ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 222 เขาพูดจริง (2)
คำพังเพยว่าไว้ ใต้ฟ้ามิมีพ่อลูก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงย่ากับหลาน
บัดนี้องค์จักรพรรดิประชวร เจ็ดในสิบวันเอาแต่นอนซมกับเตียง ถ้าโอรสสายเลือดตระกูลตู้ขึ้นครองราชย์ คนแรกที่พระพันปีจะไปปล่อยทิ้งคือไป๋หลี่ชู
ดังนั้นถ้าไป๋หลี่ชูจะหันไปช่วยโอรสอีกองค์ย่อมไม่แปลก
ไป๋หลี่ชูแลดูชิวเยี่ยไป๋ มุมปากพลันโค้งเล็กน้อย “ทำไมเสี่ยวไป๋จึงคิดว่าข้าจะช่วยคนอื่น ข้าอาจแค่อยากชมความครึกครื้นก็ได้นี่นา”
ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเนือยๆ ว่า “เลือดเนื้อเชื้อไขตระกูลตู้ครองบัลลังก์มาสี่ห้ารุ่นแล้ว สภาพเช่นนี้ใช่ว่าทุกคนจะนิยมชมชอบกันหมด เกรงว่าคงมีคลื่นใต้น้ำมานานแล้ว แต่ผู้เป็นจักรพรรดิย่อมไม่มีทางยอมให้ตระกูลใหญ่เป็นตัวถ่วง ต่อให้เป็นตระกูลของมารดาตน ฝ่าบาทเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับตระกูลตู้หรือไม่ ดูว่าใครกุมอำนาจตอนนี้ก็น่าจะรู้”
องค์จักรพรรดิให้ไป๋หลี่ชูกุมอำนาจใหญ่ ย่อมเป็นความคิดที่จะถ่วงดุลกับตระกูลตู้และพระพันปี
ไป๋หลี่ชูไม่สะดวกที่จะออกหน้าแทรกแซงการแย่งชิงราชบัลลังก์โดยตรง จึงไม่ได้ยับยั้งมิให้นางเข้ายุ่งเรื่องนี้ อาศัยนางได้มาซึ่งสมุดบัญชี ยืมการเปิดโปงคดีไหวหนานสร้างผลกระทบต่อพระพันปีและตระกูลตู้ ขณะเดียวกันก็ช่วยเหลือโอรสอีกองค์ที่อยู่เบื้องหลัง นี่เป็นแผนที่ดีมาก
ไป๋หลี่ชูแลดูชิวเยี่ยไป๋ด้วยแววตาลึกล้ำแล้วพลันหัวร่อเบาๆ “อาศัยเพียงเบาะแสที่กระจัดกระจายน้อยนิด เจ้ายังสันนิษฐานได้ขนาดนี้ เสี่ยวไป๋ทำให้ข้าดีใจจริงๆ แต่วาจาของเจ้าเมื่อครู่ไม่ว่าจะเป็นข้อหาใดล้วนเป็นโทษตัดศีรษะทั้งสิ้น เจ้าไม่กลัวหรือ”
‘บุตรตระกูลใหญ่’ ที่ฐานะอิหลักอิเหลื่อและมีความลับชนิดถึงชีวิตติดตัวไยจึงใจกล้าเพียงนี้
ชิวเยี่ยไป๋สีหน้าเฉยเมย “ฝ่าบาทจะตัดศีรษะข้าหรือ”
ไป๋หลี่ชูมองดูท่าทางของนาง นึกคันหัวใจยุบยิบ จึงเอื้อมมือบีบคางนางกล่าวว่า “หึ เจ้าถือดีว่าข้าโปรดปรานเจ้า ถึงได้เหิมเกริมเช่นนี้”
ชิวเยี่ยไป๋ยกมือกุมข้อมือเขาโดยตรง แลดูเขาแล้วพลันยิ้มอย่างนุ่มนวล..ยิ้มที่ยากจะปรากฏ “ฝ่าบาท ถือว่าข้าก็เสี่ยงชีวิตช่วยฝ่าบาทนะ ท่านคิดจะให้ค่าตอบแทนข้าบ้างไหม”
แต่ไหนแต่ไรชิวเยี่ยไป๋น้อยครั้งที่จะเป็นฝ่ายชิดใกล้เขา อาการเช่นนี้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่ากำลังจะขอร้องบางอย่าง
ไป๋หลี่ชูแลดูนางที่กุมข้อมือตนอยู่ เลิกคิ้วกล่าวว่า “อ้อ เจ้าอยากได้อะไรเล่า”
ชิวเยี่ยไป๋มิได้ตอบตรงๆ กลับถามต่อ “ต่อจากนี้ฝ่าบาทยังจะยื่นมือแทรกแซงเรื่องนี้หรือไม่”
ไป๋หลี่ชูสั่นศีรษะตอบอย่างรวบรัดว่า “ไม่”
ชิวเยี่ยไป๋งงงัน แลดูเขาอย่างไม่เข้าใจ ไอ้หมอนี่กำลังเล่นอะไร
เขาไม่คิดจะสอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวเรื่องนี้อีก จะรามือกลางคันหรือ
ไป๋หลี่ชูมองดูนาง ดวงตาดำสนิทฉายแววเย็นเยือก “ข้าเคยบอกแล้วว่า ข้าแค่ชมละคร ถ้าใครแสดงได้ดีข้าก็ให้รางวัล ข้าเคยโกหกเสี่ยวไป๋หรือ”
ชิวเยี่ยไป๋เห็นท่าทางไม่ใส่ใจของเขาก็รู้สึกเย็นเยือกในใจ นึกถึงวันนั้นตอนยังอยู่ในราชธานี นางเคยไปสืบคดีที่วังติ้งอ๋องและเห็นฉากที่เขาอยู่กับติ้งอ๋อง…
คนผู้นี้ตบเสื้อให้ติ้งอ๋องอย่างนุ่มนวล และยังช่วยดึงรอยยับบนเสื้อด้วย การกระทำนั้นอ่อนโยนเป็นธรรมชาติ อ่อนโยนจนนางซึ่งแอบดูอยู่รู้สึกขนลุก
‘ข้ารับปากจะช่วยเจ้าครองบัลลังก์ได้ ย่อมเชิดคนอื่นขึ้นนั่งได้เช่นกันเป็นธรรมดา โอรสในจักรพรรดินีของแคว้นเทียนจี๋มีสามองค์ สตรีที่คลอดเจ้าก็แค่มเหสีรองของเสด็จพ่อเท่านั้น ข้ามิได้นิยมชมชอบอะไรเป็นพิเศษ เพียงชอบดูสุนัขกัดกัน ดังนั้นน้องข้าจึงต้องฟัดกับสุนัขทุกตัวให้ได้ทางสายหนึ่ง กัดให้เกิดการแข่งขันที่ดุเดือดและหลั่งเลือดให้ได้’
ฉากนั้นยังสดใหม่ในความทรงจำของนาง
นางพลันเข้าใจ เขาพูดจริง นี่เป็นวาจาจากใจ
เพราะ…
บุรุษผู้นี้ชอบล้อเล่นกับคนอื่นอยู่แล้ว ชอบเชิดคนอื่นไว้บนเวทีแล้วดูคนผู้นั้นขึ้นๆ ลงๆ เจ็บปวดดีใจ เข่นฆ่าจนเลือดโชกโดยถือว่าเป็นความสนุกของตน
เขาแทรกแซงการชิงอำนาจของพวกราชโอรสก็แค่หาความสนุก วันนี้เขาช่วยคนนี้ พรุ่งนี้ช่วยคนนั้น ก็แค่ราดน้ำมันลงกองเพลิงเท่านั้น
“การควบคุมชะตาชีวิตคนอื่นสนุกนักหรือ” ชิวเยี่ยไป๋มองดูเขา มือที่กุมข้อมือแน่นขึ้นแววตาเย็นชา
ไป๋หลี่ชูเอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้านกล่าวว่า “เจ้าดูสิ พวกหุ่นกระบอกที่สวยสดงดงามแต่ละตัวขึ้นเวทีแสดงทีละฉาก เกิด แก่ เจ็บ ตาย ชิงชัง เคียดแค้น พบกัน รักและพรากจาก อยากได้แต่ไม่ได้ ช่างสนุกจริงๆ”
“นี่เป็นความนิยมชมชอบของราชนิกุลหรือ” ชิวเยี่ยไป๋อดขมวดคิ้วมิได้ นิสัยและความชอบของ
ไป๋หลี่ชูคนนี้น่าชังจนถึงขีดสุด
เขาหัวร่อราวกับได้ยินเรื่องน่าขัน “ไม่ผิด นี่เป็นความรักชอบของราชนิกุล ข้าก็แค่ทำให้ละครพวกนั้นสนุกมากขึ้นเท่านั้นเอง ในเมื่อเกิดมาเป็นราชนิกุลแล้ว ไม่เข่นฆ่ากันเอง พ่อแม่ลูกไม่ทำร้ายกันเอง จะมิใช่เสียทีที่มีฐานะไฟแรงเผาน้ำมันและแต่งกายหรูหราราวดอกไม้สดหรอกหรือ”
น้ำเสียงไป๋หลี่ชูทุ้มต่ำแหบพร่ารื่นหูเป็นที่สุด แต่ทุกถ้อยทุกคำกลับเหี้ยมเกรียมด้วยคาวเลือด
ฟังคนที่อยู่เบื้องหน้าสาธยายคำพูดที่บิดเบี้ยวด้วยท่าทางปกติ น้ำเสียงนุ่มนวลเหมือนพูดเรื่องธรรมดาที่ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ทำเอาคนที่ฟังเผินๆ รู้สึกเหมือนมีเหตุมีผลและน่าดึงดูดใจ สภาพเช่นนี้ทำให้ชิวเยี่ยไป๋พูดไม่ออก
“ว่าอย่างไร เสี่ยวไป๋กลัวหรือ” ไป๋หลี่ชูเห็นชิวเยี่ยไป๋สะดุ้งแวบหนึ่ง แต่ก็รู้ว่านางได้ยินคำพูดของเขาทำให้อึ้งสะท้านจนตรึงอยู่กับที่
ชิวเยี่ยไป๋มองดูเขาด้วยแววตาสับสนแวบหนึ่ง “ฝ่าบาท ท่านทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ”
แม้จะว่าไปแล้วมีเหตุผล แต่การเห็นเรื่องเช่นนี้เป็นของสนุก ยัง…ไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ
สรุปแล้วพืชพรรณยิ่งงดงามยิ่งมีพิษร้าย ‘หญ้าพิษ’ เบื้องหน้านี้ ทำให้นางได้เปิดหูเปิดตา ‘ครั้งแล้วครั้งเล่า’ ได้เห็นการไต่ระดับของความโฉดชั่วและความวิปริตของจิตใจ มิใช่ระดับขั้นที่คนทั่วไปจะบรรลุถึงได้จริงๆ
ไป๋หลี่ชูหรี่ตา มิได้โกรธขึ้งกับท่าทางของชิวเยี่ยไป๋ กลับคล้ายเบิกบานอย่างยิ่ง พลิกมือกุมแขนนางไว้ ริมฝีปากงดงามจุมพิตหลังมือนางเบาๆ “ดีใจที่เสี่ยวไป๋รู้จักข้ามากขึ้น เห็นได้ว่าวันที่สองเราจะมีหัวใจดวงเดียวกันคงอีกไม่นานแล้ว”
ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกถึงสัมผัสเหนียวเหนอะชื้นเย็นแต่นุ่มนวลที่หลังมือ จึงหลุบตาลงลอบเม้มปาก
คนบ้านะสิถึงจะมีหัวใจที่วิปริตเหมือนเจ้า
นางไม่อยากเป็นคนบ้าแม้แต่น้อย
“แน่นอน ถ้าเสี่ยวไป๋ขอร้องข้า ข้าก็ไม่ถือสาที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะว่าไปแล้วก็ง่ายเหมือนยกมือเท่านั้น”
ไป๋หลี่ชูแลดูสีหน้าเฉยเมยของชิวเยี่ยไป๋ เอนตัวเข้าหาอย่างนุ่มนวลแล้วกล่าวกับนาง
ง่ายเหมือนยกมือ…ชิวเยี่ยไป๋เห็นเขาพูดง่ายๆ เหมือนการวางเบี้ยไม่กี่ตัวบนตารางหมากรุกก็ถอนใจเบาๆ “คนที่ชินกับการล้อเล่นกับโชคชะตาผู้อื่น สักวันเถิดจะถูกโชคชะตากัดเอาแน่ ฝ่าบาทจงชมละครข้างเวทีต่อไปเถิด”