ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 154 เก็บหลวงจีนได้รูปหนึ่ง (5)
ชิวเยี่ยไป๋เห็นแล้วอมยิ้ม “เช่นนั้นก็ดีแล้ว!”
พูดจบนางพลันยกมือ คว้าแขนเฉินต้ากวนเหรินไว้อย่างคล่องแคล่ว แล้วเหวี่ยงไปที่ลูกกรงระเบียงห่างไปสิบเมตร
พริบตานั้นที่แม่น้ำมีเสียงร้องโหยหวนพร้อมกับเสียงของหนักตกน้ำ ตูม ใหญ่
“เอาล่ะ ทำเสร็จแล้ว” ชิวเยี่ยไป๋ปรบมือกล่าวเนือยๆ
ทุกคนตาค้างไปกับฉากพิสดารที่แมวปัวซือเหวี่ยงหมูป่าตัวใหญ่ จริงด้วย ‘ทำ’ เสร็จแล้ว
อาจบางทีพวกเขาดูผิดไป นี่มิใช่แมวปัวซือที่งดงามแต่อย่างใด หากแต่เป็นเสือดาวที่สามารถกัดคอหอยของหมูป่าต่างหาก!
ชิวเยี่ยไป๋ไม่สนใจสายตาเหล่านั้น แลดูเถ้าแก่จูที่ตกใจแกว่งป้ายในมือเบื้องหน้าเขา “ข้าคือพ่อบ้านใหญ่สกุลเหมยจากเมืองหลวงมาตรวจบัญชี เฉินต้ากวนเหรินบังอาจก้าวร้าวต่อคนสกุลเหมยเรา ถ้าเขายังมีชีวิตรอด พรุ่งนี้จงไปขอขมาต่อคุณชายใหญ่เหมยที่ร้านสาขาสกุลเหมย”
พูดจบนางก็แลไปทางหลวงจีนที่อยู่ข้างๆ ขณะกำลังจะพูดอะไรกลับพบว่าหลวงจีน…หายตัวไปแล้ว
นางงงงัน เจ้าหลวงจีนรูปนี้ออกจะรวดเร็วเกินไปกระมัง นางเพิ่งช่วยเขาไว้ เขาก็แอบหนีไปเลยหรือ
แต่นาทีต่อมา เสียงพิกลของโจวอวี่ก็ดังขึ้น “นายน้อยสี่!”
ชิวเยี่ยไป๋มองตามเสียงก็อึ้งไปอีกครั้ง เจ้าหลวงจีนที่นางนึกว่าหนีไปแล้วถึงกับมิรู้ไปนั่งอยู่ที่โต๊ะของนางตั้งแต่เมื่อใด นางจึงเดินไปดู ก็พบว่าหลวงจีนผมเงินกำลังเทกับข้าวเข้าปากด้วยท่าทางแสนงดงาม
ไม่ผิด…‘เท’ จริงๆ
ระดับความเร็วในการกินของเขา ทำให้นางนึกถึงคำนี้
เห็นเขากวาดจานไก่ย่างครึ่งหนึ่งลงในชาม แล้วยกชามยัดเข้าปากอย่างสุภาพทั้งชาม ยัดเข้าไปทั้งเนื้อทั้งกระดูก ครู่เดียวสิ่งที่ออกจากปากแสนงามก็เหลือแต่กระดูกแสนประณีตกองหนึ่ง
ทำไมจึงว่าประณีต
เพราะกระดูกเหล่านั้นเหมือนใช้เครื่องมือแคะจนสะอาดเกลี้ยงเกลา ไม่เหลือเศษเนื้อแม้แต่น้อย
นางตาค้างมองดูปากงดงามที่ไร้คราบมันแม้แต่น้อยซึ่งเริ่มกลืนกินเป็ดย่างอีกครึ่งตัว นึกสงสัยจริงๆ ว่าโครงสร้างปากของเขาเป็นอย่างไร ถึงกับสามารถ…มหัศจรรย์ถึงเพียงนี้!
