ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 279 ประกาศจับชิว (4)
อย่าว่าแต่ไม่มีครูใดดีไปกว่าความสนใจ ดังนั้นพวกเขาจึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็วดุจเทพยดาดั่งที่นางคาดไว้
“อะไรก็ตามที่ทำจนถึงที่สุด ก็จะกลายเป็นจุดที่โดดเด่นที่สุดบนตัวคนคนหนึ่ง” หนิงชิวกล่าวอย่างได้คิด
เสี่ยวชีนึกไปนึกมายังคงอดถามมิได้ “แต่คุณชายสี่ขอรับ ต่อให้พวกเขาเรียนชนไก่ ขโมยของหรือกัดจิ้งหรีดจนถึงขีดสุด แล้วอย่างไรเล่า อาศัยฝีมือพวกนี้จะสามารถคว่ำสองกองของซือหลี่เจียนได้หรือ”
ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเนือยๆ ว่า “เสี่ยวชี เจ้ารู้หรือไม่ว่าโดยธาตุแท้แล้วทำไมซือหลี่เจียนจึงดำรงอยู่”
เสี่ยวชีลังเล “เป็นจารชน”
และเป็นจารชนที่ทุกคนชังที่สุด แต่ไม่มีใครกล้าตอแยด้วย คอยจับจ้องควบคุมทั้งในและนอกราชสำนักชนิดครอบคลุมทุกแห่งหน
ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อคราหนึ่งชี้ไปที่หัวใจ “ไม่ผิด จารชนที่ดีที่สุดเก่งที่สุด ต้องเผชิญกับคนเก้าชั้นทั้งบนล่าง มิใช่แค่วิทยายุทธ์สูงล้ำก็พอ หากยังต้องมีจิตใจที่รู้ซึ้งทุกสิ่งอย่างมีความพลิกแพลงหลากหลาย และไม่ละอายที่จะใช้วิธีการใดๆ”
เสี่ยวชีมึนงงอยู่บ้าง แต่ในใจรู้สึกว่าคุณชายสี่พูดจามีเหตุผล
ชิวเยี่ยไป๋แลดูใบหน้างงงวยของเขาก็หัวร่อเบาๆ ดีดนิ้วใส่หน้าผากเขา “เรื่องพวกนี้เจ้าไม่ควรคิด เจ้าแค่ไปบอกคนของโถงชิงหลงกับโถงไป่หู่ว่าอย่าได้ถือพวกหยิบหย่งเป็นศิษย์ เพราะพวกเขาไม่มีทางเป็นอาจารย์ของพวกหยิบหย่งอยู่แล้ว และแค่ฟังคำสั่งข้าไปปฏิบัติภารกิจหนึ่ง ในยุทธจักรยิ่งไม่มีใครรู้เรื่องนี้”
นางหยุดลงแล้วพูดต่อ “ส่วนข้าจะให้พวกเขาไปทำภารกิจอะไร ข้าย่อมมีเหตุผลของข้า วันหลังพวกเจ้าจะรู้เอง เจ้าแม่ทัพหลูไม่ใช่ตัวดีอะไร เมื่ออวิ๋นจงเกิดภัยธรรมชาติจากตั๊กแตนครานั้น เงินที่ราชสำนักผันมาถูกนายอำเภออวิ๋นจงกินไปกว่าครึ่งค่อน เขามีบุตรชายคนเดียว ในเมื่อบุตรชายของเขามิรู้ดีชั่วดันไปรักชอบอนุของบิดา และสองคนก็ใช่ว่าจะนอนเตียงเดียวกันเป็นครั้งแรก ข้าก็แค่ใจดีให้พวกเขาอยู่คู่กัน และพลอยได้ทดสอบฝีมือพวกหยิบหย่งดูว่ามีปัญญา ‘ขโมยคน’ จากจวนขุนนางที่การอารักขาแน่นหนาหรือไม่เท่านั้นเอง”
คราวนี้เสี่ยวชีเข้าใจแล้ว จึงผงกศีรษะหงึกหงัก คิดว่าคนในโถงชิงหลงกับโถงไป่หู่น่าจะสบายใจขึ้น
เขาลังเลครู่หนึ่ง ยังคงกล่าวต่อ “แล้วมหกรรมกัดหมาพวกเขาอาละวาดอยู่สามวันแล้ว สุนัขทั่ว
