ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 146 หมากตาย (2)
จนกระทั่งครึ่งชั่วยามผ่านไป ประตูแกะสลักบานใหญ่จึงเปิด แอ๊ด หมอหลวงถือ**บยาเดินออกมา เด็กรับใช้ประจำตัวรีบรับ**บยาทันที
หมัวมัวคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา ยิ้มอย่างนอบน้อม “ให้ข้าส่งใต้เท้าออกจากวัง”
หมอหลวงเห็นหมัวมัวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจึงพยักหน้าและเดินตามนางไปที่ประตู ขณะจะถึงประตูวังเขาหยิบขวดกระเบื้องเล็กๆ สีครามใบหนึ่งยื่นให้กับหมัวมัว กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “อากาศร้อนจัดพระพันปีจึงหงุดหงิด พวกหมัวมัวลำบากแล้ว นี่เป็นยาสมานแผลชั้นดี ผสมน้ำทาแผลวันละสามครั้ง สองสามวันก็หายและไม่ทิ้งแผลเป็น”
หมัวมัวรีบรับขวดยายิ้มอย่างขอบคุณ “ขอบคุณท่านหมอหลวง พระพันปีลำบากใจ พวกบ่าวมีหรือจะไม่รู้”
ก่อนถึงประตูวังหมอหลวงยิ้มกล่าวว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็ค่อยๆ อธิบายต่อพระพันปี บัดนี้ฝ่าบาทเซ่อกั๋วไม่อยู่ที่นี่ ยามปกติอย่าพูดถึงมากนัก ให้พระพันปีสบายใจบ้าง”
หมัวมัวลังเลเล็กน้อย ผงกศีรษะแล้วหลุดปากว่า “นั่นนะสิ ท่านบอกว่าปีนี้ฝ่าบาทเซ่อกั๋วไปหลบร้อนที่ภูเขาเอ๋อเหมยก่อนกำหนด พวกเราจึงอยากเชิญท่านราชครูมาแต่เนิ่นๆ ท่านราชครูฝีมือไม่ธรรมดา บ่าวชราเห็นว่าพักนี้พระพันปีไม่ค่อยสบาย เกรงว่าจะต้องใช้ท่านราชครูแล้ว”
ราชครูงามสง่ามิมีใดเทียม รู้แจ้งดินฟ้า รับบัญชาจากสวรรค์ เป็นพุทธะมีชีวิตที่คัดเลือกโดยชินเทียนเทียนเจิ้งคนก่อนกับหรานเติงซือไท่ แต่เลี้ยงดูโดยหรานเติงซือไท่ เติบโตในเขาซวีอู๋ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกตั้งแต่เล็ก ไม่สู้ประสากับเรื่องทางโลกนัก ครานั้นเข้าวังได้ไม่นานก็บังเอิญปะกับฝ่าบาทเซ่อกั๋วที่เพิ่งฟื้นจากประชวร ฝ่าบาทเซ่อกั๋วนึกว่าเป็นเทพบุตรลงจากฟ้า ถึงกับแย่งตัวราชครูไปและฝืนจะเก็บราชครูไว้วังหลัง ต่อมาองค์พระพันปีออกหน้าเอง จึงได้ยับยั้งเรื่องนี้ไว้
นับแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อใดที่ฝ่าบาทเซ่อกั๋วอยู่ในวัง ราชครูเป็นต้องกลับไปบำเพ็ญเพียรที่ภูเขาซวีอู๋ พอฝ่าบาทเซ่อกั๋วไม่อยู่ในวัง ราชครูจึงค่อยกลับวัง
