ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 130 เล่ห์แค้น (3)
ชิวเยี่ยไป๋หยุดเล็กน้อย หลุบตาลงปลายนิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ แต่ไม่พูดไม่จา
เหมยซูเห็นนางจู่ๆ ก็เงียบงันก็ไม่อยากพูดต่อ จึงได้แต่จิบน้ำชาเงียบๆ
ชิวเยี่ยไป๋เงียบไปราวสองเค่อ นานจนเสี่ยวชีสงสัยว่านายของตนหลับไปหรือเปล่า จึงลอบชายตามองอย่างอดมิได้ กลับพบว่าเหมยซูก็นั่งเงียบอย่างสงบด้วย ไม่รู้สึกอิหลักอิเหลื่อแม้แต่น้อย
เกือบหนึ่งชั่วยาม ชิวเยี่ยไป๋จึงเหมือนเพิ่งตื่นจากความภวังค์ พลันเงยหน้าถามเหมยซู “คุณชายใหญ่เหมย”
เหมยซูแลดูนางยิ้มให้บางๆ “ใต้เท้าคิดได้เบาะแสอะไรแล้วหรือ หรือว่ายังมีอะไรจะสอบถามอีก”
ชิวเยี่ยไป๋หาวหวอด “ขออภัย ข้ามิได้คิดอะไรเลย คาดว่าคงพักผ่อนไม่พอ แถมเมื่อครู่ยังถูกพ่อบ้านตวาดใส่ จึงรู้สึกใจลอยง่วงงุน เลยเผลอนั่งหลับไป”
นั่งหลับไป?!
มือที่ถือจอกน้ำชาของเหมยซูสั่นเล็กน้อย “…”
เสี่ยวชี “…”
“เอ้อ คนอย่างคุณชายใหญ่เหมยที่คล้ายเทพเทวา คิดว่าคงไม่ถึงกับโทษใต้เท้าพ่อบ้านกระมัง นี่มิใช่ความผิดของเขา เขาหยาบคายเช่นนี้ คิดดูแล้วอาจผิดต่อบิดามารดาอยู่บ้าง ดังนั้นหากไม่เอาเปรียบด้วยการเสียงดังแล้วจะแบกหน้าอยู่ในโลกได้อย่างไร” ชิวเยี่ยไป๋จิบน้ำชาคำหนึ่งพลางพูดไกล่เกลี่ย
รองพ่อบ้านที่กำลังจะเข้ามาจากนอกประตูใบหน้าบิดเบี้ยวในพริบตา แล้วชะงักมือที่กำลังจะผลักประตู หันกายหลบไปเงียบๆ
เหมยซูเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ จึงได้แต่เงียบงัน
ขณะเดียวกันในใจก็ลอบจดจำข้อมูลอีกอย่างว่า ใต้เท้าคนนี้ใจแคบ เจ้าคิดเจ้าแค้น
ส่วนเสี่ยวชีแทบจะอยากฟุบตัวลงไปเลียรองเท้าผู้เป็นนายเสียเลย เพื่อแสดงความเทิดทูนอย่างสูง
นายน้อยสี่นี่หนอ เคยเห็นหน้าด้านอยู่ แต่ไม่รู้ว่าหน้าหนาขนาดนี้ ท่านผู้เฒ่าช่างเป็นสุดยอดในแดนดินจริงๆ เลย!
