ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 61 เสแสร้ง
“ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าเสี่ยวไป๋ที่ทั้งงาม เจ้าเล่ห์ และดุร้ายปานเสือดาวใต้แสงจันทร์ จะคิดอยากเป็นสหายของข้า มิใช่รอจังหวะจะขย้ำคอข้าหรอกหรือ หืม?”
ความเย็นเยียบและกลิ่นหอมรัญจวนจากกายเขาค่อยๆ แทรกซึมทุกอณูบนผิวของนางทีละน้อย ความรู้สึกไวต่อสัมผัสที่บริเวณใบหูและนิ้วมือที่ลูบไล้บนริมฝีปาก ทำเอานางสะท้านกายอย่างช่วยไม่ได้
ยามเผชิญกับสัตว์ป่า ห้ามวิ่งหนีโดยเด็ดขาด ดังนั้นนางถอยหลังไม่ได้ ทั้งมิอาจแสดงความหวาดหวั่นแม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าเจ้าสัตว์ประหลาดตนนี้จะทำอะไรนางอีก
การกระทำของเขามิได้ทำให้นางมีอารมณ์ปรารถนาแต่อย่างใด แต่กลับเหมือนสัตว์ป่าตัวใหญ่กำลังหยอกล้อลองเชิงสัตว์ตัวน้อยที่น่าสนใจ
ชิวเยี่ยไป๋ไม่โง่ ตรงกันข้าม นางฉลาดอย่างยิ่ง จึงเพียงเมินเฉยต่อนิ้วมือเย็นเฉียบที่กำลังลูบไล้ริมฝีปากของนาง ยิ้มเอ่ยว่า “หากเป็นคนที่ไร้ความสามารถในการปกป้องตนเอง จะคู่ควรกับการเป็นสหายของฝ่าบาทได้อย่างไร”
บุรุษที่ตรึงร่างนางอยู่ไม่ต่อปากต่อคำ ก้มศีรษะลงเล็กน้อย สูดดมที่ข้างหูนางเบาๆ “เสี่ยวไป๋ เจ้าหอมยิ่งนัก”
ชิวเยี่ยไป๋ถูกสูดดมที่ข้างหูซึ่งเป็นจุดอ่อนไหว พลันรู้สึกชาวาบจนตัวอ่อนระทวยไปทั้งร่าง ได้แต่ลอบสาปส่งในใจ
ไอ้คำพูดที่สื่อความทำนอง ‘เนื้อชิ้นนี้กลิ่นไม่เลว’ นี่ทำให้นางถึงกับขนลุกซู่ มารดามันเถอะ!
นางกระแอมให้คอโล่ง เอ่ยว่า “ฝ่าบาทมาที่นี่ได้อย่างไร”
ไป๋หลี่ชูชะงักเล็กน้อยทว่ามิได้ตอบนาง กลับถามขึ้นว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเจี่ยงเฟยโจวเป็นคนของพระพันปี มิใช่โจวอวี่”
ชิวเยี่ยไป๋รู้ว่าเขาคร้านจะตอบคำถามนาง เจตนาของนางเพียงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ จึงกล่าวเสียงเรียบว่า “เดิมก็ไม่รู้ เพียงแต่เดาว่าในสามคนนี้ต้องมีคนของพระพันปีแน่ โจวอวี่แม้ภายนอกจะเกี่ยวดองกับสกุลตู้ แต่นิสัยหยิบหย่งเสเพล เห็นคนงามก็เดินไม่ตรงทางแล้ว ส่วนซือถูหนิงเป็นมือพนันแต่ไม่มีเงิน”
นิสัยของสองคนนี้ คนหนึ่งไม่เหมาะจะทำงานให้พระพันปีได้ อีกคนหากทำงานให้พระพันปีจริง มีหรือจะต้องหยิบยืมเงินจากคนอื่น ความมักมากในกามและความบ้าพนันล้วนเป็นจุดอ่อนที่ถึงแก่ชีวิต มีเพียงเจี่ยงเฟยโจวที่ดูหยาบกระด้างมุทะลุ วันทั้งวันเที่ยวเตร่อยู่ในตลาด ตอดเล็กตอดน้อยไถเงินไปทั่ว ทว่าโรงน้ำชาหอนางโลมนี่แหละเป็นที่ชุมนุมของคนทุกชนชั้น เป็นแหล่งข่าวชั้นเยี่ยม ทั้งเขาก็ไม่ได้หมกมุ่นกับอะไรจนเป็นความเคยชินที่ไม่ดี
“ที่สำคัญคือข้ารู้ว่าเจี่ยงเฟยโจวคอแข็งนัก เขาดื่มสุราไปสองไหก็เมาจนหมดสภาพ นับว่าผิดปกติ”
ไป๋หลี่ชูเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะเบาๆ “หึๆ เสี่ยวไป๋ของข้าช่างเจ้าเล่ห์หลักแหลมราวกับเสือดาวตัวน้อยจริงๆ”
