ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 175 หลับด้วยกันให้สบายเถิด (1)
“อามิตาภพุทธ ประสกโปรดรอสักครู่”
หลวงจีนเมิ่งอี๋ที่ดูเหมือนกลับสู่สภาพปกติพลันกล่าวอย่างมีมารยาท แล้วก็ใช้ท่าทางอันงดงามนำของกินบนตัวค่อยๆ วางลงบนโต๊ะที่เหลือสามขาแต่ยังไม่ล้มลงตัวหนึ่ง
ทุกคนจ้องมองเห็นเขาใช้ผ้าปูโต๊ะห่อกับข้าวมากมายไว้ด้วยกัน แล้วเหลียวซ้ายแลขวา สายตาตกอยู่ที่โจวอวี่กับเสี่ยวชีและเดินเข้าหา ท่ามกลางสายตาระแวดระวังและหวาดกลัว เขากล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจและนุ่มนวลว่า “อามิตาภพุทธ อาตมาจะผูกสัมพันธ์กับทั้งสองท่าน มิทราบท่านทั้งสองจะยินดีผูกวาสนากับพุทธะหรือไม่”
หลังเห็นพิธีส่งวิญญาณอันน่าสะพรึงกลัวเมื่อครู่แล้ว โจวอวี่กับเสี่ยวชียังจะพูดอะไรได้อีก บวกกับชิวเยี่ยไป๋พยักหน้าให้ จึงรีบแสยะยิ้มกล่าวว่า “ไต้ซือ เชิญตามสะดวก!”
ขอเพียงเขาไม่คิดพิสดาร ‘สวดส่ง’ ตนก็พอแล้ว!
แต่แหม คุณชายสี่ของเรายอดเยี่ยมจริงๆ
ทุกคนพากันสำรวจว่าตนเองเหยียบย่ำของกินบ้างหรือเปล่า กลับมิได้นึกถึงว่าประเด็นสำคัญอยู่ที่อาหาร จะยุติความบ้าของมารพุทธต้องพึ่งของกินถ่ายเดียว แต่พวกเขาดันทำตรงข้าม
ทุกอย่างเป็นดั่งที่คุณชายสี่คาดไว้ คลี่คลายโศกนาฏกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย
โจวอวี่กับเสี่ยวชีเชื่อว่าชิวเยี่ยไป๋มิใช่คนสูงส่งที่สละตนเพื่อเห็นแก่ส่วนรวม ในเมื่อคุณชายสี่กล้าตอบรับว่าจะไปนอนกับหลวงจีน ย่อมต้องมีแผนในใจสุดที่ตนจะล่วงรู้
ดังนั้นพวกเขาจึงมอบกับข้าวในมือทั้งหมดให้หยวนเจ๋อ มิได้คิดจะห้ามปรามเขา
หยวนเจ๋อเห็นได้ของมากมายก็ดีใจ หลังกล่าวอามิตาภพุทธต่อเขาทั้งสองแล้ว ก็รับอาหารจาก
โจวอวี่และเสี่ยวชีห่อรวมกันในห่อใหญ่ ทำเป็นถุงแบกไว้ที่บ่า มืออีกข้างยังคงถือโถพระกระโดดกำแพงแล้วพยักหน้าให้ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มน้อยๆ “เรียบร้อยแล้ว ปล่อยให้ประสกรออยู่นาน เราไปนอนกันเถิด”
ต่อให้ชิวเยี่ยไป๋หน้าด้านกว่านี้ ก็รับไม่ได้กับการ ‘ชวนตรงๆ’ ซ้ำสอง นางแลดูห่อของขนาดใหญ่ที่สูงท่วมหัวเขาและใหญ่ขนาดสองเท่าของตัวเขาแล้ว เหมือนหอยทากที่แบกเปลือกขนาดใหญ่ไว้ ก็อดคลึงหน้าผากมิได้ “เจ้าแน่ใจนะว่าแบกไหว”
หลวงจีนหอยทากผงกศีรษะอย่างเบิกบาน “ไหวน่า!”
ชิวเยี่ยไป๋จึงได้แต่พยักหน้าอย่างจนใจ “ดี ไปกันเถิด”
นางพาหยวนเจ๋อออกจากประตู หันไปมองหลินชงลั่งกับพวกที่สีหน้ายังค้างอยู่เหมือนเดิมก็ยิ้มอย่างจนใจ ชี้นิ้วไปที่ศีรษะแล้วถอนใจคราหนึ่ง หันกายเดินตามหยวนเจ๋อออกไป
ส่วนหลินชงลั่งกับพวกกลับมีสีหน้าเหมือนเพิ่งเข้าใจ…ไต้ซือเมิ่งอี๋สมองมีปัญหา เมื่อครู่โรคกำเริบ
อย่างน้อยทุกคนก็อยากจะยอมรับคำอธิบายเช่นนี้
ไม่มีใครอยากยอมรับว่าหัวหน้าฝ่ายอธรรมมากมายขนาดนี้ถึงกับกลัวคนคนเดียวจนไม่มีใครกล้าหนีหรือโต้ตอบ ไม่เช่นนั้นคงอยู่ต่อในสายอธรรมของไหวหนานมิได้แล้ว
พวกเขาก็แค่ไม่ถือสาคนป่วยคนหนึ่ง
ขณะเดียวกันพวกเขาไม่โต้กลับก็เพราะให้หน้าเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่ ถึงอย่างไรคนที่คุณชายสี่พามาย่อมไม่ธรรมดา ส่วนคนของค่ายฉงฉี…ไหนๆ ทิ้งไว้ก็เป็นเภทภัย และสุดท้ายที่ลงมือกับพวกเขาก็มิใช่คนของสามสิบหกลุ่มน้ำ ย่อมมิใช่ไม่เห็นแก่คุณธรรมต่อพวกเขา
หลินชงลั่งมองดูร่างมนุษย์ฝังจมผนังบนพื้นและบนเสา บางร่างยังกระตุกอยู่ ดวงตาฉายแววเย็นเยียบ
ชิวเยี่ยไป๋กับหยวนเจ๋อกำลังจะออกไป ก็มีเงาร่างหลายคนดาหน้าเข้าหา คนนำหน้าร่างสูงโปร่งในชุดสีครามอ่อนแขนกว้าง จะให้นางไม่รู้จักก็ยังยาก
เหมยซู!
ถึงกับประจันหน้าตรงๆ
ชิวเยี่ยไป๋หันกลับใช้วิชาเคลื่อนย้ายร่าง หันไปอยู่ข้างห่อมหึมาของหยวนเจ๋อ ห่อของใหญ่พอที่จะบังร่างนางไว้
แสงตะวันส่องด้านหลังตน ตะวันยามรุ่งบาดตา เหมยซูย่อมถูกจำกัดด้านสายตา! น่าจะไม่เห็นตนเร็วเกินไป!
แต่เป้าหมายใหญ่ขนาดนี้ย่อมดึงดูดสายตาของเหมยซู เขาพลันหยุดฝีเท้า กล่าวเบาๆ ว่า “อาจารย์น้อยทั้งสองท่านโปรดรั้งไว้”
แม้เขาจะเห็นอยู่แล้วว่าเป็นห่อของมหึมา แต่บัดนี้หันหน้าเข้าหายังคงรู้สึก…รู้สึกสะท้านใจ!
เหมยซูมองดูห่อของที่ยังสูงกว่าตนเองเสียอีกอย่างประหลาดใจ รู้สึกว่าเทียบกับห่อของมหึมานี้แล้ว หลวงจีนน้อยที่แบกไว้เหมือนไม่มีตัวตนและถ้าเขาได้กลิ่นไม่ผิด กลิ่นที่โชยออกจากห่อของ…เป็นกลิ่นอาหาร?
หยวนเจ๋อเห็นมีคนเรียก จึงหยุดหันหน้ามาหาอีกฝ่าย เห็นเป็นคุณชายอายุน้อย จึงวางโถพระกระโดดกำแพงลง ประนมมือกล่าวว่า “อามิตาภพุทธ ประสกเรียกอาตมามีธุระอะไรหรือ”
เหมยซูจึงได้สติ เห็นหลวงจีนน้อยเบื้องหน้าเหมือนนักบวชทั่วไป ประนมมือค้อมกายแสดงออกถึงการถ่อมตัวที่บรรพชิตพึงมี เพียงแต่ผมสีเงินที่ปรกหน้าผากยาวเกินไป ปิดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง แม้กระนั้นยังคงมิอาจปิดบังกลิ่นอายความสงบบริสุทธิ์จากเรือนกาย
ถ้ามิใช่คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอายุน้อยมาก เหมยซูยังคิดว่าตนเองพบกับหลวงจีนที่บำเพ็ญตบะมานานปีเสียอีก
เขานึกแปลกใจ ในเขตแดนของโจรสลัดสามสิบหกลุ่มน้ำถึงกับมีศิษย์พุทธะที่ลึกล้ำถึงเพียงนี้!
เหมยซูเหลือบเห็นห่อของบังเงาร่างอีกคนหนึ่ง เพียงเห็นครึ่งตัว
เขาจึงถามอย่างเกรงอกเกรงใจ “ไต้ซือ ข้าน้อยเห็นท่านออกมาจากจวี้อี้ถาง จึงอยากเรียนถามว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น เหตุใดประตูใหญ่จึงไม่มีคนเฝ้าเลยสักคน”
ชิวเยี่ยไป๋ยืนอยู่อีกข้างของห่อของนึกในใจว่า ย่อมไม่มีคนเฝ้า คนที่เฝ้าอยู่ข้างนอกพอได้ยินเสียงเอะอะต่างก็พุ่งเข้าไปในจวี้อี้ถางหมายจะคุ้มกันเจ้านายของตน แต่เมื่อเจอภาพที่น่ากลัวขนาดนั้น พวกเขาจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามและยังไม่กล้าหนีออกมาด้วย
แต่นางก็อยากรู้ว่าหยวนเจ๋อที่ ‘ไม่เคยมุสา’ จะอธิบายเหตุการณ์นี้อย่างไร
หยวนเจ๋อฟังแล้วก็กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “บาปกรรมๆ ถ้าประสกเป็นสหายกับพวกคนในนั้น ก็ควรตักเตือนพวกเขา จงอย่าได้ย่ำยีของกิน ต้องจัดสถานที่ปฏิบัติธรรมทั้งทางน้ำทางบก และจัดพิธีเซ่นสรวงจึงจะถูก”
ตาเรียวยาวงดงามของเหมยซูฉายแววสงสัย เขาไม่เข้าใจเลยว่าการย่ำยีของกินกับสถานปฏิบัติธรรมทั้งน้ำทั้งบกเกี่ยวกันอย่างไร หรือว่าคนในนั้นนิมนต์หลวงจีนมาก็เพื่อประกอบพิธีเซ่นไหว้
การเซ่นไหว้อวยพรวันเกิด เป็นกฎเกณฑ์พิเศษของฝ่ายอธรรมกระนั้นหรือ
เหมยซูพยักหน้าให้หยวนเจ๋อ กล่าวเสียงนุ่มนวล “ขอบพระคุณไต้ซือที่ชี้แนะ”