อวิ๋นจงถูกพวกเขาขโมยจนหมด เรื่องนี้ไปถึงนายอำเภออวิ๋นจง ถ้าเกิดมีการตรวจค้นขึ้นมา ข้าน้อยเกรงว่าเรื่องจะแดงนะ”
“แดงก็แดงสิ นั่นก็เป็นการให้บทเรียนพวกเขาเช่นกัน เหิมเกริมคิดว่าตัวเองใหญ่โต ทำอะไรไม่รอบคอบรัดกุมย่อมไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี ซ้ำยังอาจเอาชีวิตไปทิ้งด้วย” ชิวเยี่ยไป๋มิกังวลแม้แต่น้อย ยื่นจดหมายในมือให้เสี่ยวชี
“ให้คนส่งออกไป”
เสี่ยวชีรู้ว่านี่เป็นการส่งข่าวติดต่อกับเมืองหลวงทุกสิบวันของชิวเยี่ยไป๋ เพื่อให้แน่ใจว่าสถานการณ์ในราชธานีเป็นอย่างไร
ถึงอย่างไรนางก็เคยสัญญากับเจิ้งจวิน ตูกงแห่งซือหลี่เจียนว่าจะปิดคดีภายในสามเดือน บัดนี้ใกล้จะครบกำหนดแล้ว นางไม่เพียงได้ทั้งสมุดบัญชีและพยานบุคคล และยังหนีรอดจากตาข่ายฟ้าของคนตระกูลเหมย มิรู้ว่าพวกผู้อาวุโสในราชธานีเตรียมจะจัดการกับพวกเขาอย่างไร จึงจำเป็นต้องรักษาช่องทางการส่งข่าวให้ปลอดโปร่งไว้
เขารับจดหมายแล้วรีบออกจากประตูทันที
“คุณชายสี่เจ้าขา ด้านเทียนซูพักนี้ตอบจดหมายว่าสถานการณ์ราชธานีเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” หนิงชิวย่อมรู้ดีว่าชิวเยี่ยไป๋กำลังจะรีบกลับไปให้ทันกับกำหนดเวลา ไม่เช่นนั้นนางอาจมีความผิดติดคุกได้และกองคั่นเฟิงอาจถูกยุบ ถ้าเป็นเช่นนั้นความพยายามและความคิดทั้งมวลของคุณชายสี่ก็เสียเปล่าแล้ว
ชิวเยี่ยไป๋ครุ่นคิดกล่าวว่า “เทียนซูบอกว่าคลื่นลมยังสงบดี นอกจากพักนี้ราชครูเป็นประธานพิธีขอฝนแล้วไม่ได้ข่าวว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเป็นพิเศษ
และแล้ววันรุ่งขึ้นหลังพิธีขอฝน เมฆดำก็ครึ้มฟ้า ฝนตกห่าใหญ่ ทำให้ราชธานีคลายความร้อนจัดและความแห้งแล้งของฤดูสารท ชื่อเสียงเกียรติศักดิ์ของราชครูกับวัดเจินเหยียนกงสูงขึ้นอีกมากโข
หนิงชิวย่อมรู้ดีว่าราชครูก็คือหยวนเจ๋อ จัดแจงตั้งสำรับอาหารเช้าให้ชิวเยี่ยไป๋พลางกล่าวว่า “คิดว่าหยวนเจ๋อคงไม่ใช่คนหน้าไหว้หลังหลอก ถ้าคุณชายสี่เจอะเรื่องอะไรที่คลี่คลายมิได้ในราชธานี น่าจะลองไปหาราชครูดู ไม่แน่ว่าอาจช่วยได้บ้างนะเจ้าคะ”
นางรู้ว่าตนเองยังไม่สามารถติดตามชิวเยี่ยไป๋ขึ้นราชธานีเป็นการชั่วคราว ครั้งนี้คุณชายสี่จะไปแล้ว แม้นางจะรู้สึกเสียใจ แต่กลับทำได้เพียงพยายามคิดเผื่อชิวเยี่ยไป๋
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้า คีบข้าวเหนียวปั้นก้อนหนึ่งใส่ชามของหนิงชิว กล่าวปลอบใจหนิงชิวที่กำลังเศร้าสร้อยว่า “ไม่เป็นไร ถ้าชิวเอ๋อร์คิดถึงมากก็ใช่ว่าจะขึ้นไปราชธานีเที่ยวเล่นมิได้”
