ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 232 ลิขิต (1)
ตอนที่ 232 ลิขิต (1)
กระทั่งเสียงเสนาะอันแหบพร่าเยือกเย็นนั่น ยังคล้ายคลึงกับคนที่นางเพิ่งจะจากลามา
ฝ่าบาทเซ่อกั๋ว…ไป๋หลี่ชู
ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว “เป๋าเป่า เจ้าอยากพูดอะไร”
“คุณชายสี่ ท่านชอบเขาใช่ไหม” เป๋าเป่าหรี่ตาจ้องชิวเยี่ยไป๋เขม็ง ราวกับจะมองเข้าไปในวิญญาณของนาง
ชิวเยี่ยไป๋มิได้หลบตา ปล่อยให้เขาจ้องต่อไป เพียงกล่าวเนือยๆ ว่า “เป๋าเป่า เลิกเหลวไหลได้แล้ว”
พริบตานั้นนางแทบจะคิดว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเป็นไป๋หลี่ชู แต่เมื่อพิเคราะห์ครู่หนึ่ง นางก็รู้ว่ามิใช่เขาโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะดวงตา ดวงตาของคนเราคือหน้าต่างของหัวใจ
ซึ่งดวงตาของไป๋หลี่ชูพิเศษมาก ไม่อาจปลอมแปลงได้เลย
เป๋าเป่าแลดูนางพลันร้องเหอะเบาๆ “ข้าเห็นท่านจูงมือเขา และข้ายังเห็นท่านทัดดอกไม้ให้เขา”
ชิวเยี่ยไป๋กลอกตายิ้มอย่างจนใจ “ไม่ผิด ข้าทัดดอกไม้ให้เขา เป๋าเป่าเจ้าหึงหรือ”
ตอนนางเห็นเป๋าเป่านำดอกไม้มาขาย ก็รู้แล้วว่าพวกเป๋าเป่าจัดแจงบริเวณนั้นเรียบร้อยแล้ว พานางออกไปได้ทุกเมื่อ แต่นางไม่อยากให้เป๋าเป่ากับพวกของไป๋หลี่ชูปะทะกัน จึงให้สัญญาณพวกเขาว่าไม่ต้องตาม และตนเองใช้วิธีง่ายที่สุดตีตัวจากไป๋หลี่ชู คิดไม่ถึงว่าเป๋าเป่ายังคงตามมาจนได้
เป๋าเป่าจ้องมองนางพักใหญ่ กล่าวเสียงเย็นชาว่า “องค์หญิงเซ่อกั๋วเป็นบุรุษนะ เขามิใช่สตรี ท่านก็รู้อยู่ว่าใต้ฟ้านี้ไม่มีใครปิดบังข้าเรื่องเพศลักษณ์ได้”
ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือด้านการปลอมแปลงโฉม เขาต้องศึกษารูปร่าง กระดูกของบุรุษสตรีเด็กเล็กคนชราชนิดถึงแก่น และเพื่อการนี้เขาผ่าศพไปมิรู้เท่าใด ดังนั้นแวบแรกที่เห็นไป๋หลี่ชู เขาก็รู้แล้วว่า ‘องค์หญิงเซ่อกั๋ว’ เป็นบุรุษ
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้า กล่าวอย่างมิใส่ใจว่า “ข้ารู้ ตอนเจอะเขาครั้งที่สองข้าก็รู้แล้ว”
เป๋าเป่างงงัน แววตาไม่อยากจะเชื่อ “ท่านรู้ ท่านรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นบุรุษ แล้วท่านยังบอกว่าไม่ต้องตาเขา!”
ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว เอื้อมมือลูบหลังศีรษะเขาเบาๆ อย่างไม่ถือสา “แล้วอย่างไรเล่า ข้าก็รู้ว่าพวกเทียนซูเทียนฮว่าล้วนเป็นบุรุษ เจ้าจำไม่ได้หรือ หรือว่าข้าต้องตาพวกเขาไปหมด ข้ากับเจ้าก็เคยนอนเตียงเดียวกัน จำไม่ได้แล้วหรือ”
เป๋าเป่าฉุดมือนาง “ท่านรู้ทั้งรู้ว่ามันไม่เหมือนกัน พวกเทียนซูเป็นคนในเงื้อมมือท่าน และท่านก็รู้ว่าระหว่างข้ากับท่านไม่เหมือนกัน จึงใกล้ชิดสนิทสนมกันได้ ท่านรู้อยู่แล้วว่า…ข้าเป็น…”
เขาอึกอัก สุดท้ายยังคงมิได้พูดให้จบประโยค เพียงกัดฟันกล่าวว่า “ท่านกล้าสาบานไหมว่ามิได้ต้องตาเขา ท่านกล้าสาบานไหมว่าจะไม่มีวันอยู่กับเขาตลอดไป!”
ชิวเยี่ยไป๋จ้องดูเด็กหนุ่มเบื้องหน้าที่มิทราบว่าเพราะอะไรจู่ๆ ก็จิตตก แววตาเย็นชา จ้องจนเขาถอยไปก้าวหนึ่งเหมือนกลัวอะไรบางอย่างในใจ แล้วนางจึงกล่าวเนือยๆ ว่า “ข้าไม่ต้องสาบานว่าข้าต้องตาใครหรือไม่ต้องตาใคร ต่อให้ข้าต้องตาฝ่าบาทก็ยังคงเป็นเรื่องของข้าเอง”
พูดจบ นางก็หันกาย ก้าวออกนอกประตู
แต่ไปไม่ถึงสองก้าว นางพลันรู้สึกถูกคนโอบจากข้างหลัง
เสียงเป๋าเป่าดังขึ้นอย่างร้อนรน “อย่าเพิ่งไป คุณชายสี่ ท่านก็รู้อยู่ว่าข้ามิได้ตั้งใจซักไซ้อะไร เพียงแต่…เพียงแต่บุรุษผู้นั้นอันตรายเกินไป เขาเป็นราชนิกุล ท่านจะอยู่ร่วมกับเขาได้อย่างไร เข้าใจหรือไม่ ข้ากังวลแทนท่านนะ!”
ชิวเยี่ยไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย มิได้เอ่ยวาจา เพียงเอื้อมมือแกะมือที่โอบเอวตนออก
เป๋าเป่ามองดูคนที่ตนโอบไว้ ถึงกับไม่ไยดีกับความทุกข์ร้อนของตนเช่นยามปกติ ซึ่งเป็นต้องปลอบโยนอย่างนุ่มนวล เขาจึงลนลานและกอดเอวของนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือ กล่าวเสียงอ่อนลง “ไป๋…อย่าโกรธนะ”
ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเสียงเย็น “พูดความจริง”
เป๋าเป่ากัดริมฝีปากลังเลครู่หนึ่ง เห็นนางจะแกะมือของตนอีก จึงพลันซบหน้าลงกับไหล่นาง กล่าวอู้อี้ว่า “พี่หญิงไป๋ ข้าก็แค่กลัว…ข้ากลัวว่าสักวันท่านจะพบคนที่รักชอบแล้วทิ้งข้าไป ตัวประหลาดเช่นข้า ถ้าท่านก็ยังไม่เอาแล้วข้าจะทำอย่างไร…ข้าจะทำอะไรได้อีก”
พักใหญ่ ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกเปียกชื้นที่หัวไหล่ นางถอนใจเบาๆ หันตัวกอดเขาไว้ ตบบ่าเขาเบาๆ กล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “เป๋าเป่า ตั้งแต่วันที่ข้านำเจ้าออกจากข้างถนนเข้าสู่สำนักท่านอาจารย์ ให้อาจารย์รับเจ้าเป็นคนของหอซ่อนกระบี่ ข้าก็ไม่เคยคิดเลยว่าสักวันหนึ่งจะทอดทิ้งเจ้า เจ้าเป็นญาติสนิทของข้า เป็นน้องชายตัวน้อยของข้า ไม่ใช่ตัวประหลาด เมื่อก่อนเป็นเช่นนี้ ปัจจุบันเป็นเช่นนี้ อนาคตยังคงเป็นเช่นนี้”