หมอหลวงฟังแล้วก็กล่าวเนือยๆ ว่า “เรื่องนี้ยังคงต้องให้พระพันปีกับหรานเติงซือไท่ตัดสินใจ ท่านราชครูบำเพ็ญเพียรที่ภูเขาซวีอู๋ มิใช่เรื่องที่คนธรรมดาสามัญเช่นเจ้ากับข้าจะตัดสินใจได้”
หมัวมัวคิดดูแล้วก็ว่าใช่ หรานเติงซือไท่กับองค์พระพันปีสนิทสนมกันมาก เรื่องนี้พระพันปีเอ่ยปากกับหรานเติงซือไท่ก็ได้แล้ว พวกตนเป็นเพียงคนธรรมดา จะใส่ใจไปทำไม
และแล้วหมัวมัวจึงน้อมส่งหมอหลวงออกจากวังโดยไม่พูดอะไรอีก
…
เดือนเจ็ดร้อนจัด ลมแม่น้ำพัดแรง ทิวทัศน์สองฝั่งคลองขุดแม้จะไม่งดงามเช่นเดือนสาม แต่กลับเป็นฤดูกาลที่เหมาะกับการล่องลำน้ำเป็นที่สุด
เรือของชิวเยี่ยไป๋แล่นไปช้าๆ บางครั้งก็เร่งรีบ ราวเจ็ดแปดวันก็ถึงไหวหนาน
ที่เรียกว่าไหวหนานในความเป็นจริงเป็นชื่อรวมของตงอั้น หนานหลิง และจงจวิ้นสามดินแดน ตงอั้นกับหนานหลิงเป็นอำเภอ ส่วนจงจวิ้นเป็นจังหวัด สามแห่งนี้เป็นศูนย์กลางการสัญจรทั้งทางน้ำและทางบก จึงย่อมเจริญและครึกครื้นเป็นธรรมดา
ชิวเยี่ยไป๋กับพวกถึงตงอั้นก่อน เห็นริมฝั่งตงอั้นมีการก่อสร้างท่าเทียบเรือมากมาย เรือโดยสารและเรือขนส่งสินค้าแล่นไปมาคึกคัก บ้างกำลังเข้าเทียบท่าอย่างเป็นระเบียบ นอกจากผู้โดยสารและพ่อค้าแล้วยังมีคนผมสีทองตาสีเขียวผิวสีคล้ำจากซีอวี้หรือแดนตะวันตกมิใช่น้อย กำลังขนถ่ายสินค้าชนิดต่างๆ
“ดูท่าความรุ่งเรืองของไหวหนานน่าอิจฉาจริงๆ มีโจรสลัดเกิดขึ้นก็ไม่แปลก” ชิวเยี่ยไป๋ขึ้นฝั่งแลดูและเลิกคิ้วกล่าว
ที่ใดมีคนที่นั่นย่อมมีชาวยุทธจักร อย่าว่าแต่ที่นี่เจริญรุ่งเรืองถึงเพียงนี้ แต่โจรสลัดที่มีอิทธิพลปล้นเรือพ่อค้าหลวงได้ก็ยากจะคาดคิดแล้ว
โจวอวี่ลูบคางเห็นด้วย “ฟังว่าส่วยภาษีของสามแดนนี้ แต่ละปีเป็นรองเพียงแถบเจียงหนานเล็กน้อยเท่านั้น”
เวลานี้เจ้าของเรือจู่ๆ ก็ขึ้นมากล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ใต้เท้า พวกเราได้รับหมายเลขให้เทียบท่าแล้ว โปรดเก็บข้าวของขึ้นจากเรือเถิด ข้าน้อยเห็นคนของซือหลี่เจียนเรามารอรับบนฝั่งแล้ว”
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้า กำลังเตรียมจะเข้าห้องไปเก็บข้าวของ ก็เห็นเหมยเซียงจื่อยองกายกับผนังเรือด้วยท่าทางตื่นกลัว
“เสี่ยวเซียง เป็นอะไรไป” ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้วแลดูเหมยเซียงจื่อ
เหมยเซียงจื่อท่าทางกระสับกระส่าย “บนฝั่งมีคนบ้านข้า!”
