ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 282 ข้าทาส (1)
ซวงไป๋งงงันแล้วขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตามความเห็นของข้าน้อย น่าจะเป็นติ้งอ๋ององค์ชายคนที่สามที่เกิดแต่จักรพรรดินีองค์ก่อน หรือไม่ก็เป็นฉีอ๋ององค์ชายห้าที่เกิดแต่จักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน องค์ชายเจ็ดปีนี้เพิ่งจะสิบขวบปี ยังมิได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋อง ส่วนองค์ชายอื่นๆ เกิดแต่อนุ และล้วนมิใช่เฉลียวฉลาดซึ่งย่อมไม่น่าอยู่ในเกณฑ์พิจารณาของพระพันปี”
องค์ชายใหญ่กับองค์ชายสองล้วนเกิดแต่จักรพรรดินีเสี้ยวเสียน และล้วนเป็นคนเฉลียวฉลาดทรงปัญญา โดยเฉพาะองค์ชายสาม วัยสามขวบก็สามารถท่องบทกวีห้าขวบรจนากวี ทั้งยังได้รับการสนับสนุน
อย่างแข็งขันจากตระกูลตู้ สี่ขวบได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท แต่โชคชะตาเลวร้าย องค์ชายใหญ่ตกม้าตายตอนอายุสิบสาม จักรพรรดินีเสียพระทัยปิ่มจะขาดใจ ขังตัวเองในวังเป็นปีจึงค่อยคลายความโศกเศร้า
และเพื่อเป็นการปลอบประโลมคู่ทุกข์คู่ยาก จักรพรรดิจึงตั้งองค์ชายสองเป็นรัชทายาท แต่เรื่องดีๆ ก็อยู่ได้ไม่นาน เพียงหนึ่งปีให้หลัง ขณะเกิดโรคระบาดนอกวัง จู่ๆ จักรพรรดินีก็ป่วยเป็นโรคฝีดาษ หลังสิ้นพระชนม์ตามลำพังอย่างอนาถในวังแล้ว องค์ชายสองซึ่งฐานะสูงสุดขณะทำพิธีเซ่นฟ้าจู่ๆ ก็ก้าวพลาดกลิ้งตกจากบันไดร้อยกว่าขั้น สมองแตกกระจายเปื้อนบันไดหยกขาวตลอดทาง
นับแต่นั้น ข่าวลือว่าองค์รัชทายาทชงกับดาวจื่อเวยก็สะพัดไปทั้งใต้ฟ้า หลังสูญเสียราชโอรสแสนรักไปสององค์ จักรพรรดิจึงไม่กล้าตั้งรัชทายาทตามอำเภอใจอีก และแต่งตั้งเจ้าหญิงองค์โตที่ ‘อ่อนแอป่วยบ่อย’ เป็นองค์หญิงเซ่อกั๋ว ประการหนึ่งเพื่อให้พระธิดาที่ได้รับตำแหน่งนี้สุขภาพอาจดีขึ้น อีกประการหนึ่งก็หวังว่าความเป็นสตรีจะช่วยสลายการชงกับดาวจื่อเวยบ้าง
ขณะเดียวกันก็ทรงโปรดปรานโอรสพระองค์เดียวที่เกิดแต่จักรพรรดินีคนก่อนเป็นพิเศษ…องค์ชายสาม ติ้งอ๋อง
แม้ฉีอ๋องกับองค์ชายเจ็ดล้วนเกิดแต่พระมเหสี แต่องค์จักรพรรดิไม่เคยใส่พระทัยและโปรดปรานเท่ากับติ้งอ๋องเลย
ดังนั้นบรรดาขุนนางในราชสำนักจึงยอมรับโดยนัยว่าติ้งอ๋องจะเป็นผู้สืบทอดจักรพรรดิองค์ต่อไป
“แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถ้าคิดจะเอาอำนาจใหญ่ในการเกษียรหนังสือด้วยหมึกแดงจากมือของข้าก็ใช่ว่าจะเป็นไปมิได้ เพียงแต่ต้องดูก่อนว่าคนผู้นั้นจะมีความสามารถไปนั่งตำแหน่งรัชทายาทหรือไม่ และต้องไม่ชงกับดาวจื่อเวยด้วยกระมัง” ดูเหมือนไป๋หลี่ชูจะมิกังวลแม้แต่น้อย เพียงถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง เหมือนนึกถึงเรื่องสนุกน่าสนใจเรื่องหนึ่ง
