ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 121 ไอ้โง่ (2)
ชิวเยี่ยไป๋นั่งชมทัศนียภาพเงียบๆ ทอดถอนในใจ ไม่ว่าตระกูลเหมยจะเป็นคนอย่างไร แต่นับว่าตกแต่งที่อยู่ได้อย่างงดงามมาก เจียงหนานดินแดนแห่งน้ำ มีคนที่มีความสามารถจริงๆ
รองพ่อบ้านเห็นชิวเยี่ยไป๋สีหน้าเริ่มผ่อนคลายก็นึกดีใจ “ทิวทัศน์ในคฤหาสน์ล้วนเป็นคุณชายใหญ่คุมการก่อสร้างเองตั้งแต่อายุสิบหก องค์จักรพรรดิแลพระพันปีต่างเคยเสด็จและชื่นชมบทกวีที่สลักบนหิน เดิมทีคำที่สลักไว้ว่าลั่วอิงเมี่ยวตี้ ซึ่งคำว่าตี้หมายถึงพื้นดิน แต่องค์พระพันปีทรงแก้ให้เป็นตี้อีกตัวที่แปลว่าแก่นแท้แห่งธรรม จึงมีมิติสูงขึ้นอีกชั้นหนึ่ง”
ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วก็ลอบร้องเหอะในใจ ดูท่าตระกูลเหมยคงเป็นที่โปรดปรานของพระโพธิสัตว์เฒ่าจริง เจ้ารองพ่อบ้านคอยพร่ำเตือนตลอดเวลา ดูเหมือนจะบอกให้รู้ว่าองค์พระพันปีเข้าข้างตระกูลเหมยแน่นอน อยากให้นางเจียมตัวไว้บ้าง
ทว่านางเองก็จำต้องยอมรับ ถ้าสวนนี้ตกแต่งโดยคุณชายใหญ่จริง แสดงว่าคุณชายใหญ่ตระกูลเหมยเป็นคนเก่งและมีความสามารถคนหนึ่ง
“ในเมื่อคุณชายใหญ่เป็นผู้มีความสามารถมากมายเช่นนี้ ข้าก็ไม่เข้าใจอยู่อย่างหนึ่ง ทำไมคุณชายจึงไม่สอบเป็นข้าราชการ หากได้เข้าไปอยู่ในกระทรวงโยธา ไม่แน่ว่าวันนี้อาจเป็นถึงซ่างซู (เจ้ากระทรวง) ก็เป็นได้” ชิวเยี่ยไป๋โบกพัดในมือ ดื่มด่ำกับทัศนียภาพสองริมฝั่ง
ไม่มีบ่าวไพร่คนใดไม่ชอบคนชมเจ้านาย รองพ่อบ้านท่าทางเสียดายแทนเจ้านายเช่นกัน “คุณชายใหญ่รับภาระหนักของตระกูล ในฐานะบุตรชายคนโตย่อมเป็นเช่นนี้ แต่ปีกลายคุณชายสามสอบติดบัณฑิตขั้นจิ้นซื่อ[1] ขณะนี้กำลังรอราชโองการแต่งตั้งอยู่”
ชิวเยี่ยไป๋ได้ข่าวที่ตนต้องการแล้ว จึงยิ้มน้อยๆ พยักหน้ากล่าวว่า “อืม ตระกูลของท่านเป็นสถานที่ที่สวยงามและเต็มไปด้วยผู้มีความสามารถจริงๆ”
แม้แคว้นเทียนจี๋จะให้ความสำคัญกับการเกษตรมากกว่าการค้า ทำให้พ่อค้าวาณิชสู้ตระกูลขุนนางมิได้ก็ตาม แต่ถ้าบุตรหลานของพ่อค้ามีความสามารถ หลังผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวดแล้วยังคงเป็นขุนนางได้ แต่หลังเป็นขุนนางห้ามค้าขาย และมิอาจรับหน้าที่บริหารกิจการของตระกูล ถ้าพบว่ามีการใช้อำนาจหาผลประโยชน์จะถูกปลด ถ้าหนักหนาสาหัสจะถูกขับไปไกลสามพันลี้ทั้งตระกูล
แม้เงื่อนไขจะเข้มงวดเช่นนี้ แต่ยังคงมีบุตรหลานพ่อค้าจำนวนมากเข้าร่วมการสอบคัดเลือกเพื่ออนาคตอันรุ่งเรือง
