ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 221 เขาพูดจริง (1)
ขารู้สึกเห็นใจชิวเยี่ยไป๋อย่างอดมิได้
แต่เจ้านายของตนสงบจิตสงบใจดุจน้ำนิ่งมาสิบกว่าปี ยากนักที่จะเกิดความรู้สึกกับใครเช่นนี้ และคนที่ต้องตาก็เป็นหงส์มังกรในหมู่มนุษย์ จะอย่างไรก็ตาม พวกเขาที่เป็นบ่าวย่อมต้องช่วยให้ฝ่าบาทสมปรารถนา
หลังซวงไป๋คารวะถอยไปอย่างนอบน้อมแล้ว ไป๋หลี่ชูมองดูกุหลาบในมือ นึกถึงภาพเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่ที่ว่านอนสอนง่ายแต่มิยอมเฝ้าเว้าวอนรองรับอยู่ใต้ร่างตน ความรู้สึกไม่พอใจซึ่งเดิมทีคงหลับต่อมิได้พลันสลายไปและสบายใจอย่างยิ่ง
พอเขาอารมณ์ดี ดอกกุหลาบในลานบ้านกลับย่ำแย่ หลังถูกเขาบดขยี้แล้วก็เหลือเพียงเศษกลีบดอกที่ชอกช้ำหย่อมใหญ่
ไป๋หลี่ชูกลับรู้สึกว่าภาพดอกไม้ที่ยับเยินแลดูน่าสลดเป็นภาพที่ดีมาก คล้ายใครคนหนึ่งหลังถูกย่ำยีแล้วก็คงสภาพเหมือนเช่นนี้ ริมฝีปากงดงามพลันโค้งเป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้าย ครวญเพลงลำนำชาวใต้เบาๆ เก็บเศษดอกไม้เหล่านั้นยัดเข้าแขนเสื้อช้าๆ
“ฟังเสียงหวูดอันเศร้าสลด เห็นผู้กล้าตกเป็นนักโทษน่าสงสาร โฉมตรูมีโทษใดจึงถูกจับ ถูกประหารถึงสิบชั่วโคตร แม้จะเป็นภัยจากฟากฟ้ากลับลบล้างมิให้ประหารในวงกว้าง โอ้ แค้นนักที่ขาดคนถอดเสื้อตีกลองด่าอวี่หยาง…”
บทลำนำโหยหวน กลับถูกเขาขับขานจนนุ่มนวลแสนอาดูร ฟังแล้วขนลุก
ในหอน้อย ชิวเยี่ยไป๋กำลังนั่งเดินกำลังภายใน จู่ๆ ก็รู้สึกเย็นที่หลังจนสยิวกายอย่างหนาวเหน็บ เกือบธาตุไฟเข้าแทรก
นางคลึงไหล่ตนเอง เห็นว่าจิตใจไม่สงบจึงลุกขึ้นเสียเลย คิดจะไปหาน้ำชาสักจอกขับไล่ความหนาวเย็น พลันได้ยินเสียงประตูเปิด แอ้ด ลมเย็นสายหนึ่งพัดเข้ามา
ชิวเยี่ยไป๋แม้ไม่หันศีรษะก็รู้ว่าเป็นไป๋หลี่ชู มีแต่คนที่ชินกับความสูงส่งเหนือคนทั้งปวง จึงจำไม่ได้ว่าจะเข้าประตูของใครต้องเคาะประตูก่อน
นางมิใช่ไม่เคยเตือน แต่ไป๋หลี่ชูสวนเบาๆ ว่า ที่นี่มิใช่ห้องของข้าหรอกหรือ นางก็จนด้วยคำพูด
นั่นนะสิ ใครคนนั้นก็นอนในห้องนี้นี่!
