่ต้องทนก็ได้ (4)
ชิวเยี่ยไป๋เลิกผ้าห่มออกลุกขึ้นนั่ง มองดูผ้าเช็ดหน้าของไป๋หลี่ชูที่ทิ้งอยู่ข้างเตียงจึงหยิบขึ้นมา เช็ดติ่งหูที่ถูกงับเมื่อครู่ช้าๆ อย่างละเอียดลออ จากนั้นขยำผ้าผืนนั้นโยนเข้าในเตาเผาเครื่องหอมใบเล็กด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก พริบตาเดียวผ้าเช็ดหน้าก็ลุกไหม้เป็นเปลวเพลิง
นางแลดูเปลวเพลิงนั่น ดวงตาฉายประกายเย็นเยียบแวบหนึ่ง
ข้าเป็นของเจ้า?
ไม่ ข้าไม่เป็นของใคร
ข้าเป็นตัวของตัวเองต่างหาก
ต่อให้สักวันหนึ่งเกิดเคราะห์ร้ายต้องเป็นของใครสักคน ก็ไม่มีวันเป็นเจ้าโดยเด็ดขาด
เพราะไม่ว่าจะดูอย่างไรเจ้าก็ไม่เหมือนคน
ส่วนเรื่องฝันน่ะหรือ ถ้าข้าฝันถึงเจ้า
คงเป็นฝันร้ายแล้วฝ่าบาทชู!
จนกระทั่งเปลวเพลิงมอดสิ้น ฝุ่นเถ้าปลิวฟุ้ง ชิวเยี่ยไป๋จึงลุกขึ้นเหลียวมองรอบตัว กลับไม่พบปิ่นหยกปักผมของตน ก็มิรู้ว่าไป๋หลี่ชูโยนไปไว้ตรงไหน หรือว่าเขาจะนำติดตัวไปด้วย
นางแลดูเงาตนเองที่ผมเผ้ายาวสยายในคันฉ่อง ใบหน้าผุดผ่องเป็นยองใยก็อดถอนใจมิได้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรี ต่อให้อากัปกริยาจะเหมือนบุรุษอย่างไร ก็ยังคงมิใช่เป็นบุรุษอย่างแท้จริง เมื่อครู่หากมิใช่นางไหวตัวทันคงทำให้ไป๋หลี่ชูสงสัยแล้ว ว่ากันตามนิสัยของเขา อาจเป็นไปได้ที่จะจับนางเปลื้องผ้าล่อนจ้อนเพื่อพิสูจน์ดู
และมิรู้ว่าหากเขารู้ว่านางตบตาเขา จะมีสีหน้าอย่างไร
นางแค่นเสียงเย็นใส่คันฉ่องอย่างเย้ยหยัน แล้วกระชากเชือกแบบที่ใช้รัดมุ้งมารัดผมของตนเสียเลย และหันไปเปิดประตู
หลี่หมัวมัวยืนอยู่หน้าประตูจริง และมิรู้ว่ายืนอยู่นานเท่าใดแล้ว เห็นนางสองมือไพล่อยู่เบื้องหน้า ยังคงยิ้มน้อยๆ เช่นเดิม ไม่มีแววอ่อนล้าหรือรำคาญเลย แต่ชิวเยี่ยไป๋รู้ดีว่านางยืนรออยู่ร่วมสองชั่วยามแล้ว
ถึงอย่างไรก็เป็นต้ากูกูที่เคยได้รับการฝึกฝนจากวังหลวงมาก่อน
“คนไปแล้ว ไม่กลับมาแล้ว ไปบอกเสี่ยวชีกับพวกไม่ต้องล้อมไว้แล้ว ทุกคนกลับไปพักเถิด” ชิวเยี่ยไป๋สั่งเนือยๆ
หลี่หมัวมัวเห็นชิวเยี่ยไป๋นอกจากสีหน้าอ่อนล้าแล้ว มิได้มีอาการบาดเจ็บใดๆ จึงผงกศีรษะรับคำแล้วโบกมือให้สัญญาณไปทางชั้นล่าง
ครู่เดียวก็เลิกงานกันแล้ว ตามทางเดินของหอชั่วพริบตาเดียวก็มีคนรับใช้ที่คอยเทน้ำชา คนครัวและแม่เฒ่าที่คอยกวาดห้องน้ำผุดออกมามากมาย
เพียงแต่พวกเขามิได้อยู่ในชุดคนรับใช้ที่ใบหน้าเกลื่อนรอยยิ้มพร้อมต้อนรับอย่างเคย ทุกคนใบหน้าเครียดเขม็งและเปี่ยมด้วยอาถรรพ์การฆ่าฟัน
ไม่รู้ว่าเสี่ยวชีมุดออกมาจากที่ใด สีหน้าไร้ความรู้สึกโบกมือให้พวกเขา “สลายตัว!”