เห็นเหมยซูไม่พูด แต่ใบหน้าที่คมคายแต่ไรมา สีหน้าออกจะซับซ้อนกลัดกลุ้มอยู่บ้าง
ชิวเยี่ยไป๋เงยหน้ามองฟ้าแล้วอมยิ้มกล่าวว่า “ใช่แล้ว คุณชายใหญ่เหมย ข้าเห็นว่าตะวันสายแล้ว วันนี้ที่ถามได้อธิบายได้ก็พอสมควรแล้ว ไม่รบกวนแล้ว”
เหมยซูชะงัก แลดูนางครู่หนึ่งแล้วจึงยิ้มเนือยๆ “ใต้เท้าเกรงใจแล้ว ไม่จำเป็นต้อง…”
ชิวเยี่ยไป๋โบกมือขัดคำพูดเหมยซูยิ้มอย่างเฉิดฉัน “ไม่หรอก ข้ามิใช่คนขี้เกรงใจ คุณชายใหญ่เหมยไม่เข้าใจข้าแล้ว เราสองนับว่าเพิ่งพบพานแต่เหมือนสหายเก่า วันหลังหากข้ายังมีอะไรที่ไม่เข้าใจ ย่อมต้องมารบกวนตามที่คุณชายใหญ่ปรารถนาแน่”
เหมยซู “…”
เขาไม่เข้าใจนางจริงๆ ไยจึงมีคนหน้าหนาและพูดเองเออเองถึงเพียงนี้ ต่อให้ในวงการค้าก็ไม่เคยพบคนเกเรขนาดนี้
นี่เพราะเหมยซูหารู้ไม่ว่า แม้เขาจะเป็นเพียงพ่อค้าชั้นสาม แต่ก็เป็นพ่อค้าหลวง พ่อค้ามีอันจะกินและพวกเศรษฐีที่เขาติดต่อด้วย อีกทั้งขุนนางและสกุลใหญ่ตลอดจนพวกกเฬวรากทั่วไปแม้จะไม่น้อย แต่ระดับชั้นก็ต่างกัน ฝีมือชั่วร้ายใดๆ ล้วนมีเปลือกนอกที่งดงามฉาบอยู่
แต่ชิวเยี่ยไป๋ต่างกัน นางพเนจรในยุทธจักรนานปี ยังมีใครบ้างที่ไม่เคยพบเห็นหรือคบหาอีก ดังนั้นนางจึงสามารถนั่งจิบน้ำชาถกหลักการท่ามกลางจันทร์กระจ่างสายลมโชยก็ได้ และสามารถเปลี่ยนเป็นคนถ่อยเถื่อนเกเรได้หน้าตาเฉย ไร้ความละอายก็ได้
นี่ล้วนเพราะระดับชั้นต่างกัน
ดังนั้นเหมยซูจึงได้แต่ลุกขึ้นส่งชิวเยี่ยไป๋ เพียงแต่ใบหน้าที่สุภาพสง่าอบอุ่นดังสายลมไอฝนกลายเป็นเหมือนฟ้าครามไร้เมฆไร้ตะวัน…ไร้ความรู้สึก
“เชิญ ใต้เท้าโปรดระมัดระวังด้วย”
ชิวเยี่ยไป๋กลับรู้สึกคนเบื้องหน้าเป็นคนงามก็คือคนงาม ไม่ว่าสีหน้าจะฟ้าแจ้งหรือฝนพรำ คิ้วคางยังคงน่าดูน่าชม
นางชื่นชมสีหน้าเย็นชาของคนงามพลางกล่าวยิ้มแย้มว่า “คุณชายใหญ่เหมย มิต้องเกรงใจ ให้คนรับใช้ส่งข้าก็พอ คุณชายใหญ่อยู่เป็นเพื่อนข้าทั้งวัน น่าจะเหนื่อยแล้ว สนามการค้าดุจสนามรบ คิดดูแล้วก็ผันแปรชั่วพริบตาเช่นกัน ยังต้องให้ท่านผู้เป็นแม่ทัพหลักไปจัดการ ไม่จำเป็นต้องไปส่งข้าหรอก”
วันนี้มีเรื่องที่อยู่ในความคาดคิดและเหนือความคาดหมายมิใช่น้อย เหมยชูยามนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะเล่นความนัยในคำพูดกับนางอีก จึงมิได้รักษาท่าทีอบอุ่นนุ่มนวลอีกต่อไป พยักหน้าเล็กน้อย “ขอบพระคุณใต้เท้าที่กรุณา”
จากนั้นเขาก็ให้คนไปเรียกรองพ่อบ้านนำชิวเยี่ยไป๋กับเสี่ยวชีออกไป แต่นึกไม่ถึงว่าที่มากลับเป็นพ่อบ้านสาม เขากล่าวอย่างนอบน้อมว่า “รองพ่อบ้านเมื่อครู่เท้าแพลง จึงให้บ่าวมาส่งแขกแทนขอรับ”
