ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 253 สะท้านขวัญชวนสยบ (3)
บรรดาคนหยิบหย่งฟังแล้วสูดลมหายใจหนาวเหน็บ มองดูท่าทางของชิวเยี่ยไป๋ก็พลันเข้าใจ นางมิได้ขู่แต่กำลังบอกเล่าความจริง
พูดจบนางก็ลุกเดินออกไป ก่อนออกจากประตูนางยืนเอามือไพล่หลังกล่าวเสริมว่า “คนที่จะลาออกจงไปลงชื่อที่เจี่ยงอี้จ่าง ผลลัพธ์คดีไหวหนานไม่ว่าจะดีหรือร้ายข้าย่อมรับผิดชอบเองคนเดียว ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า”
ชิวเยี่ยไป๋พูดจบก็สาวเท้าก้าวออกไปโดยไม่เหลียวมองอีก
ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันทั้งห้อง บรรดาคนหยิบหย่งที่ยามปกติเจ็บนิดหน่อยก็โวยวายดังลั่น บัดนี้เหมือนสิ้นสติ ไม่มีใครส่งเสียงสักแอะ
…
ชิวเยี่ยไป๋เดินไปชั้นบนเห็นเป๋าเป่าถือดาบเล่มหนึ่งยืนพิงบันไดชั้นบน เพื่อป้องกันมิให้มีคนหยิบหย่งที่คิดจะลอบหนีออกมาจากการตะลุมบอนเมื่อครู่
เป๋าเป่าเห็นนางก็หัวร่อหน้าเป็นกล่าวว่า “เป็นอย่างไร จัดการเสร็จแล้วผลเป็นอย่างไรบ้าง”
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มบางๆ “ไม่รู้ แม้พวกเขาจะมีหัวอยู่บ้าง แต่ถ้าไม่ได้บทเรียนจากเรื่องนี้ วันหน้าไม่ช้าก็เร็วต้องจบชีวิตแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้สู้ให้พวกเขาสลายตัวแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า”
ชอบเอาเปรียบเล็กๆ น้อยๆ ไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ ไม่มีความรับผิดชอบ เหล่านี้ล้วนเป็นข้อห้ามสำหรับคนใต้บังคับบัญชา บรรดาพวกหยิบหย่งของกองคั่นเฟิงผ่านวันเวลาเช่นนี้มานานหลายสิบปีแล้ว มีเพียงการซัดให้เจ็บจนเห็นเลือดเห็นเนื้อ จึงจะทำให้พวกเขาจดจำเป็นบทเรียน
คดีไหวหนานไม่ว่าสุดท้ายผลจะออกมาเป็นอย่างไร ล้วนต้องผิดใจกับตระกูลตู้ ตระกูลเหมย และพระพันปี บัดนี้กำลังของกองคั่นเฟิงอ่อนแอเกินไป ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป วันข้างหน้าคงต้องเป็นฝ่ายโดนเชือดเฉือนสถานเดียว
เป๋าเป่าแลดูนางแล้วถอนหายใจ “คุณชายสี่ ท่านใจอ่อนเกินไป”
บรรดาหยิบหย่งพวกนี้ไม่คู่ควรแม้แต่จะคลำประตูของสำนักหอซ่อนกระบี่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าสำนักจะเป็นผู้ฝึกสอนเอง
ชิวเยี่ยไป๋กลับหัวร่อ “เป๋าเป่า ข้าคิดเผื่อไอ้พวกหยิบหย่งที่ไหนกัน ก็แค่คิดเผื่อตัวเองเท่านั้น ให้พวกเขาติดตามต่อไปก็รังแต่จะเสียการเปล่าๆ เลยไม่เอาดีกว่า”
พูดจบนางก็กล่าวเสริมว่า “อ้อใช่แล้ว ถ้ามีคนมาขอลาออกกับเจ้า เจ้าให้เงินพวกมันคนละห้าสิบตำลึงก็แล้วกัน”
เป๋าเป่ามองตามเงาหลังชิวเยี่ยไป๋ที่จากไป ถลึงตามองฟ้าอย่างอดมิได้
นี่ยังไม่เรียกว่าใจอ่อนอีกหรือ
ผู้ใต้บังคับบัญชาที่บังอาจลงมือกับตนก็คือคนทรยศ ข้าราชการทั่วไปมีเป็นร้อยวิธีที่จะทำให้อีกฝ่ายจบสิ้น มีแต่นางนี่แหละที่ทำตัวเป็นขุนนางมือสะอาดแถมให้เงินด้วย
คุณชายสี่เป็นเช่นนี้แต่ไหนแต่ไร เปลือกนอกที่แข็งแกร่งที่สุดปล่อยปละที่สุด ห่อหุ้มหัวใจอ่อนนุ่มเหมือนเนื้อหอยทาก
แน่นอน ชิวเยี่ยไป๋ไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่าหัวใจของตนเหมือนเนื้อหอยทาก
…
นางได้ออกแรงหมัดและเท้าทำเอาเหงื่อออกทั้งตัวจนรู้สึกสบาย เดินถึงชั้นล่างกลับเห็นเถ้าแก่เหลาน้ำชาท่าทางเหมือนอยากร่ำไห้แต่มิกล้าร้อง อุ้มกล่องใบใหญ่เมียงมองมาทางชั้นบน
ไม่มีใครอยากให้อันธพาลตะลุมบอนกันในร้านค้าของตน แต่อันธพาลกลุ่มนี้พอกรูกันเข้ามาก็โยนเงินให้ถุงหนึ่งบอกว่าขอเหมาทั้งร้าน ให้แขกทุกคนออกไป ตัวเขาเองทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่มองดูพวกเขาพุ่งขึ้นไปชั้นบน และพวกแขกเหรื่อพากันแตกฮือ แม้แต่ค่าน้ำชาก็ไม่จ่าย
เขาเห็นชิวเยี่ยไป๋ลงมาโดยไม่บุบสลายแม้แต่น้อย ก็ลังเลแต่ยังคงก้าวเข้าไปหากล่าวว่า “คุณชายท่านนี้ เมื่อครู่มีคนส่งของมาให้ท่าน”
ชิวเยี่ยไป๋งงงัน เลิกคิ้ว “ของข้าหรือ”
เถ้าแก่ผงกศีรษะอย่างแน่ใจ “ใช่ขอรับ บอกว่าเป็นของฝากรักสำหรับท่าน!”
ถ้าเขาจำไม่ผิด แขกเหรื่อบนชั้นสามทั้งหมดคุณชายคนนี้แหละหล่อเหลาที่สุด ทำเอาหญิงยกน้ำชายังหวั่นไหว ถึงจะมิรู้ว่าทำไมเขาจึงลงมาได้โดยไม่บุบสลายแม้แต่น้อย แต่เขาก็แค่รับผิดชอบส่งมอบของให้ถึงมือนี่นา
ชิวเยี่ยไป๋มองดูกล่องงดงามประณีตที่ยัดใส่มือ รู้สึกประหลาดใจแต่ก็คิดว่าคงเป็นคุณหนูบ้านใดที่เห็นนางผ่านมาแล้วต้องตา จึงแอบส่งของมาให้แสดงความในใจ เมื่อก่อนใช่ว่าจะไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้
นางจึงรับกล่องประณีตหุ้มด้วยผ้าแพร แต่พอเห็นของที่แลบออกจากกล่อง พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋ก็พูดไม่ออก
ในกล่องบรรจุด้วยกางเกงในสีต่างๆ ตั้งใหญ่ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดงเกือบทุกสี และยังมีกลิ่นหอมฉุนด้วย!
พริบตานั้นนางก็รู้แล้วว่าใครส่งมา จึงหัวร่อเบาๆ อย่างอดมิได้…
ฝ่าบาทเซ่อกั๋วผู้สูงศักดิ์ เย็นชา และยากหยั่งคะเนผู้นั้น คิดไม่ถึงว่าเนื้อในที่แท้ก็เป็นคนที่…น่ารักเช่นนี้
เถ้าแก่เหลาน้ำชาเหลือบเห็นกางเกงในในกล่องก็ลอบถอนใจ คุณหนูบ้านใดหนอจึงเจ้าชู้ใจกล้าเช่นนี้ จิตใจคนเดี๋ยวนี้ช่างไม่เหมือนครั้งโบราณจริงๆ!