จากนั้นก็เดินไปตะโกนใส่หน้าต่างบานใกล้ที่สุด “พักได้”
หลังเขาตะโกนแล้วก็เอามือไพล่หลังอย่างเกียจคร้าน ส่ายศีรษะพึมพำว่า “จิ๊ บาปกรรมหนอ ผลลัพธ์ของความเจ้าชู้ ชู้รักมาหาถึงที่เลยนะ”
พูดจบก็เตรียมลงจากชั้นบนไปนอน กลับมีจอกสุราใบหนึ่งมิรู้บินมาจากที่ใด ตกอยู่แทบเท้าของเขาพอดี เขาไม่ทันระวังจึงเหยียบเข้าเต็มตีน จนเสียหลักกลิ้งหลุนๆ ลงไป
ชิวเยี่ยไป๋ปรบมือ หันกายโยนจอกสุราในมือทั้งหมดให้คนรับใช้คนหนึ่งที่ถือกระบี่ในมืออยู่ “ต่อไปนี้จงอย่าให้ข้าเห็นจอกเคลือบสีเขียวในหอนี้อีก”
พูดจบก็หันกายเข้าห้องไป
“…” ทุกคนนิ่งงัน
หลี่หมัวมัวนึกไปนึกมายังคงตามเข้าไป เห็นชิวเยี่ยไป๋นั่งอยู่ริมโต๊ะขอบลายดอกไม้ นางลังเลครู่หนึ่งจึงถามเบาๆ ว่า “คนที่อยู่ในห้องนายน้อยสี่เมื่อครู่นี้ ก็คืออาคันตุกะสูงศักดิ์จากในวังใช่หรือไม่”
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้า สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “ใช่”
หลี่หมัวมัวขมวดคิ้ว ใบหน้าที่สะสวยฉายแววกังวล กล่าวเสียงหนักว่า “บ่าวนึกถึงคนหนึ่ง เพียงแต่ผู้สูงศักดิ์คนนั้นปกติจะมีนิสัยพิถีพิถันช่างเลือกเป็นพิเศษ บ่าวไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผู้สูงศักดิ์คนนั้นจะมาที่หอไผ่เขียว ถ้าเป็นคนผู้นั้นจริง นายน้อยสี่น่าจะยุ่งยากแล้วเจ้าค่ะ”
ริมฝีปากของชิวเยี่ยไป๋โค้งขึ้น “ไม่ผิด อาหลี่ดูออกจนได้ คนที่มาเมื่อครู่นี้คือองค์หญิงเซ่อกั๋ว”
พริบตานั้นหลี่หมัวมัวหน้าเปลี่ยนสี “ถึงกับเป็นองค์หญิงเซ่อกั๋วเชียวหรือ ท่าน…ท่านรู้จักฝ่าบาทหรือ”
ฝ่าบาทเซ่อกั๋วช่างเลือกและนิสัยประหลาดเป็นที่รู้กันของคนทั้งวัง ค่งเฮ่อเจียนมีองครักษ์ถึงสามพัน และฝ่าบาทนั่นยังมีนิสัยกลัวสิ่งสกปรกเป็นที่สุด แม้จะเคยมีเรื่องไล่จับบุรุษรูปงามตามตลาดร้านถิ่น แต่นั่นก็แค่ให้ฝ่าบาทส้องเสพคนเดียว ไฉนฝ่าบาทจึงมาสถานที่เช่นหอไผ่เขียวที่ใครๆ ก็มากันได้เล่า
นางอยู่ในวังมานานปี ความน่ากลัวของฝ่าบาทองค์นี้ย่อมรู้อยู่บ้าง เกรงว่าการมาเยือนหอไผ่เขียวครั้งนี้คงต้องมีเจตนาไม่ธรรมดา
ชิวเยี่ยไป๋กล่าวว่า “ถ้าเป็นไปได้ ชีวิตนี้ข้าขอไม่รู้จักคนคนนี้จะดีเสียกว่า”
“ฝ่าบาทเซ่อกั๋วอันตรายมากหรือ” เสียงของคุณชายเทียนซูพลันดังขึ้นเบื้องหลังชิวเยี่ยไป๋กับหลี่หมัวมัว พอเขาเข้าประตูก็ได้ยินคำสนทนาระหว่างชิวเยี่ยไป๋กับหลี่หมัวมัวพอดี
นางหยุดครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเบาๆ “ไม่ผิด ฝ่าบาทคนนี้นิสัยขี้ระแวงแต่กำเนิด แม้วันนี้ข้าจะกล้อมแกล้มรับมือไว้ได้ แต่เรื่องนี้เกรงว่าจะยังมีความเปลี่ยนแปลงอีกมากมาย เขาคงสงสัยความสัมพันธ์ของข้ากับหอไผ่เขียวแล้ว แม้ข้าจะรอดตัวเพราะไหวพริบ ใช้การถอยแทนการรุก ทำให้เขาคลายความสงสัยเป็นการชั่วคราว แต่เขาคงส่งคนมาตรวจสอบในเร็ววันนี้แน่”
วันนี้ เขารู้แล้วว่าตนมาขอให้คุณชายเทียนซูหาข่าวคดีปล้นที่ไหวหนาน ย่อมต้องคิดได้ว่าหอไผ่เขียวคือแหล่งข่าวชั้นดี
ว่ากันตามนิสัยของเขาแล้วเขาย่อมต้องสืบเสาะภูมิหลังของหอไผ่เขียว และเฝ้าสังเกตดูว่าจะให้เขาใช้สอยได้หรือไม่ ถ้าใช้สอยมิได้ ไม่แน่ว่าอาจลงมือต่อหอไผ่เขียวก็เป็นได้
“ถ้าฝ่าบาทองค์นั้นสืบรู้ว่าข้าคือเจ้าของหอไผ่เขียว เกรงว่าเขาคงสืบรู้ภูมิหลังของสำนักหอซ่อนกระบี่อย่างรวดเร็ว” ดวงตาของชิวเยี่ยไป๋ฉายแววเย็นเยียบ ต่อหน้าเขานางแทบไม่อาจปกปิดความลับใดๆ ได้เลย
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า ไอ้โรคจิตนั่นถือว่านางและทุกสิ่งของนางเป็นของมัน หรือไม่ก็อาจเอาหอไผ่เขียวนี่แหละมาบังคับนาง!
แม้นางจะเชื่อมั่นว่าราชสำนักสูงส่งก็จริงอยู่ แต่ยุทธจักรกว้างใหญ่กว่า สำนักหอซ่อนกระบี่อาจมิใช่ที่ที่มือของไป๋หลี่ชูจะเอื้อมถึง แต่นางก็ไม่อยากให้กิจการที่นางอุตส่าห์ฟูมฟักมานานปีในเมืองหลวงนี้ตกเป็นของผู้อื่น และยิ่งไม่อยากถูกไอ้หมอนั่นใช้เป็นเครื่องมือขู่บังคับ
นางครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงสั่งว่า “แต่ก็ไม่ต้องวิตกจนเกินไป ให้ทุกคนทำงานตามปกติ แต่ระมัดระวังให้มาก ต่อจากนี้กับพวกแขกแปลกหน้าที่ไม่รู้ที่มาที่ไป ต้องสังเกตให้ดี อาจมีเบาะแสบางอย่าง
ในหอไผ่เขียว คนที่ดูเหมือนคนรับใช้กว่าครึ่งค่อนล้วนเป็นคนในหน่วยเปลวอัคคีของสำนักหอซ่อนกระบี่ แต่พวกเขาไม่มีอะไรผิดแปลกจากคนอื่นที่ว่าจ้างมาทำงาน ซ้ำคนของสำนักหอซ่อนกระบี่ส่วนมากยังมีหนังสือคุ้มกันที่รับรองโดยข้าราชการท้องถิ่นด้วย ยามปกติพวกเขาทำงานในหอและรวบรวมข่าวสารได้โดยไม่กระโตกกระตากขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่พิทักษ์บรรดาคุณชายของหอไผ่เขียวอย่างลับๆ
ถ้ามีแขกคนใดข่มเหงใช้กำลังกับพวกคุณชาย พวกเขาจะเข้าตักเตือนห้ามปราม และลอบฉวยโอกาสลงมือในน้ำชาน้ำดื่มของแขก หรือไม่ก็ลอบลงมือใส่พวกแขกที่ไม่ดูตาม้าตาเรือไปเลย บางครั้งก็ทำให้อีกฝ่ายหมดสติเป็นการชั่วคราว หรือไม่ก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุเล็กๆ เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้บรรดาคุณชายต้องปะทะกับแขก