ชิวเยี่ยไป๋คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มพยักหน้า “แค่เท้าแพลงหรือ ข้ายังกังวลว่ารองพ่อบ้านทำผิด อาจคิดไม่ตกกระโดดบ่อน้ำฆ่าตัวตายไปแล้วเสียอีก”
คำพูดนี้อัดใส่เหมยซูกับพ่อบ้านสามจนสะอึก ต่างเหลือบมองนางพร้อมกัน เห็นนางจะพูดอีก “ข้า…”
เหมยซูรีบขัดคำอย่างเย็นชา จะได้ไม่ให้อีกฝ่ายถากถางเพิ่มขึ้น “ใต้เท้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น เหมยซูย่อมรู้ตัวดี”
“ใต้เท้าโปรดตามบ่าวมา” ในที่สุดพ่อบ้านสามก็รู้แล้วว่าทำไมรองพ่อบ้านจึงสู้ยอมไปบิดเท้าตนเองคราหนึ่ง แต่ไม่ยอมมาส่งเจ้านายที่ตอแยยากผู้นี้
ชิวเยี่ยไป๋กับเสี่ยวชีจึงจากไปภายใต้การนำทางของพ่อบ้านสาม
เหมยซูมองดูเงาหลังของนางเงียบๆ ดวงตาที่เดิมสดใสหรี่ลงเหมือนลมฝนตั้งเค้า เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดไม่แน่ไม่นอน
เจ้าชิวเยี่ยไป๋คนนี้เป็นคนอย่างไรกันแน่หนอ
เฉียบไวกับเลินเล่อ อดกลั้นกับบุ่มบ่าม ใจแคบกับใจกว้าง ความย้อนแย้งจนสุดโต่งเหล่านี้กลับรวมอยู่ในตัวคนคนเดียว แต่คล้ายไม่มีความย้อนแย้ง
หรือว่าที่อีกฝ่ายแสดงออกในวันนี้เป็นเพียงละครฉากหนึ่ง หากเป็นเช่นนี้ไยเขาจึงต้องแสดงละครฉากนี้ต่อหน้าตนเล่า
ทางออกยังคงเป็นทางน้ำแล้วทางบกเช่นเดิม หญิงพายเรือเฝ้ารอที่ริมฝั่งแต่เนิ่นๆ แล้ว
คราวนี้ชิวเยี่ยไป๋นั่งลงที่หัวเรือ ตลอดทางค่อยๆ ชมดูทัศนียภาพรอบบริเวณ พ่อบ้านสามเดิมทีหลบนางแทบไม่ทันอยู่แล้ว จึงสู้ยอมยองตัวที่หางเรือแสร้งทำตัวเหมือนนกกาน้ำตัวหนึ่ง นกกาน้ำตัวเมียที่เกาะอยู่เมียงมองนกกาน้ำตัวผู้ขนาดยักษ์ข้างๆ แม้จะรู้สึกว่านกกาน้ำตัวผู้ตัวนี้ออกจะน่าเกลียดไปหน่อย แต่จะดีจะร้ายก็เป็นตัวผู้ จึงยังคงโด่งหางให้อย่างสนิทสนม แสดงท่าให้ขึ้นเลย
พ่อบ้านสาม “…”
หญิงถ่อเรือ “…”
เดิมทีเสี่ยวชีที่อยู่ท้ายเรือคิดจะไปเล่นกับนกกาน้ำที่ท้ายเรือ พอเห็นเข้าจึงยกเก้าอี้เงียบๆ ไปนั่งกับชิวเยี่ยไป๋ที่หัวเรือ แต่เขาตาไม่มีศิลป์จึงไม่รู้สึกว่าคลองใหญ่ที่สองฟากมีแต่ดอกไม้ร่วงกับต้นไม้ที่มีแต่ตัวบุ้งมีอะไรน่าดู
เขาดีดตัวบุ้งหลายตัวที่หล่นลงมากระเด็นลงน้ำเป็นเหยื่อปลา และรู้สึกพวกมันไม่น่าสนใจเหมือนบุ้งยักษ์ที่ตนเลี้ยงไว้ จึงใช้วิชาส่งเสียงด้วยลมปราณถามชิวเยี่ยไป๋ว่า “นายน้อยสี่ วันนี้พวกเรามาวุ่นวายที่นี่ทั้งวัน นอกจากท่านแสดงฉากวีรบุรุษช่วยโฉมงามฉากหนึ่งแล้ว ยังได้อะไรไหม”
ชิวเยี่ยไป๋ก็ตอบกลับด้วยวิชาส่งเสียงทางลมปราณเช่นกัน หัวร่อเบาๆ กล่าวว่า “เจ้าคิดว่านายใหญ่สกุลเหมยเป็นคนแบบไหน”