…
ขณะชิวเยี่ยไป๋กลับถึงบ้านที่เป๋าเป่าเช่าไว้ในถิ่นคนจน โจวอวี่ก็รออยู่ข้างในแล้ว
พอเห็นชิวเยี่ยไป๋เขาก็อดพลุ่งพล่านมิได้ “ใต้เท้า”
หลังรอดตายและถูกขังไว้หลายวันอย่างอกสั่นขวัญแขวน เขาจึงโผเข้ากอดชิวเยี่ยไป๋อย่างยินดี
ในฐานะยอดฝีมือ เดิมทีนางไม่ชินจะให้ใครเข้าใกล้ตัวง่ายๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอากัปกริยาที่สนิทสนมจนเกินไปเยี่ยงนี้
นางจึงหลบฉากให้พ้นจากการผวากอดตามความเคยชิน แต่เห็นดวงตาเจ้าชู้ของเขารื้นด้วยน้ำตาราวกับกำลังจะร่ำไห้ นางชะงักลงเล็กน้อย ปล่อยให้โจวอวี่กอดเข้าเต็มรัก
นางจนใจและตบไหล่โจวอวี่เบาๆ “จื่อเฟย อย่าพลุ่งพล่านขนาดนี้ อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดีนะ”
โจวอวี่กอดชิวเยี่ยไป๋ สติเลอะเลือนไปบ้าง รู้สึกว่าร่างในอ้อมกอดอรชรอ้อนแอ้น ถึงกับไม่เหมือนบุรุษทั่วไป
ไม่ทันคิดให้ละเอียดก็รู้สึกว่าตนเองละลาบละล้วงเกินไป จึงรีบคลายมืออย่างอีหลักอีเหลื่อและถอยไปข้างๆ
“ใต้เท้า…ท่านสบายดีไหม”
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้า กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ยังดีอยู่ บาดเจ็บเล็กน้อย ถูกคนกันเองลงมือ แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว”
โจวอวี่งงงัน “คนกันเอง พวกเสื้อขาวหรือ”
แม้เขาจะถูกขังในห้องโดยตลอด แต่ก็รู้สึกได้ว่าบนตัวของคนพวกนั้นมีอานุภาพมากมาย บวกกับท่าทางที่ผ่านการฝึกปรือมาเป็นอย่างดี เขาย่อมรู้ดีว่าคนพวกนั้นไม่ธรรมดา
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้า “ใช่ เอ้อนี่ จื่อเฟย พวกเรากินมื้อเที่ยงกันก่อนดีกว่า ข้ามีบางอย่างจะหารือกับเจ้า”
โจวอวี่เห็นท่าทางของชิวเยี่ยไป๋ ก็รู้ว่านางไม่อยากพูดถึงเรื่องพวกนั้น เขาจึงไม่ซักไซ้และตอบว่า “ดีขอรับ”
ชิวเยี่ยไป๋มองซ้ายขวา พลันถามอย่างแปลกใจ “หยวนเจ๋อเล่า เขามิได้กลับมาพร้อมเจ้าหรือ”
โจวอวี่ส่ายหน้าและอึดอัดเช่นกัน “ข้าน้อยตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นเขาแล้ว แต่ฟังว่าเขาถูกขังในห้องใกล้กัน ทุกครั้งที่มีคนมาส่งอาหารจะหิ้วปิ่นโตมาสองสำรับ ในเมื่อข้าน้อยมิเป็นไรจึงคิดว่าเขาคงมิเป็นไรเช่นกัน”
ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วฝืนยิ้ม “ข้ามิได้กังวลว่าเขาจะเป็นอะไร ข้าเกรงแต่ว่าเขาจะทำให้ผู้อื่นเป็นเรื่อง”
ต่อให้องครักษ์ค่งเฮ่อเจียนฝีมือสูงล้ำเพียงใด ก็ยังเทียบกับหยวนเจ๋อมิได้
นางมิได้หวังว่าหยวนเจ๋อจะปะทะกับไป๋หลี่ชู การปะทะกับไป๋หลี่ชู มิพักพูดถึงว่าวิทยายุทธ์ระหว่างพวกเขาใครสูงล้ำกว่ากัน แต่ด้วยความสามารถของไป๋หลี่ชูแล้วหยวนเจ๋อต้องเสียทีแน่