“ฝ่าบาท ทำไมถึงกลับมา” นางรินน้ำชาให้ตนเองจอกหนึ่ง กล่าวประชดประชันโดยไม่หันหน้าให้
นางยังจำได้ว่าเช้านี้ไอ้หมอนี่กระโจนออกจากห้องเหมือนเห็นผี ตอนเที่ยงก็ไม่กลับมากินมื้อกลางวัน
ไป๋หลี่ชูยืนที่ปากประตู พิจารณาชิวเยี่ยไป๋รอบหนึ่ง เห็นนางสวมชุดเขียวรัดผมยาวไว้ ไม่มีกลิ่นอายของสตรีแม้แต่น้อย ดวงตาจึงฉายแววพึงพอใจและไม่ใส่ใจกับคำประชดของนาง เดินตรงเข้ามา “เสี่ยวไป๋ สภาพเช่นนี้น่าลุ่มหลงที่สุด อยู่ดีไม่ว่าดี ไฉนจึงทำร้ายตัวเองด้วยการทำตัวมิหญิงมิชาย”
มิหญิงมิชาย…
หลังมือชิวเยี่ยไป๋เส้นเลือดปูดพองแล้วเหลือบมองไป๋หลี่ชูในชุดสีแดง หัวร่อเย็นชาว่า “ย่อมเพราะท่าทางมิหญิงมิชายของฝ่าบาท ข้าจึงคิดจะเลียนแบบ”
ข้ามิหญิงมิชาย หรือเจ้าที่โรคจิตมิใช่มิหญิงมิชาย
ยากนักที่ไป๋หลี่ชูจะอารมณ์ดีและไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงกับนาง จึงเพียงกล่าวยิ้มๆ ว่า “วันนี้เสี่ยวไป๋อารมณ์ร้อน เช่นนั้นข้าให้เจ้าลองทดสอบดูว่าข้าเป็นชายหรือหญิง ดีหรือไม่”
ชิวเยี่ยไป๋สีหน้าไร้อารมณ์ในพริบตา “ไม่จำเป็น”
นางกลัวแต่ว่าไอ้โรคจิตจู่ๆ จะคิดพิสดารจับนางพิสูจน์ให้ได้ จึงรีบเปลี่ยนเรื่องเสียเลย “ฝ่าบาท ข้าขอถามหน่อย ท่านรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าคดีไหวหนานไม่ธรรมดา”
เห็นอากัปกริยาของไป๋หลี่ชูชะงักเล็กน้อย ดวงตานางพลันฉายแววเย็นเยียบ ขณะนางเห็นไป๋หลี่ชูปรากฏตัวที่นี่ก็เกิดความสงสัยเช่นนี้ขึ้นมาแล้ว
ความบังเอิญใดๆ ในโลกนี้ส่วนมากเกิดจากความจงใจ ถ้าไป๋หลี่ชูไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับคดีนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะ ‘บังเอิญ’ มาปรากฏตัวที่นี่
ไป๋หลี่ชูมิได้ตอบทันที แต่กลับเดินมานั่งลงอย่างสง่าที่ม้านั่งตรงข้ามนาง และรินน้ำชาให้ตนเองจอกหนึ่ง ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ไม่ผิด ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าคดีนี้ไม่ธรรมดาแน่ และรู้ด้วยว่าคดีนี้พัวพันกับพระพันปีและตระกูลเหมย บางทีอาจจะพัวพันกว้างกว่านี้ก็เป็นได้”
บางทีหรือ
นัยน์ตาของชิวเยี่ยไป๋วาบประกายคมกริบลึกล้ำ ไม่ ดูจากสีหน้าของไป๋หลี่ชูแล้วเรื่องที่เขารู้นั้นต้องไม่ใช่แค่ ‘บางที’ เป็นแน่ เขาต้องรู้ถึงเบื้องลึกเบื้องของคดีไหวหนานแน่นอน
นางกำจอกชาในมือแน่น แล้วเอ่ยเสียงเย็น “ในเมื่อฝ่าบาทรู้ เหตุถึงไม่บอกข้า”
ไป๋หลี่ชูคีบก้อนน้ำแข็งในถาดใส่น้ำแข็งแล้วโยนลงไปในจอกชาของตนสองก้อน มองนางปราดหนึ่งคล้ายจะยิ้มมิยิ้ม “เหตุใดข้าต้องบอกเสี่ยวไป๋ด้วยเล่า”
ชิวเยี่ยไป๋เห็นรอยยิ้มนั้นของเขา พลันกดเก็บความรู้สึกอยากจะพุ่งเขาไปซัดใบหน้าเขาสักหมัดเอาไว้ในใจอย่างแนบแน่น ไอ้หมอนี่ เห็นอยู่ชัดๆ ว่ากำลังหยอกล้อผู้อื่นเพื่อความสนุกของตน ไม่แน่ว่าช่วงเวลาสั้นๆ ที่เขาหายตัวไปนั่น คงกำลังมองดูนางกับเหมยซูสู้กันจนสะบักสะบอมด้วยสายตาเย็นชาอยู่ด้านข้าง!
เพราะคำพูดของซวงไป๋ ความประทับใจที่นางมีต่อไป๋หลี่ซูพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าพริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นเลวร้ายมากยิ่งขึ้น
“หากว่าข้าบอกเบื้องลึกของเรื่องนี้แก่เสี่ยวไป๋ เสี่ยวไป๋คงจะไม่สืบคดีนี้จนถึงที่สุด หรือเจ้าวางแผนไว้ว่าจะไปขอหลบภัยกับพระพันปีกันเล่า” ไป๋หลี่ชูคล้ายกับว่าไม่ได้รู้สึกไม่เป็นสุขเพราะสายตารังเกียจจากชิวเยี่ยไป๋ เพียงยกจอกชาขึ้นมาพิจารณาอย่างเชื่องช้าเอื่อยเฉื่อย
นางหลุบตาลง แอบลอบปรับลมหายใจ กดเก็บเรื่องน่ารำคาญในใจเอาไว้ แล้วเอ่ยเสียงเรียบเฉย “ฝ่าบาทพูดถูก เพียงแต่ต่อให้ฝ่าบาทบอกเบื้องลึกของคดีนี้แก่ข้าน้อย ข้าน้อยก็ไม่มีทางใดให้ถอยกลับ คดีนี้ อย่างไรก็ต้องสืบจนถึงที่สุด ดังนั้นตอนนี้ ฝ่าบาทโปรดนำสมุดบัญชีมอบให้ข้าน้อยก็พอ”
ไม่ว่าเขาจะมีเป้าหมายใด นางจะต้องเอาสมุดบัญชีกลับมา
“ทำไม โมโหแล้วหรือ” ไป๋หลี่ชูถือจอกชาด้วยสองมือ มองชิวเยี่ยไป๋อย่างสำราญใจ เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ หลังมือของไป๋เจ๋อเมื่อเทียบกับจอกชาสีครามลายปลาหลีใบน้อยแล้วนั้น ช่างดูซีดขาวราวกับจะมองทะลุได้
รูปโฉมของเขาเดิมทีก็งดงามเป็นเอก ยิ่งนั่งพินิจชาอยู่ในท่าที่สง่างามเช่นนี้ด้วยแล้ว ย่อมดูราวกับภาพวาดพู่กันลายหญิงงามสีฉูดฉาด
แน่นอน ชิวเยี่ยไป๋เวลานี้คิดอยากจะฉีกภาพวาดหญิงงามนี้ทิ้งไปเสีย
เห็นชิวเยี่ยไป๋จ้องตนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ไป๋หลี่ชูเหมือนรู้สึกไร้รสชาติ จึงหันศีรษะกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “สมุดบัญชีข้าย่อมให้เจ้าอยู่แล้ว ทำไมต้องรีบร้อนจนหน้าเขียวหน้าแดงเช่นนี้”
ชิวเยี่ยไป๋มองดูเขาพลันกล่าวว่า “ในเมื่อฝ่าบาทรู้ความนัยของคดี อย่างนั้นข้าขอสันนิษฐานว่าฝ่าบาทน่าจะไม่สะดวกที่จะออกหน้า จึงเจตนาให้ข้ามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ เป้าหมายก็คือสมุดบัญชีตระกูลเหมย”
นางไม่เชื่อว่าไป๋หลี่ชูปรากฏตัวที่นี่เพียงเพื่อช่วยเหลือนาง
ไป๋หลี่ชูกล่าวช้าๆ “ไม่ผิด”
ชิวเยี่ยไป๋เห็นเขาตอบอย่างหมดจด ก็มีสีหน้าสงสัยอย่างอดมิได้
ต่อให้ไป๋หลี่ชูกุมอำนาจการเกษียรฎีกาด้วยหมึกแดงในมือ แต่เขาก็ยังเป็นแค่ ‘องค์หญิง’ บัลลังก์ทองมิเกี่ยวพันกับเขาแม้แต่น้อย แล้วเขาอยู่ข้างไหน
ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทดูแล้วไม่เหมือนจะมีไมตรีลึกล้ำต่อพระพันปีอย่างย่าหลานทั่วไป ถ้าเช่นนั้นข้าขอเดาดู ที่ท่านช่วยเป็นโอรสอีกคนที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่”
องค์หญิงเซ่อกั๋วกุมอำนาจใหญ่ในราชสำนักแต่ผู้เดียว พระพันปีกับตระกูลตู้ทำอะไรก็ติดขัดไปหมด ระหว่างพวกเขาเหมือนน้ำกับไฟ ในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิครานั้น นางเคยเห็นความเหิมเกริมของไป๋หลี่ชู ไม่มีผู้อาวุโสคนใดจะยอมให้คนที่ด้อยอาวุโสกว่าขี่บนหัวของตน