ชิวเยี่ยไป๋กับโจวอวี่ปากอ้าตาค้างแลดูหลวงจีนที่กินกับข้าวของพวกเขาซึ่งกินไปไม่ถึงครึ่งหมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึงเค่อ แล้วจึงได้สตินึกขึ้นได้ว่าถูกหลวงจีนรูปนี้กินเปล่าหรือไม่
ชิวเยี่ยไป๋เห็นหลวงจีนคีบข้าวเม็ดสุดท้ายในชามเข้าปากอย่างสุภาพ นางเลิกคิ้วขึ้น “ไต้ซือ ท่านไม่คิดว่าท่านออกจะเกินเลยไปหน่อยหรือ”
ดูเหมือนนางจะมิได้นิมนต์หลวงจีนมากินข้าวที่โต๊ะนี่นา
หลวงจีนรูปงามช้อนตาแลดูชิวเยี่ยไป๋ ประนมมือกล่าวเนือยๆ ว่า “อมิตพุทธ อาตมาทำนายได้ว่าประสกจะตักบาตรข้าวมื้อนี้ จึงช่วยประหยัดเวลาข้ามมาช่วยกินก่อนเลย”
ชิวเยี่ยไป๋ “ไต้ซือ หนังหน้าท่านจะหนากว่านี้อีกหน่อยได้ไหม”
หลวงจีนช้อนดวงตาสุกใสมองชิวเยี่ยไป๋ “ถ้าเช่นนั้นประสกท่านนี้ก็ช่วยสั่งไส้หมูมาอีกสองชั่งแล้วกัน”
ชิวเยี่ยไป๋ “…”
โจวอวี่ “…”
ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกพิกลจึงถามเยาะว่า “ไต้ซือ ท่านยังมีอะไรต้องการอีกไหม”
เขาคิดดู “ต้องผัดไฟแรง อย่าผัดเปล่าๆ”
นางถาม “ทำไมหรือ”
หลวงจีนรูปงาม “ผัดเปล่าๆ กลิ่นมูลจะแรงมาก อาตมาไม่ค่อยชอบ”
ชิวเยี่ยไป๋ “…”
นางเงียบไปครู่หนึ่ง พลันยิ้มให้หลวงจีนผมเงินอย่างอบอุ่น “ไต้ซือ ท่านว่าเราหารือกันสักนิดดีไหม”
หลวงจีนช้อนตางดงามมองนางแวบหนึ่ง “หารืออะไร”
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้ม “ตามข้าไป มีเนื้อให้กิน”
หลวงจีนแลดูนางพร้อมพยักหน้า “ได้”
คำตอบตกลงอย่างหมดจดของหลวงจีนทำเอาชิวเยี่ยไป๋แปลกใจ “ท่านไม่ได้กลิ่นศพบนตัวข้าบ้างหรือไร”
แม้นางจะมิรู้ว่าทำไมบนตัวของเฉินต้ากวนเหรินจึงมีกลิ่นศพ แต่เห็นท่าทางหวั่นใจของอีกฝ่ายแล้วก็รู้ว่าเจ้าคนแซ่เฉินน่าจะมิใช่คนดีแต่อย่างใด เกรงว่าน่าจะมีคดีฆาตกรรมติดตัวไม่น้อย
แต่ชิวเยี่ยไป๋ก็เคยมือเปื้อนเลือดเช่นกัน มิใช่คนดิบดีนัก ไยเจ้าหลวงจีนจึงตอบอย่างรวบรัดเล่า
หลวงจีนผมเงินแลดูนาง มุมปากงดงามยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ “ต่อให้บนตัวประสกมีกลิ่นศพ ยังคงเป็นกลิ่นหอมของดอกม่านจูซาหัว[1] เฉกเดียวกับยักษาผู้เป็นหนึ่งในแปดองครักษ์ฟ้าพิทักษ์พุทธะ มือเปื้อนเลือดสดนับมิถ้วน”
ดอกม่านจูซาหัวเป็นหนึ่งในบุปผาอัศจรรย์แดนพุทธะ ที่ว่าอัศจรรย์เพราะมันกำเนิด ณ ริมฝั่งแม่น้ำยมโลก เป็นดอกไม้แห่งสะพานเป็นตาย สีแดงหมายถึงความชั่ว สีขาวหมายถึงความดี เป็นดอกไม้ที่มีสองสีบนต้นเดียวกัน