“เจ้าว่าน้องชายคนที่สามของข้าคนนั้น ถ้าได้ยินข่าวนี้จะตื่นเต้นไหมนะ” เขาหัวร่อออกมา
ซวงไป๋มองไป๋หลี่ชูแวบหนึ่ง นึกในใจว่า ไม่ เวลานี้ถ้าองค์ชายสามรู้ข่าวนี้ เกรงว่าคงตกใจจนฝันร้ายยามดึกแน่ อาจคุกเข่าร้องขอให้ฝ่าบาทท่านละเว้นก็ไม่แน่
แต่ไรมาซวงไป๋เห็นว่าองค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นคงไม่มีชีวิตรอดอยู่ถึงบัดนี้
“ในเมื่อยายแก่นั่นอยากพบหยวนเจ๋อ ก็ให้พบเถิด” ไป๋หลี่ชูมือเท้าคางหลุบตางดงามลงเล็กน้อย
ซวงไป๋เห็นท่าทางของไป๋หลี่ชูเตรียมจะหลับตาพักผ่อน จึงขานรับอย่างนอบน้อมว่า “พ่ะย่ะค่ะ”
พูดจบเขาเตรียมจะถอยออกจากห้อง กลับพลันได้ยินเสียงนุ่มนวลโหวงเหวงดังขึ้นอีกครั้ง
“เอ้อนี่ ประกาศหนังสือนำจับ ประทับตราเถิด”
ซวงไป๋แทบจะคิดว่าตนเองฟังผิด พลันเงยหน้าขึ้น “อะไรนะ”
ไป๋หลี่ชูหลับตาลงอย่างสบายอารมณ์ กึ่งเอนตัวบนหมอนนุ่มคลึงลูกผลึกแก้วในมืออย่างไม่ใส่ใจ “ข้าไม่ชอบการคาดเดาใดๆ จิตใจของคนคือสิ่งที่คาดเดายากที่สุดและเปลี่ยนแปลงง่ายที่สุด กับการคาดเดาว่าอะไรเป็นของตนเองหรือมิใช่ของตนเอง สู้ให้อีกฝ่ายยอมเข้าหาโดยดุษฎีจะดีกว่า เสี่ยวไป๋เป็นคนฉลาด คนฉลาดย่อมคำนึงถึงสถานการณ์เสมอ การอยู่ริมบ่อแล้วอยากได้ปลา สู้ถักแหรอให้ปลาน้อยว่ายเข้ามาเองจะดีกว่า”
ไป๋หลี่ชูหยุดเล็กน้อย ดูเหมือนจะถอนใจอย่างอับจนคราหนึ่ง “ข้าช่างเป็นคนใจอ่อนและใจดีเสียจริง ไม่อยากให้เสี่ยวไป๋ต้องกลัดกลุ้มไปกับทางเลือก”
ซวงไป๋ฟังแล้วเงียบงัน
ดังนั้น ท่านจึงช่วยใต้เท้าชิวเลือก ไม่เหลือทางถอยใดๆ ให้คนอื่นเลย ฝ่าบาท ท่านช่าง ‘ใจอ่อนและใจดี’ เสียจริง
…
สองวันให้หลัง ใต้ฉัตรอันหรูหรา พระพันปีภายใต้การติดตามของคนในวังสิบกว่าคนยกขบวนมุ่งสู่ตำหนักเทพที่วิจิตรงดงามท่ามกลางผืนต้นโพธิ์ ข้าหลวงใหญ่ของหน่วยชินเทียนเจียนกับรองข้าหลวงใหญ่รอรับใช้ข้างขบวนอย่างนอบน้อม
สตรีร่างอ้อนแอ้นสี่นางในชุดยาวสีขาวหิมะปลดผ้าคลุมหน้าออกที่หน้าตำหนัก เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงาม ประนมมืออย่างนอบน้อมให้กับอาคันตุกะ “ขอน้อมรับพระพันปีเพคะ”
“น้อมรับพระพันปีพ่ะย่ะค่ะ” บรรดาคนรับใช้รอบข้างพากันคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียง
หญิงรับใช้ใหญ่สี่นางจากเจินเหยียนกงมีฐานะผู้รับใช้เทพเจ้าในชินเทียนเจียนและเป็นผู้รับใช้พุทธะมีชีวิต จึงย่อมไม่ต้องคารวะด้วยการคุกเข่าเช่นคนทั่วไป
ดวงตาคมกริบของพระพันปีกวาดมองทุกคนจากเบื้องสูงแวบหนึ่ง แล้วพยักพระพักตร์อย่างพอพระทัย ขณะเดียวกันก็เอื้อมมือลูบแขนเสื้อตนเองคราหนึ่งอย่างไม่ใส่พระทัย ขันทีใหญ่ที่รับใช้อยู่ข้างๆ ส่งเสียงแหลมทันที “ลุกขึ้น”
“ขอบพระทัยพระพันปี” หญิงรับใช้ใหญ่เฟิง ฮวา เสวี่ย เย่ว์ยืนตรงแล้ว คนรับใช้อื่นๆ จึงค่อยลุกขึ้น
“พระพันปีเพคะ ท่านราชครูรอต้อนรับที่ตำหนักในแต่เนิ่นๆ แล้วเพคะ” เฟิงหนูเป็นคนฐานะสูงสุดในสี่หญิงรับใช้ใหญ่ แม้โฉมหน้านางจะไม่งดงามเทียบเท่าอีกสามนาง แต่คิ้วคางสดใส ราศีดีมาก และครานั้นเคยรับใช้ข้างพระวรกายพระพันปีมาก่อน และเป็นผู้ที่พระพันปีส่งเข้าเจินเหยียนกงเอง บัดนี้ย่อมเป็นผู้ที่สามารถกราบทูลหน้าพระพักตร์พระพันปีได้ดีที่สุดเป็นธรรมดา
พระพันปีทรงพยักพระพักตร์ เหลือบมองต่งหมัวมัวที่รับใช้ข้างกายแวบหนึ่ง “พวกเจ้าไปรอข้างนอก ข้าจะเข้าไปสนทนากับท่านราชครูเอง”
นางหยุดลงเล็กน้อยแล้วมองที่เฟิงหนู รับสั่งอย่างยิ้มแย้มว่า “เฟิงหนู เจ้านำทุกคนไปพักที่ตำหนักด้านข้างก่อน”
เฟิงหนูกับต่งหมัวมัวขานรับอย่างพร้อมเพรียง “เพคะ”
จากนั้นพระพันปีก็เข้าสู่ตำหนักเทพโดยการนำของเสวี่ยหนู
ส่วนเฟิงหนูจัดแจงให้พวกคนติดตามของพระพันปีไปนั่งพักที่ตำหนักข้างและให้คนรับรองด้วยของว่างและน้ำชาเพื่อคลายร้อน
จนกระทั่งจัดแจงเสร็จสรรพ นางจึงยกของว่างและน้ำชาสำรับหนึ่งไปที่ห้องเล็กริมน้ำข้างตำหนักข้าง
“ต่งหมัวมัว รอนานแล้ว” เฟิงหนูวางของในมือลงบนโต๊ะเตี้ยทำด้วยไม้แดงสลักลายหุ้มด้วยกระดองเต่ากระ ยิ้มให้ต่งหมัวมัวอย่างมีมารยาท
ต่งหมัวมัวพยักหน้า ทำทีให้นางนั่งลงแล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “เฟิงหนู เจ้ามิต้องเกรงใจขนาดนี้”
เฟิงหนูก็มิเกรงใจ หลังนั่งลงแล้วก็ยิ้มน้อยๆ ถามว่า “พระพันปีสบายดีไหม”
ต่งหมัวมัวคิดดูแล้วตอบอย่างยิ้มแย้ม “ก็ยังดีอยู่ เพียงแต่ฤดูสารทร้อนไปหน่อย พระพันปีมักเสวยของว่างแช่เย็น หมอหลวงหลัวย่อมเกรงว่าความเย็นจะเข้าสู่ปอดจึงห้ามเสวย เจ้าก็ใช่ว่าจะมิรู้พระนิสัยของพระพันปี หลายสิบปีมานี้คำไหนต้องเป็นคำนั้น พวกเราที่เป็นบ่าวลำบากใจจริงๆ เชียว”
“อืม ต่งหมัวมัวกับพวกพี่สาวลำบากแล้ว พวกเราที่เป็นบ่าวย่อมต้องรับหนักหน่อยนะ” เฟิงหนูยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้า น้ำเสียงสดใส ไม่มีความยั่วยวนที่ไม่เหมาะกับกาลเทศะแม้แต่น้อย ฟังแล้วสบายหูเป็นพิเศษ
มิน่าเล่า พระพันปีจึงให้เฟิงหนูอยู่ข้างกายราชครู
ต่งหมัวมัวแลดูเฟิงหนู ดวงตาฉายประกายแวบหนึ่ง “เอ้อนี่ เฟิงหนู พักนี้ทางราชครูนี่มีอะไรผิดปกติไหม พระพันปีฟังว่าคืนหนึ่งเมื่อสิบกว่าวันก่อนเกิดเรื่องที่นี่ และเขาก็ไม่ให้พวกเจ้ารับใช้ใกล้ชิดอีก ทำไมจู่ๆ สองวันก่อนจึงเปลี่ยนใจ”