เป๋าเป่ารัดคนในอ้อมกอด พึมพำตามสัญชาตญาณ “ข้าไม่เคยคิด…”
แต่ครึ่งหลังของประโยค ‘จะเป็นน้องชายตัวน้อยของท่าน’ กลับคาอยู่ในลำคอ
เขามีสิทธิ์อะไรมาพูดเช่นนี้ เขามีสิทธิ์อะไร
ตัวประหลาดเช่นเขา…ตัวประหลาดที่ไม่มีแม้แต่ใบหน้า มีชีวิตอยู่ด้วยใบหน้าของผู้อื่นตลอดกาล ไม่มีตัวตนเป็นของตนเองตลอดกาล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเป็นบุรุษคนหนึ่งที่มีคุณสมบัติเคียงข้างนางอย่างสง่าผ่าเผยเลย
เขามีสิทธิ์อะไรพูดจาเช่นนี้
ช่างเถิด…เป็นน้องชายของนางก็ดี เป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของนางก็ดี เขายอมรับอยู่แล้วมิใช่หรือ ขอเพียงได้ติดตามนางตลอดชีวิต เห็นนางอยู่รอดปลอดภัยก็พอแล้ว
ตั้งแต่เล็กจนโต ตั้งแต่เกือบตายในกองขยะริมถนน วันที่ถูกนางพากลับไปสำนักหอซ่อนกระบี่ เขาก็รู้แล้วว่า ของบางอย่างเป็นเพียงความหวังตลอดกาล
คนบางคน เขาไม่มีวันถึงฟากฝั่งอย่างแน่นอน
อารมณ์ทั้งมวลที่มิอาจเอื้อนเอ่ย สุดท้ายล้วนกลายเป็นหนามแหลมที่ทิ่มแทงในลำคอ ความปวดร้าวแผ่ซ่านจากลำคอถึงหัวใจ
“ข้ารู้” ชิวเยี่ยไป๋ดักคอสิ่งที่มิได้พูดออกมา โอบเด็กหนุ่มไว้ในอ้อมอกเบาๆ ปลายนิ้วไล้ไปตามแผ่นหลังของเขา ปลอบโยนความสิ้นหวังและอาดูรที่เขาพูดออกจากปากมิได้
นางรู้ว่าเขาจะพูดอะไร แต่ของบางอย่างนางให้มิได้ และเขาก็ไม่กล้าขอ
เด็กหนุ่มเอื้อมแขนโอบเอวของนาง ขดตัวซุกใบหน้ากับอกนางอย่างปวดร้าว น้ำตาทำเอาเสื้อนางเปียกชื้น “พี่หญิงไป๋ ท่านไม่รู้ ข้าแค้นนัก…ข้าแค้นคนที่ประทานร่างกายเช่นนี้ให้ข้า ยังมีบาปจากการฆ่าฟันที่ข้าก่อไว้ จึงต้องชดใช้ตลอดชีวิต”
ชิวเยี่ยไป๋ลูบไรผมเขา แววตาอาดูรและอับจน
การจะเป็นยอดฝีมือในการปลอมแปลงโฉม มีใบหน้าที่เปลี่ยนได้นับร้อยนับพัน ทางที่ดีที่สุดคือไม่มีใบหน้า ไม่มีจมูก ไม่มีริมฝีปาก ผ้าสำหรับวาดภาพต้องเรียบที่สุด จึงจะสามารถวาดภาพที่งดงามบนนั้นได้ตามอำเภอใจ
และเป๋าเป่าก็เป็นเช่นนี้…ยอดฝีมือไร้หน้า
มิใช่ก่อนเข้าสำนักหอซ่อนกระบี่ หากแต่เป็นสิบกว่าปีก่อน วันนั้นนางเก็บเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่พันผ้าพันแผลไว้ทั่วตัว เขาก็สูญเสียใบหน้าตลอดกาลแล้ว และยังสูญเสียสิ่งที่เขาไม่ควรสูญเสียอีกมากมาย