น้ำเสียงเย็นเยียบเล็กน้อยเจือความแหบพร่าที่ชวนให้หลงใหล ประกอบกับลมหายใจเย็นเฉียบที่พ่นรดที่แก้มและหลังใบหูนาง สัมผัสชุ่มชื้นเหนอะหนะเช่นนั้นทำให้นางต้องเบี่ยงศีรษะหลบอย่างเหลือทน “ขอบคุณฝ่าบาทที่ชม…”
ทว่าทันทีที่เบี่ยงศีรษะ นางลืมไปว่านิ้วมือของเขายังอยู่ที่ริมฝีปากนาง ทั้งนางยังอ้าปากพูดด้วย ทำให้อมนิ้วมือเย็นเยียบนั้นเข้าไปโดยบังเอิญ
นางอดตะลึงมิได้ รู้สึกราวกับอมน้ำแข็งที่หอมเย็นและรสชาติไม่เลว
ไยจึงมีคนที่ผิวกายหอมไปหมดเช่นนี้
แต่นางหารู้ไม่ว่าชั่วขณะนั้น อากัปกิริยาที่ไร้เจตนาของนางทำให้ไป่หลี่ชูที่ตรึงร่างนางอยู่พลันหรี่ดวงตางดงามชั่วร้าย แววตาลึกล้ำยิ่งกว่าเดิม
หนุ่มน้อยตรงหน้าเขาดูเหมือนกำลังมึนงง คล้ายไม่รู้ว่าทำอะไรลงไป
เสือดาวตัวน้อยที่เดิมดุร้ายเจ้าเล่ห์พลันทึ่มเซ่อไปในบัดดล
ไป๋หลี่ชูเป็นโรครักสะอาดจนเข้าขั้นโรคจิต อย่าว่าแต่การสัมผัสถูกน้ำลายของผู้อื่นเลย ใครก็ตามที่สัมผัสถูกตัวเขาแล้วมือยังไม่ขาดหรือรอดชีวิตมีน้อยจนนับนิ้วได้
ทว่านับแต่เสือดาวน้อยที่เก่งกาจในการทำตัวเป็นลูกแมวหงิมๆ ถูกงูกู่เข้าร่างจนทำให้เลือดเนื้อในกายกลายเป็นโอสถวิเศษในการรักษาพิษความเย็นของเขา ก็ดูเหมือนว่าเขาจะมิได้รู้สึกว่าการสัมผัสเสือดาวน้อยนี้จะทำให้ตนเองสะอิดสะเอียดถึงขั้นต้องให้เห็นเลือดหัวของอีกฝ่ายจึงจะสงบลงได้
นี่เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด
โดยเฉพาะยามที่เสือดาวน้อยเผยอปากอมนิ้วของเขาเข้าไป ริมฝีปากที่โอบรัดนิ้วมือช่างอบอุ่นยิ่งนัก สัมผัสในช่องปากอ่อนนุ่มและเปียกชื้น ทำให้โลหิตเย็นเยียบในกายเขาคล้ายได้รับไออุ่นจนชาวาบ
ความรู้สึกนี้สบายยิ่งนัก เหมือนสัตว์เลือดเย็นที่พอพบความอบอุ่นก็จะเข้าไปซุกตัว
แววตาของไป๋หลี่ชูราวกับลุกโชนด้วยเปลวเพลิงสีดำ ความสูงศักดิ์และสถานะอันทรงอำนาจย่อมทำให้เขาไม่ใช่คนที่สามารถอดกลั้นต่อความกระหายของตนเอง
เขาเลื่อนนิ้วมือลึกเข้าไปในช่องปากของชิวเยี่ยไป๋ ลูบไล้ไปตามช่องปากที่อ่อนนุ่มและอบอุ่น ถึงขั้นตรึงไหล่ของนางไว้อย่างไม่เกรงใจ หยุดแขนเรียวของนางที่พยายามขัดขืน
“ไป๋หลี่…”
เขาบ้าไปแล้วหรือ
ชิวเยี่ยไป๋ถูกเขาเอานิ้วแยงปากจนน้ำลายไหลออกมา ก็ยิ่งพูดอะไรไม่ออกแล้ว ขณะที่กำลังจะทนไม่ไหวและเกือบกัดนิ้วมือนั้นให้ขาด ไป๋หลี่ชูพลันดึงนิ้วเรียวของตนออกจากปากนาง จ้องหยดน้ำลายที่ไหลไปตามนิ้ว ท่ามกลางสายตาโกรธเกรี้ยวของชิวเยี่ยไป๋ เขาอมนิ้วนั้นเข้าปากที่สวยได้รูปของตนเอง ลิ้มชิมด้วยท่าทางแสนสง่างาม แล้วยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยนทว่าเจ้าเล่ห์
“รสชาติไม่เลว”
ชิวเยี่ยไป๋ที่เดิมจ้องเขาเขม็งด้วยแววตาเกรี้ยวกราด พลันอึ้งงัน สยดสยอง ทั้งกระอักกระอ่วน
ไอ้โรคจิตไร้ยางอายเอ๊ย!
การกระทำของไป๋หลี่ชูทำเอาชิวเยี่ยไป๋ยกมือปิดปากโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าแดงฉาน หวนนึกถึงเหตุการณ์ในอุโมงค์ใต้ดิน ไป๋หลี่ชูคือคนที่มอบจุมพิตแรกให้นางในชาตินี้!
ความรู้สึกใกล้ชิดที่เปี่ยมไปด้วยการรุกล้ำในครั้งนั้นแปลกประหลาด แต่นั่นเป็นเพราะกลิ่นคาวเลือดในปากนางกระตุ้นจนเจ้าสัตว์ประหลาดตนนี้สูญสิ้นสติสัมปชัญญะในพริบตา และคิดอยากทดสอบให้แน่ใจว่าเลือดของนางคือยาถอนพิษของเขาหรือไม่
แต่ที่เขาทำในครั้งนี้..ยามนี้หมายความว่าอย่างไร!
ไป๋หลี่ชูจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้า ดูแล้วส่วนสูงก็เหมือนบุรุษทั่วไป ทว่าโครงร่างกลับเล็กบางกว่าบุรุษ คนผู้นี้ชำนาญการปิดบังอำพราง มีรูปโฉมที่นับว่างามสำหรับบุรุษ โดยเฉพาะดวงตาที่เรียกได้ว่างามสุกใส ยามมองผู้คนคล้ายมีแววยิ้มอบอุ่น ทว่าความจริงซ่อนประกายเย็นเยียบเอาไว้ หรือบางครั้งอาจถึงขั้นโหดเ**้ยมเสียด้วยซ้ำ
จอมปลอม!
นี่เป็นคนเสแสร้งจอมปลอมที่สุด ไม่มีอะไรแตกต่างจากพวกคนทะเยอทะยานแสวงหาลาภยศสรรเสริญที่เขาเคยพบเห็นมาก่อน
ใต้แสงจันทร์ ขณะเด็กหนุ่มผู้นี้ลงมือสังหารผู้คนและบังคับขู่เข็ญศัตรู สิ่งที่แสดงออกมิได้นุ่มนวลดุจหยกดังที่เห็นภายนอก หากแต่มั่นคง แม่นยำ เด็ดขาด ใจกล้า และรอบคอบ เลือดเย็นจนแม้แต่ตัวเขายังประหลาดใจ
สายตาของไป๋หลี่ชูจับจ้องที่ริมฝีปากที่ยังคงเปียกชื้นของชิวเยี่ยไป๋ แววตาหม่นลง พลันยื่นมือบีบคางนางไว้ ไม่ให้นางเบนศีรษะหนี นิ้วหัวแม่มือกดที่ริมฝีปากนาง ไล้นิ้วมือบนริมฝีปากชุ่มฉ่ำอ่อนนุ่มของนาง พลางเอ่ยอย่างใจลอยว่า “เสี่ยวไป๋ ข้านึกอะไรได้อย่างหนึ่ง”
ชิวเยี่ยไป๋มองคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างเย็นชา ไม่พูดอะไร ทั้งมิได้หลบเลี่ยงการลวนลามจากนิ้วมือของอีกฝ่าย
ท่องยุทธภพมานานปี ทำให้นางรู้ซึ้งว่า ผู้จะทำการสำเร็จต้องทนกล้ำกลืนในสิ่งที่ผู้อื่นกล้ำกลืนมิได้ และที่นางไม่คิดขัดขืนเพราะไม่ต้องการกระตุ้นความสนใจของอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น นางจึงใช้ความสงบสยบเคลื่อนไหว
“จัดการกับโจวอวี่ เสี่ยวไป๋ใช้คนของข้า ทั้งยืมชื่อค่งเฮ่อเจี้ยน น่าจะมีผลประโยชน์ให้ข้าบ้างมิใช่หรือ” ไป๋หลี่ชูก้มมองนาง ริมฝีปากบางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
นางยิ้มหยัน “ฝ่าบาทกำลังหารือกับข้าหรือ”
ไป๋หลี่ชูกล่าว “ย่อมมิใช่ ข้าเพียงไม่อยากให้เสี่ยวไป๋บาดเจ็บ”
แม้วาจาเขาจะแสดงออกน้อยกว่าความเป็นจริง แต่ก็บอกให้รู้อย่างชัดแจ้งว่าเขาไม่เคยนำพาต่อการขัดขืนของนางแม้แต่น้อย