ไหนๆ หลังนางออกเดินทางแล้ว สำนักหอซ่อนกระบี่ก็ต้องพยายามไม่กระโตกกระตากและเร้นอยู่ในที่ลับ เพื่อจะได้ไม่พลอยพัวพันกับเรื่องที่นางจะทำต่อไป คนในสำนักจะเข้าสู่ระยะการเคลื่อนไหวอย่างเร้นลับ ซึ่งจะไม่มีงานมากนัก
หนิงชิวฟังแล้วตาโตอย่างดีใจ “จริงหรือเจ้าคะ”
ชิวเยี่ยไป๋อมยิ้ม “แน่นอน”
…
ราชธานี
ตำหนักในของชิวเฟิงเก๋อที่สง่าประณีต สตรีงามวัยกลางคนเค้าหน้าเข้มงวด เสื้อแพรสีครามปักคำว่าฝู (ความสุข) ร้อยคำ ประดับศีรษะด้วยหยกเขียวประปราย กำลังหลับตาเอนกายกับเตียงไม้ไผ่ มีหญิงจากวังใหญ่กำลังพัดวีอยู่ข้างๆ
หมัวมัวแซ่ต่งคนหนึ่งประคองชามน้ำแข็งใบหนึ่งเลิกม่านเข้ามา “พระพันปีเพคะ นี่เป็นรังนกลูกบัวแช่เย็นเพคะ”
พระพันปีลืมตาขึ้น ถอนใจเสียงหนึ่ง “ยกมาเถิด อากาศร้อนอบอ้าวมาก ฤดูร้อนปีนี้น่าเบื่อจริง”
ต่งหมัวมัวเหลือบมองด้านนอกที่ลมพัดอยู่ นึกพึมพำในใจ เกรงว่าท่านคงมีเรื่องในใจถึงได้รู้สึกว่าปีนี้เย็นสบายสู้ปีก่อนมิได้กระมัง
แต่นางยังคงปั้นหน้ายิ้ม เข้าใกล้พระพันปีกราบทูลอย่างยิ้มแย้มด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “หลังราชครูทำพิธีขอฝนคราวที่แล้ว พระพันปีเพคะ ใต้เท้าหมอหลวงบอกว่าท้องไส้ของท่านรับของเย็นมากไม่ได้นะเพคะ อย่ากินมากไปเดี๋ยวไอเย็นจะเข้าสู่ปอดและอวัยวะภายในนะเพคะ”
ได้ยินต่งหมัวมัวพูดพระพันปีที่กำลังเสวยของว่างแช่เย็นก็ชะงักเล็กน้อย แล้วร้องเชอะเบาๆ “เหล่าหลัวก็ช่างเป็นห่วงจริงนะ พวกเจ้าก็ช่วยเขารังแกข้าด้วย นี่ก็กินไม่ได้ โน่นก็กินไม่ได้ เป็นคนเหมือนกันจะบอบบางไปถึงไหนกัน”
ต่งหมัวมัวลอบถอนใจ กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “เป็นคนเหมือนกัน แต่พระพันปีท่านเป็นเจ้านาย พวกเราเป็นบ่าวต่างกันมากนัก ท่านเป็นมารดาของแผ่นดิน ท้องไส้ย่อมบอบบางกว่าเป็นธรรมดาเพคะ”
พระพันปีแค่นเสียง “มารดาของแผ่นดิน? คนที่เป็นมารดาของแผ่นดินตัวจริงน่าจะเป็นเจ้านายที่อยู่วังคุนอี๋ต่างหาก แต่จนใจที่คนผู้นั้นบัดนี้คิดแต่จะเป็นกุลสตรีและแม่ที่ดี จึงถือศีลกินเจขอพรให้สวามี มีเวลาคิดถึงการเป็นมารดาของแผ่นดินที่ไหนกัน”
ต่งหมัวมัวลังเลครู่หนึ่ง กล่าวปลอบโยนเบาๆ ว่า “พระพันปีอย่าเคืองไปเลย ถึงอย่างไรจักรพรรดินีก็เป็นหลานอาของท่าน ทุกวันนี้นางหวั่นเกรงยังคงเพราะ…เรื่องที่คาใจครานั้น”
จะว่าไปแล้วก็คือจักรพรรดินีคนปัจจุบันเมื่อครั้งยังเป็นสนมกับจักรพรรดินีองค์ก่อนเคยร่วมกันทำเรื่องผิดต่อมโนธรรม พอเห็นจักรพรรดินีคนก่อนมีจุดจบที่ไม่ดีจึงหวาดผวา ไม่กล้าแย่งเป็นคนโปรดโดยไม่เลือกวิธีการเหมือนเมื่อครั้งเป็นสนม