ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 295 ยอมถูกจับ(2)
ชิวเยี่ยไป๋เชิดริมฝีปากเล็กน้อย วันนี้โชคของนางไม่เลว ไม่ต้องซ่อนตัวรอจนฟ้ามืด ก็จะได้พบกับคนที่ต้องการพบแล้ว
ทว่า
นางมองดูองครักษ์หลายนายและคนรับใช้ในวังหลายคนที่ยืนอยู่บริเวณใกล้ศาลาเก๋ง ก็อดถอนใจมิได้
นี่…แล้วนางจะเข้าใกล้ฝ่าบาทแปดผู้ ‘สามารถ’ ได้อย่างไร
แม้วิชาตัวเบาของนางจะยอดเยี่ยม แต่กลางวันแสกๆ จะฝ่าเข้าไปได้อย่างไร
บัดนี้ยังมิใช่เวลาที่จะดึงความสนใจของผู้คน
ชิวเยี่ยไป๋กำลังยืนกลุ้มอยู่ในซอกมุมหนึ่ง พลันได้ยินบริเวณนั้นมีเสียงฝีเท้า พอหันไปก็เห็นด้านขวาของนางมิรู้ว่ามีขันทีวัยกลางคนคนหนึ่งโผล่มาตั้งแต่เมื่อใด อีกฝ่ายยังถือกาหยกใบหนึ่งในมือและกำลังเซใส่ชิวเยี่ยไป๋ และกาหยกใบนั้นก็ทุ่มใส่ตัวชิวเยี่ยไป๋พอดี
โชคดีที่นางตาไวมือไว รีบพลิกข้อมือคว้าที่จับของกาหยกไว้ เบี่ยงกายเล็กน้อยจึงไม่โดนน้ำชาร้อนทั้งกาสาดใส่
ขันทีกลางคนยืนจนมั่นอย่างไม่ง่าย เห็นชิวเยี่ยไป๋รับกาหยกของตนไว้ได้ก็โล่งใจ แล้วเบิกตากว้าง “เจ้าตัวน้อยมาจากที่ใด ทำไมจึงกล้าบุกรุก…”
แววตาชิวเยี่ยไป๋เย็นลง ยื่นมือไปสกัดจุดเขาไว้ คำพูดที่ยังพูดไม่จบของขันทีจึงคาอยู่ในคอ สองตาเหลือกลานแล้วหมดสติไป ชิวเยี่ยไป๋มือหนึ่งถือกาหยก อีกมือใช้กำลังภายในลากขันทีคนนั้นเข้าไปทิ้งไว้ในพุ่มดอกไม้ข้างๆ จากนั้นมองดูกาหยกในมือ ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์แวบหนึ่ง
ฤดูสารทหนาวเย็นวังพระจันทร์ดอกกุ้ยฮวาเบ่งบาน ออกดอกทุกปีเพียงเกาะเกี่ยว
อยู่ร่วมกันในแดนดินพูดถึงฟ้า มิรู้ว่าฟ้ากลับอาวรณ์ในแดนดิน
ดอกกุ้ยฮวาฤดูสารทหอมกรุ่น ใช้ทำชากุ้ยฮวาหรือขนมกุ้ยฮวาล้วนดีที่สุด ชาววังและบรรดาองครักษ์ต่างรู้ว่า เจ้านายของตนชื่นชอบสุราและขนมที่ทำจากดอกกุ้ยฮวาเป็นที่สุด ดังนั้นพอเห็นขันทีน้อยคนหนึ่งค้อมตัวประคองกาหยกที่กรุ่นด้วยกลิ่นหอมกุ้ยฮวาเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง พวกองครักษ์และชาววังจึงไม่รู้สึกว่าผิดปกติแต่อย่างใด
จนกระทั่งขันทีน้อยเสื้อเทาผ่านองครักษ์รอบนอกเข้าใกล้ศาลาเก๋ง ขันทีใหญ่ที่ยืนบนบันไดจึงพบว่าไม่ถูกต้อง และถามขันทีน้อยอย่างข้องใจ “เจ้าเป็นใคร เผิงกงกงเล่า”
ปกติขันทีน้อยระดับต่ำพวกนี้ก็ไม่มีคุณสมบัติเข้าใกล้เจ้านาย เมื่อกี้เป็นเผิงกงกงชัดๆ ที่จะไปนำน้ำจากธารร้อนชงชากุ้ยฮวา ทำไมจึงกลายเป็นขันทีน้อยส่งของมาเล่า
ชิวเยี่ยไป๋หยุดเล็กน้อย แล้วกล่าวอย่างนอบน้อมลังเลว่า “เผิงกงกง…ปวดเบาจึงให้ข้าน้อยส่งของมาก่อน”
ขันทีใหญ่คนนั้นหรี่ตาลง ดวงตาฉายแววตื่นตัว “อย่างนั้นหรือ”
เขาหยุดครู่หนึ่ง พลันตวาดว่า “จับคนนี้ไว้!”