หลายปีนี้คุณชายใหญ่ตระกูลเหมยขยายกิจการจนใหญ่โตกว่าเดิมหลายเท่าตัว คิดดูแล้วคงไม่ธรรมดา บวกกับน้องคนที่สามที่เกิดจากเมียน้อยได้เข้ารับราชการ แม้จะมิได้ดำรงตำแหน่งในเมืองหลวง กระทั่งมิอาจดำรงตำแหน่งในบ้านเกิด แต่จะว่าไปแล้วยังคงมีฐานะสูงกว่าตนอยู่ แล้วเขาจะยอมรับโดยดุษณีได้อย่างไร
บัดนี้ตระกูลเหมยภายใต้การนำของเขา ตลอดสิบสองปีมานี้ได้ผูกสัมพันธ์กับตระกูลตู้จนแนบแน่น คิดว่าคงเป็นผลจากความไม่ยินยอมนี่เอง
คุณชายใหญ่ตระกูลเหมยคนนี้ นอกจากเป็นผู้มีความรู้ความสามารถแล้ว คงมีจิตใจทะเยอทะยานด้วยเป็นแน่
แต่มิทราบว่าความทะเยอทะยานที่ว่านี้จำกัดเพียงแวดวงการค้าหรือว่ายังมีแผนที่ลึกล้ำกว่านั้นอีก
ชิวเยี่ยไป๋แลดูกลีบบุปผาที่ร่วงหล่นตลอดทาง ดวงตาฉายแววหยามหยัน
รองพ่อบ้านเห็นชิวเยี่ยไป๋เฉยเมย ก็เดาไม่ถูกว่านางคิดอะไรอยู่และคิดเอาเองว่าคงเพราะตนพูดจาผิดหูเข้า จึงไม่กล้าพูดอะไรอีก
ช่วงเวลานี้จึงมีแค่เสียงพายกระทบน้ำจ๋อมแจ๋ม และเสียงซู่ซ่าของลมฤดูร้อนที่พัดผ่าน อากาศรอบตัวหอมกรุ่นด้วยกลิ่นบุปผาระคนกับกลิ่นไอดินและความชื้น
ชิวเยี่ยไป๋ยืนเอามือไพล่หลัง ชื่นชมทัศนียภาพงดงามอย่างเงียบๆ พลันแว่วเสียงขับขานมาแต่ไกล “เจียงหนานมีฝักบัวให้เก็บใบบัวมากมายราวท้องทุ่ง ในน้ำมีปลาหลี่ฮื้อเล่นน้ำ ปลาเล่นใบบัวไปทางตะวันออก แล้วเล่นใบบัวไปทางใต้…”
เสียงสตรีที่ขับขาน อ่อนหวานนุ่มนวล สำเนียงเปี่ยมด้วยกลิ่นอายของแดนใต้ ทำเอาชิวเยี่ยไป๋เคลิบเคลิ้ม คล้ายหวนกลับไปวัยเด็กที่เคยติดตามท่านอาจารย์ท่องไปแดนใต้
ยามนั้นนางอายุเพียงสิบสามปี พักอาศัยในดินแดนแห่งน้ำ นางเคยแอบเปลี่ยนชุดแต่งกายเป็นหญิงซึ่งหยิบยืมจากชาวบ้านที่พักด้วยกันโดยท่านอาจารย์มิรู้ แล้วถักเปียคู่ปะปนอยู่กับกลุ่มเด็กหญิงที่เก็บกระจับตามน้ำ นั่งเรือลำน้อยโคลงเคลงเข้าสู่ดงบัวที่ลึกเข้าไปตลอดทาง เก็บกระจับพลางเล่นหัวกับพวกเด็กหญิงอย่างสนุกสนาน แถมยังขโมยดื่มสุราหมักจากบัวของเจ้าของเรือด้วย แทบอยากเมามายมิรู้สร่างอยู่ท่ามกลางกลิ่นหอมจางๆ ของดอกบัวตลอดกาล
ขณะกำลังเคลิบเคลิ้ม ก็แว่วเสียงลำนำชาวใต้ที่มักขับขานยามเก็บฝักบัว
นางเคลิ้มไปกับเสียงเพลงที่คล้ายใกล้เข้ามา “ในดงบัวเป็นสาวน้อยบ้านใดหนอ ยิ้มหัวพลางโยนฝักบัวให้…”
ที่มาพร้อมกับเสียง เป็นผ้าแพรนุ่มนิ่มผืนหนึ่ง
ผ้าแพรนุ่มนิ่มนี้ล่องลอยมาจากสะพานหินน้อยๆ ราวหมอกควัน ผ่านด้านขวาของชิวเยี่ยไป๋ และลอยละล่องลงสู่สายน้ำ
ชิวเยี่ยไป๋ยื่นพัดในมือตวัดรับโดยไม่รู้ตัว รับเอาแพรผืนน้อยไว้ในมือ
สัมผัสที่นุ่มนิ่มยังเจือด้วยกลิ่นหอมจางๆ
“นี่!” เสียงสตรีนางหนึ่งดังมาจากสะพาน “เจ้าทำอะไร เจ้าทำอะไร…”
น้ำเสียงชาวใต้ที่นุ่มนวลแต่ยังขวยเขิน แม้จะเป็นคำถามเหมือนตวาด แต่ฟังแล้วกลับรื่นหูราวสายลมฤดูใบไม้ผลิเดือนสามของเจียงหนาน
ถ้าเป็นคนที่เกิดในเมืองหลวง ย่อมฟังเสียงเหน่อของชาวใต้ไม่ออก แต่ชิวเยี่ยไป๋ฟังเข้าใจ นางจึงเงยหน้าขึ้นแลดูดรุณีวัยกำดัดที่ยืนบนสะพาน ยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า “ข้าเป็นอาคันตุกะ เมื่อครู่ได้ช่วยแม่นางเก็บผ้าแพรที่เกือบหล่นลงเปียกน้ำ”
พอเห็นถนัดตา นางก็งงงัน
ดรุณีบนสะพานหิ้วตะกร้าดอกไม้ในมืออิงกับสะพาน จู่ๆ ก็เอนกายครึ่งตัว สวมเสื้อกั๊กสีรากบัว ตากลมโตเบิกกว้างคล้ายมีโทสะ ปากนิดจมูกหน่อย ใบหน้างดงามยิ่ง
ช่างเป็นใบหน้าแสนงดงามราวกับบุปผาที่แปลงร่างเป็นคน
ไป๋หลี่ชูจัดว่าเป็นคนงดงามยิ่งอยู่แล้ว แต่ชิวเยี่ยไป๋ที่ชินชากับหญิงงามก็ยังอดนึกชมเชยความงามของดรุณีน้อยเบื้องหน้ามิได้
แม้แต่ชิวซั่นหนิงถ้าอยู่ต่อหน้าดรุณีผู้นี้ก็คงรู้สึกอับแสง
ส่วนเสี่ยวชีดูจนอ้าปากค้างไปแล้ว
“มองอะไร หน้าไม่อาย!” ดูเหมือนดรุณีน้อยจะไม่ชอบให้ใครจ้องมองนางเช่นนี้ จึงถลึงตาใส่ชิวเยี่ยไป๋และเสี่ยวชีอย่างเย็นชา แล้วไม่พูดอะไรอีก
รองพ่อบ้านหน้าถอดสี “คุณหนูใหญ่ ท่านมิใช่…ท่านมิใช่ไปไหว้พระที่อารามแล้วหรอกหรือ”
เขานึกไม่ถึงว่าจะเจอะคุณหนูใหญ่ที่ออกจากบ้านไปไหว้พระตั้งแต่เมื่อวาน จึงรู้สึกลำบากใจ
ชิวเยี่ยไป๋ได้ยินเสียงเรียกขานของรองพ่อบ้านก็เข้าใจ ที่แท้ดรุณีนางนี้คือหญิงงามอันดับหนึ่งที่ชื่อเสียงลือเลื่องทั่วราชธานี…เหมยเซียงจื่อ คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเหมย
ฟังว่าหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินผู้นี้ เก่งกาจทั้งโคลงฉันท์กาพย์กลอน แม้จะเป็นสตรีตระกูลพ่อค้าวานิช แต่ราศีและความรู้ยังสูงกว่าบรรดาดรุณีห้องหอในเมืองหลวงด้วยซ้ำ ทำให้บรรดาสตรีเหล่านั้นไม่พอใจ แต่ก็จนปัญญาเพราะคุณหนูตระกูลเหมยผู้นี้งดงามและมีชื่อเสียงจนมิมีใครจะเทียบเทียมได้
——
[1] จิ้นซื่อ คุณวุฒิของผู้ผ่านการทดสอบเข้ารับราชการ (สอบเคอจวี่) ครั้งที่สาม และจะได้รับพระราชโองการแต่งตั้งเป็นขุนนางในราชสำนัก