ชิวเยี่ยไป๋งงงันหันหน้าไปดูบนฝั่ง เห็นบริเวณท่าเรือมีคนไม่น้อยชะเง้อมองไปทั่ว แม้พวกเขาจะมิได้สวมใส่ชุดสีเดียวกัน แต่ดูจากการสบตาแลภาษากายแล้ว ก็ดูออกว่าเกี่ยวพันกับพวกตนแน่
“ใต้เท้า พวกเราจะปลอมตัวขึ้นฝั่งหรือไม่” โจวอวี่เห็นแล้วกระซิบถามทันที
ชิวเยี่ยไป๋แววตาวิบวับแล้วกล่าวเรียบๆ ว่า “ขอเพียงเหมยซูไม่อยู่ที่นี่ ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล ต่อให้เจ้าปลอมตัวคราวนี้ แต่จะคอยหลบคนตระกูลเหมยตลอดไปได้หรือ เพราะอย่างไรเหมยซูอย่างมากก็มาช้ากว่าเราวันเดียว”
โจวอวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ได้คิดอย่างรวดเร็ว กล่าวเบาๆ ว่า “ใต้เท้าท่านหมายความว่าเหมยซูคำนึงถึงชื่อเสียงคุณหนูใหญ่เหมยจึงไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปหรือ แม้จะสั่งการให้คนของตระกูลเหมยคอยสอดส่อง แต่ไม่บอกความนัยทั้งหมด”
ชิวเยี่ยไป๋แลดูโจวอวี่ นึกในใจว่าหมอนี่ฉลาดจริง
นางพยักหน้าแล้วเอื้อมมือลากเหมยเซียงจื่อลุกขึ้น กล่าวเนือยๆ ว่า “เซียงเอ๋อร์ ถ้าเจ้าไม่กล้าเผชิญหน้ากับคนในบ้านตรงๆ มัวแต่วิตกว่าพวกมันจะรู้ฐานะที่แท้จริงของเจ้า เช่นนี้เจ้าก็จงอยู่รอพี่ชายเจ้ามารับเจ้าเถิด จะได้ไม่เสียชื่อตอนถูกพบว่าอยู่กับบุรุษอื่น”
เหมยเซียงจื่ออึ้งไป หลายวันนี้นางสงบเสงี่ยมดี ดังนั้นน้ำเสียงของชิวเยี่ยไป๋จึงนุ่มนวลขึ้นไม่น้อย และไม่ค่อยค่อนขอดนางมากนัก สีหน้าของนางฉายแววลำบากใจแวบหนึ่ง แล้วจึงชักมือกลับใบหน้านิ่งเรียบกล่าวว่า “เซียงเอ๋อร์เข้าใจแล้ว คุณชายสี่”
ชิวเยี่ยไป๋แลดูนางแล้วสั่งว่า “ไปเก็บข้าวของของเจ้า จำไว้ ขณะนี้เจ้าคือเซียงเอ๋อร์”
ว่าแล้วนางก็หันกายเข้าห้องไป เหมยเซียงจื่อมองตามเงาหลังของนางด้วยแววตาที่สับสน
จนกระทั่งชิวเยี่ยไป๋และพวกขึ้นจากเรือ ก็เห็นคนสามคนในชุดองครักษ์รออยู่ที่ท่าเรือ พอเห็นชิวเยี่ยไป๋ขึ้นจากเรือใหญ่ที่มีตราสัญลักษณ์ของซือหลี่เจียนก็รีบวิ่งมาต้อนรับ คนที่นำหน้ากวาดตามองพวกของ
ชิวเยี่ยไป๋ แล้วถามอย่างนอบน้อมว่า “ขอบังอาจถามใช่ชิวเชียนจ่ง ใต้เท้าชิวหรือไม่ขอรับ”
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้า “ใช่”
คนผู้นั้นรีบปั้นรอยยิ้มประสานมือคารวะกล่าวว่า “ข้าน้อยมั่วเสียน เป็นอี้จ่างซือหลี่เจียนประจำไหวหนาน ขอต้อนรับใต้เท้าเชียนจ่ง”
“มั่วเสียน อย่าได้รังเกียจ[1] ใต้เท้ามั่วชื่อแปลกดี” ชิวเยี่ยไป๋คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม
มั่วเสียนก็ไม่ถือสา เพียงกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “มีโอกาสทำให้ใต้เท้ายิ้มได้ก็พอใจแล้ว ใต้เท้าเชิญเถิด ในจวนจัดห้องหับสำหรับใต้เท้ากับคณะไว้แล้ว”
——
[1] ชิวเยี่ยไป๋ถอดความตามความหมายชื่อของมั่วเสียน (莫嫌) ว่า 莫要嫌弃么 ซึ่งหมายถึง อย่าได้รังเกียจ