ชิวเยี่ยไป๋ได้ยินก็รู้ว่าตนเองเผยพิรุธแล้ว นางจึงเงยหน้าขึ้นตรงๆ เสียเลย กวาดตาแลดูบรรดาองครักษ์ที่ชักกระบี่ออกตั้งพยุหะล้อมนางไว้อย่างแน่นหนา แล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้มมิลนลานว่า “กงกงท่านนี้ ข้าก็แค่มาตามนัดของฝ่าบาทแปดเท่านั้นเอง นี่คือวิธีต้อนรับอาคันตุกะของฝ่าบาทแปดหรือ”
ขันทีใหญ่งงงัน หัวเราะเย็นชาเสียงแหลม “ไอ้นี่ซี้ซั้วพูดอะไร บอกมา เจ้าเป็นมือสังหารที่ใครใช้มา”
ชิวเยี่ยไป๋มองดูขันทีใหญ่อย่างเย็นชา แววตาที่เย็นเยียบราวคมกระบี่ ทำเอาขันทีใหญ่ถอยไปก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็หน้าแดงตวาดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้าโจรน้อย ยังกล้าเหิมเกริม…”
“ผิงหนิง” เสียงทุ้มถนัดพลันดังมาจากศาลาเก๋ง ขัดคำพูดของขันทีใหญ่
ผิงหนิงได้ยินเสียงของเจ้านาย จึงชะงักลง กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “นายท่าน”
“เชิญแขกเข้ามา” องค์ชายแปดรับสั่งเนือยๆ
ผิงหนิงงงงันแต่ไม่สงสัยใดๆ เพียงหันกายมองดูชิวเยี่ยไป๋ กล่าวราบเรียบว่า “เมื่อครู่ล่วงเกินไป ท่านผู้ทรงเกียรติ ฝ่าบาทขอเชิญ”
แม้แต่บรรดาองครักษ์รอบข้างที่แผ่รังสีอำมหิตก็กลับเข้าประจำที่เดิมอย่างรวดเร็ว ราวกับพวกเขาไม่เคยรายล้อมชิวเยี่ยไป๋ไว้ก็มิปาน
ผิงหนิงถึงกับช่วยเลิกม่านไผ่เซียงเฟยให้ราวกับนางเป็นอาคันตุกะผู้สูงศักดิ์จากแดนไกลจริงๆ
ไม่เคยสงสัย ปฏิบัติตามคำสั่ง
นี่เป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่สุดของทหารและเป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด
ชิวเยี่ยไป๋อดรู้สึกสนใจองค์ชายแปดมิได้ ดูท่าคำร่ำลือน่าจะเชื่อถือได้อยู่บ้าง องค์ชายแปดคนนี้มีบุคลิกของแม่ทัพใหญ่จริง
ในเมื่ออีกฝ่ายองอาจถึงเพียงนี้ นางจึงถือกาหยกก้าวอาดๆ เข้าไปในศาลาเก๋งเสียเลย
การจัดแจงในศาลาเก๋งเรียบง่ายมาก บนโต๊ะกลมสลักลายตัวหนึ่งมีกระดานหมากรุกที่เดินไปครึ่งกระดานวางอยู่ จอกน้ำชาใบหนึ่งข้างโต๊ะกลมมีเก้าอี้เอนนอนทำด้วยไผ่เซียงเฟยตัวหนึ่ง รอบโต๊ะยังมีเก้าอี้ไม้ไผ่หลายตัว
มองเผินๆ แล้วยังคิดว่ามีคนกำลังเดินหมากรุกที่นี่ แต่ทั้งศาลาเก๋งมีเพียงบุรุษคนหนึ่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้นอนตามลำพัง
ชิวเยี่ยไป๋เห็นอีกฝ่ายเป็นครั้งแรกก็อดงงงันมิได้ เมื่อครู่ได้ยินเสียงยังคิดว่าตนจะพบกับขุนพลนักบู๊ที่เคร่งขรึมคนหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าบุรุษที่เอนกายอยู่นี้แม้คิ้วจะเรียวยาวและดวงตาคมกริบ ผิวกายเป็นสีน้ำผึ้งด้วยตากแดดชั่วนาตาปี แต่กลิ่นอายโดยรวมแล้วดูอย่างไรยังคงเป็นบัณฑิตบุ๋นที่สุภาพเรียบร้อย