ชิวเยี่ยไป๋แลดูรอยยิ้มที่มุมปากซึ่งสะอาดใสราวผลึกแก้ว รู้สึกหวั่นไหวอย่างประหลาดจึงหลุบตาลง ปลายนิ้วไล้ผ่านมุมปากเขาเบาๆ อย่างอุกอาจ คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มกล่าวว่า “ไต้ซือพูดเก่ง พุทธะก็กล่าววาจาอ่อนหวานปานน้ำผึ้งเช่นนี้หรือ”
หลวงจีนผมเงินประนมมือ กล่าวเนือยๆ ว่า “บรรพชิตไม่มุสา”
โจวอวี่มองดูนิ้วของชิวเยี่ยไป๋ที่ค้างอยู่มุมปากของหลวงจีน รู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด จึงแค่นเสียงดูแคลนคราหนึ่ง “เหลวไหล”
สุดท้ายชิวเยี่ยไป๋ยังคงสนองความปรารถนาเล็กๆ ของหลวงจีนผมเงิน ขณะเดียวกันก็สั่งให้เถ้าแก่จูหั่นเนื้อวัวสิบชั่ง ไก่ย่างสิบตัว และห่านย่างอีกสิบตัวห่อกลับไป
ตอนชำระเงิน นางวางป้ายประกาศิตสกุลเหมยลงบนโต๊ะ กล่าวเนือยๆ ว่า “พรุ่งนี้ไปคิดเงินที่บ้านสกุลเหมย”
เถ้าแก่จูเคยเห็นป้ายประกาศิตสกุลเหมยมาก่อน ป้ายของสกุลเหมยแบ่งระดับชั้นตามสี เป็นน้ำตาล ส้ม แดง เขียว คราม น้ำเงินอมม่วง ซึ่งสีน้ำตาลเป็นระดับสูงสุด
เช่นเดียวกับอันที่อยู่ใกล้มือชิวเยี่ยไป๋ จึงแสดงว่าฐานะของชิวเยี่ยไป๋ไม่ธรรมดา เขามีหรือจะกล้ารับป้ายประกาศิตของสกุลเหมยไว้ กิจการต่างๆ ของฝั่งตะวันออกนี้เป็นของสกุลเหมยกว่าครึ่ง ซึ่งก็หมายความว่าพวกเขาพึ่งพาสกุลเหมยในการยังชีพ
เขารีบปั้นยิ้มเกลื่อนหน้าทันที “ท่านพ่อบ้านใหญ่ ข้าน้อยมีหรือจะบังอาจรับของเหล่านี้ไว้ ท่าน…ท่าน…ท่านเดินดีๆ เถิด ของพวกนี้ถือว่าข้าน้อยคารวะต่อกันก็แล้วกัน”
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้าและไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “อืม เช่นนั้นก็ขอบใจ”
พูดจบก็ให้โจวอวี่แบกของแล้วจากไป ที่ไม่ให้เจ้าหลวงจีนแบกก็เพราะเกรงว่าไม่ถึงครึ่งทางเขาอาจกินของเหล่านี้จนหมดเกลี้ยง
อีกประเดี๋ยวยังต้องใช้ของพวกนี้
โจวอวี่ขมวดคิ้ว “ใต้เท้าขอรับ ท่านนำของพวกนี้ไปด้วย คิดว่าประเดี๋ยวคงต้องได้ใช้กระมัง แต่เรายังมีธุระอื่น ไยจึงพาหลวงจีนรูปนี้เป็นภาระด้วยขอรับ”
ชิวเยี่ยไป๋แลดูหลวงจีนผมเงินที่เดินตามหลังเงียบๆ แล้วถอนใจคราหนึ่ง “เจ้าคิดว่าข้าอยากหรือ เมื่อครู่เป็นเรื่องแล้ว ข้าจะกล่อมให้หลวงจีนรูปนี้ขลุกอยู่มุมกำแพงนั่นหรือ เกรงว่ากว่าเราจะทำธุระเสร็จกลับมา หลวงจีนคงถูกจับไปแล้ว
——
[1] ม่านจูซาหัว เป็นพืชชนิดหนึ่ง ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่าฮิกัง บานะ หมายถึงความทรงจำที่เศร้าสลดในภาษาจีนหมายถึงความงดงามบริสุทธิ์ ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Lycoris radiata ดอกมีทั้งสีแดงและขาว