นางวางกาน้ำชาลง ยิ้มน้อยๆ ให้อีกฝ่ายพลางประสานมือคารวะ “องค์ชายแปด”
องค์ชายแปดมิได้คารวะตอบนางในทันที และมิได้ตำหนิที่นางมิได้คารวะอย่างเต็มพิธีการเมื่อพบกับราชวงศ์ หากแต่มองดูนางเงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วเชิดมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ข้าควรเรียกเจ้าว่านายน้อยสี่ชิวหรือว่าเรียกคุณชายชิวดี”
ชิวเยี่ยไป๋เห็นรอยยิ้มของเขาดูเหมือนจะทำให้เค้าหน้าของเขามีแสงจางๆ ปกคลุม ราวกับแสงตะวันเดือนเจ็ดที่ร้อนแรงจนสดใสตระการตา แทบจะทำให้ผู้คนลืมตาไม่ขึ้น
นางอดลอบถอนใจมิได้ แม้นางจะรู้สึกว่าคนในราชวงศ์ไป๋หลี่ล้วนไม่มีตัวดีแต่อย่างใด แต่ก็จำต้องยอมรับว่าสวรรค์ประทานรูปลักษณ์ที่โดดเด่นแก่พวกเขา ไม่ว่าจะเป็นความทรงเสน่ห์ของไป๋หลี่ชู ใบหน้าที่งดงามดุจหยกของไป๋หลี่หลิงอวี่ติ้งอ๋อง หรือว่าสดใสดุจตะวันร้อนแรงเช่นองค์ชายแปดคนนี้ ล้วนทำให้ผู้คนอดนึกมิได้ว่าสวรรค์ช่างลำเอียงเสียจริง
แต่ไรมาชิวเยี่ยไป๋คิดว่าคนงามเป็นสิ่งหายาก ต่อให้เป็นนางงามอสรพิษ แต่ขณะที่ยังไม่ฉีกหน้ากัน นางยังคงยินดีที่จะปฏิบัติต่อเขาด้วยดี จึงยิ้มน้อยกล่าวว่า “สุดแล้วแต่องค์ชายแปดจะโปรดเถิด”
องค์ชายแปดแลดูนาง โบกมือทำท่า “เชิญนั่ง”
ชิวเยี่ยไป๋ก็มิเกรงใจ ยกชายเสื้อขึ้นแล้วนั่งลงข้างโต๊ะกลม
องค์ชายแปดมองดูหนุ่มน้อยใบหน้าคมคายเบื้องหน้า คิ้วคางมิมีแววอีหลักอีเหลื่อแม้แต่น้อย โอ่อ่าเป็นตัวของตัวเอง ดวงตาจึงฉายแววเย็นเยียบแวบหนึ่ง กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “เลื่อมใสชื่อเสียงของหอซ่อนกระบี่มานาน นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะได้พบกันในลักษณะนี้ คำร่ำลือในยุทธจักรเป็นความจริง แต่โปรดให้อภัยที่พักนี้ขาของข้าไม่สะดวกจึงลุกขึ้นต้อนรับอาคันตุกะมิได้
ชิวเยี่ยไป๋จึงได้สังเกตพบว่าขาข้างหนึ่งของเขาท่าทางแข็งเกร็งเล็กน้อย พลันนึกขึ้นได้ว่า ดูเหมือนร่ำลือกันว่าไป๋หลี่หลิงเฟิงองค์ชายแปดต้องลูกธนูขณะปราบโจรร้าย แต่เวลานั้นข่าวคราวซุบซิบต่างๆ นานาที่รวบรวมได้มากมายเกินไป จึงไม่แน่ใจว่าข่าวเหล่านั้นแม่นยำหรือไม่ นึกไม่ถึงว่าที่เห็นวันนี้ฝ่าบาทคนนี้ได้รับบาดเจ็บจริง มีความชอบจากการรบมากมายและได้รับบาดเจ็บจากความแกล้วกล้า มิน่าเล่าพอกลับราชสำนักจึงจะได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋อง