ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 98 ละอายแก่ใจ (3)
องครักษ์ผู้นั้นแลดูชิวเยี่ยไป๋อย่างเย็นชา ประสานมือคารวะอย่างจำใจว่า “ใต้เท้าชิวมีอะไรให้รับใช้ไหมขอรับ”
ชิวเยี่ยไป๋หรี่ตาลงช้าๆ “ไม่มีอะไร ข้าจะกลับห้องก่อน หากอาการของฝ่าบาทมีอะไรคืบหน้าช่วยแจ้งข้าด้วย”
พูดจบก็หันเดินไปทางตำหนักหลัง ไม่สนใจสายตาคมกริบของพวกองครักษ์ค่งเฮ่อเจียนที่จ้องตามหลังจนร่างนางแทบจะพรุนแล้ว
นางทำเจ้านายพวกเขาบาดเจ็บ พวกเขาไม่อยากเห็นหน้านางย่อมเป็นเรื่องปกติ นางก็แค่อยู่ที่นี่วันสองวัน ไม่เคยคาดหวังอยู่แล้วว่าจะอยู่ร่วมกับพวกเขาอย่างเบิกบาน พวกเขาชังน้ำหน้านางแต่ไม่กล้าลงมือกับนาง
อย่าว่าแต่ขณะนี้จิตใจของนางสับสน ไม่มีกะจิตกะใจจะเออออกับใคร
เมื่อกี้ซวงไป๋บอกข่าวสองเรื่อง เรื่องแรกไป๋หลี่ชูเสียพลังจากการขจัดพิษ บวกกับถูกนางแทงไปหนึ่งมีด ในเวลาอันสั้นคงยังไม่ฟื้นตัวง่ายๆ เรื่องที่สอง เมื่อครู่ที่ไป๋หลี่ชูประมือกับนาง ในสภาพที่เหมือนธนูพุ่งเกือบสุดแล้ว หากมิใช่นางแสร้งเผยช่องโหว่ให้เขา โดยหวังว่าจะยุติการต่อสู้โดยเร็ว ถ้านางยืนหยัดไปได้อีกสักพัก คนที่ชนะอาจเป็นนางก็ได้
แต่แม้ยามที่เขาเปราะบางที่สุด ยังคงเป็นเบี้ยบนในการประมือกับนาง แล้วสภาพยามปกติของบุรุษผู้นี้แข็งแกร่งถึงระดับใด
ครั้งนี้ก็มิทราบว่าเขาหลงกลนางหรือนางหลงกลเขากันแน่
นางเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่เบี่ยงไปทิศตะวันตกแล้ว ฟ้าใกล้สางจิตใจกลับสับสนยิ่ง
ชิวเยี่ยไป๋กลับถึงห้อง ชำระกายลวกๆ หลังจัดการกับรอยแผลที่คอแล้วก็กินอาหารเช้า
วุ่นวายอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน นางขี้เกียจขยับตัวแล้ว และไม่มีกะจิตกะใจจะเดินเล่นไปทั่วเหมือนเมื่อสองวันก่อน จึงสั่งขันทีที่มาเก็บถ้วยชามว่าไม่ต้องส่งอาหารกลางวันมา แล้วนอนลงกับเตียง ในหัวย้อนคิดถึงสิ่งละอันพันละน้อยตั้งแต่การพบกับไป๋หลี่ชูครั้งแรกจนถึงปัจจุบันและการอยู่ร่วมกัน
เพียงพยายามที่จะค้นหาเบาะแสว่า เหตุใดไป๋หลี่ชูจึงมุ่งมั่นต่อตนถึงเพียงนี้ แต่คิดอยู่ค่อนวันวิเคราะห์อยู่ค่อนวัน กลับไม่ได้อะไรเลย
ที่สุดแล้วปัญหาเกิดขึ้นตรงที่ใด
จากข้อมูลที่นางได้เบาะแสจากการหลอกให้วั่งไฉกับฟาต๋าเล่าให้ฟัง ไป๋หลี่ชูไม่ชอบสตรีและถือว่าเป็นศัตรูด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้ชอบบุรุษ องครักษ์ในค่งเฮ่อเจียนมิใช่เครื่องระบายความใคร่ของเขาดั่งที่คนภายนอกเล่าขานกัน ในทางตรงข้ามกลับเป็นพวกยอดฝีมือที่วิทยายุทธ์สูงล้ำ โดยเฉพาะในหน่วยสือปาซือ
ดูท่าคำร่ำลือที่ว่า ‘องค์หญิง’ เซ่อกั๋วมักมากกามคุณอย่างไร้ยางอาย น่าจะเป็นม่านอำพรางเพื่อจะได้เบี่ยงเบนความสนใจของผู้คนเกี่ยวกับกำลังที่แท้จริงของไป๋หลี่ชู
ในเมื่อไป๋หลี่ชูมิได้มักมากในกาม หรือต่อให้บัดนี้นางเป็นร่างที่มีชีวิตร่วมกับไป๋หลี่ชู เขาก็ไม่เห็นจะต้องเกิดความคิดเช่นนั้นกับตน
ชิวเย่ไป่คิดจนปวดหัว สุดท้ายยังคงไร้คำตอบและม่อยหลับไป
ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นแล้ว นางแลดูขอบฟ้าสีขาวนวลและดาวดวงสุดท้ายที่ยังสุกใส นี่..ตนเองถึงกับหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ
คิดดูแล้วคงเป็นเพราะการต่อสู้กับไป๋หลี่ชู ทำให้นางเสียพลังไปมากโข
นางลุกขึ้นและเห็นว่ายังเช้าอยู่ จึงเรียกขันทีให้นำน้ำมาล้างหน้าล้างตา เสร็จแล้วก็กินอาหารเช้าอย่างสำราญ ถ้านางประเมินไม่ผิด วันนี้น่าจะออกจากวังได้แล้ว
และแล้วก็จริงดังคาด ไม่นานนักซวงไป๋ก็มาถึง เห็นท่าทางสบายอารมณ์ของชิวเยี่ยไป๋ สีหน้าของเขาออกจะเย็นชา แต่ไม่แสดงออก เพียงสาวเท้าเข้าหาพลางกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ใต้เท้าชิว อรุณสวัสดิ์ ดูเหมือนวันนี้ใต้เท้าอารมณ์ดียิ่งนัก”
ชิวเยี่ยไป๋มิได้ให้เขาเรียกชื่อของตนตรงๆ เพื่อแสดงความสนิทชิดเชื้อ แม้เมื่อสองวันก่อนจะเคยพูดคุยกันอย่างถูกคอก็ตาม ยังคงปล่อยให้เขาเรียกตนว่าใต้เท้าชิว
นางประคองจอกชาพุทราแดงขึ้นจิบช้าๆ แล้วจึงยิ้มอย่างสุภาพ “พี่ซวงไป๋พูดถูก ถึงอย่างไรจะได้ออกจากตำแหน่งกวงหมิงแล้ว คิดไปคิดมายังคงเป็นเรื่องที่น่ายินดี
ได้ยินคำพูดเหมือนท้าทายของชิวเยี่ยไป๋ รอยยิ้มที่ฝืนยิ้มของซวงไป๋ก็ยิ่งเย็นลง เขาหรี่ตากล่าวว่า “ใต้เท้าปรีชา จึงรู้ว่าวันนี้ฝ่าบาทสั่งให้ข้าส่งใต้เท้าออกจากวัง”
ชิวเยี่ยไป๋แลดูใบชาที่ลอยวนอยู่ในจอก กล่าวเนือยๆ ว่า “ฝ่าบาทสุขภาพยังไม่สู้ดี ย่อมควรพักผ่อนให้มาก ให้ข้าอยู่ต่อก็ไร้ประโยชน์ใดๆ มิใช่หรือ”
ไป๋หลี่ชูมิใช่คนมีความอดทน สภาพร่างกายของเขาในเวลานี้คงไม่เหมาะที่จะทำอะไรกับนาง
“ใต้เท้าชิว!”ซวงไป๋สอดมือไว้ในแขนเสื้อ แววตาวาววับน้ำเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย “ท่านอย่าได้เกินเลย วันนี้ฝ่าบาทส่งข้าน้อยมานำท่านออกจากวัง ก็เพราะเกรงว่าคนของพระพันปีจะขัดขวาง การถือว่าเป็นคนโปรดแล้วจะเหิมเกริมจึงมิใช่เรื่องที่ดี”
ฝ่าบาทไม่เคยได้รับบาดเจ็บไม่รู้กี่ปีแล้ว คนผู้นี้กลับทำเอาฝ่าบาทบาดเจ็บ บัดนี้ฝ่าบาทจำเป็นต้องนอนพักฟื้น หากมิใช่เพราะบัญชาของฝ่าบาท มีหรือที่ชิวเยี่ยไป๋จะออกจากตำหนักกวงหมิงโดยง่าย แต่เขากลับมิรู้ชั่วดี ยังกล้าออกปากถากถาง
ชิวเยี่ยไป๋เห็นแววโกรธในตาของซวงไป๋ นางจึงวางจอกน้ำชาลง ยิ้มอย่างเย้ยหยันว่า “เป็นคนโปรดจึงเหิมเกริมหรือ ข้ารับไว้มิได้หรอก ถ้าเป็นไปได้ ข้าไม่ขอรู้จักกับฝ่าบาทและทุกท่านจะดีกว่า บางคนอาจคิดว่าเป็นน้ำผึ้ง แท้จริงแล้วอาจเป็นยาพิษสำหรับผู้อื่น ความโปรดปรานของฝ่าบาทชูข้าไม่เคยอยากได้ พี่ซวงไป๋ก็เป็นคนฉลาดนี่นา หลักเหตุผลเหล่านี้ไยจึงมิเข้าใจ”
“เจ้า…!” ซวงไป๋หน้าชา แต่มิรู้จะแก้ต่างอย่างไร ที่ชิวเยี่ยไป๋พูดไว้ไม่ผิด
แต่เขาเคยชินกับการยกเจ้านายไว้สูงเทียมฟ้า จู่ๆ ได้ยินคำพูดที่ไม่ยกย่องเทิดทูนจากชิวเยี่ยไป๋ เพลิงโทสะในใจยังคงระงับไม่อยู่
ในที่สุดเขาก็ปรับอารมณ์ใหม่ กล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า “ในเมื่อใต้เท้าพร้อมแล้ว ข้าน้อยก็จะไม่ทำให้ท่านเสียเวลาราชการของท่าน ขอเชิญตามข้าน้อยออกจากวังเถิด”
แต่ชิวเยี่ยไป๋มิได้ลุกขึ้นทันทีเหมือนที่เขาคาดคิด หากกล่าวเนือยๆ ว่า “รอเดี๋ยว เมื่อสี่วันก่อนข้าได้รับพระเสาวนีย์จากพระพันปีให้เข้าวัง บัดนี้แม้ฝ่าบาทชูจะดักรั้งข้ากลางทาง แต่ถึงอย่างไรข้าก็ยังมิได้สนองพระเสาวนีย์ขององค์พระพันปีนะ”
ซวงไป๋หันหน้ามาแววตาเบื่อหน่าย ถามอย่างไม่เกรงใจว่า “แล้วท่านคิดจะทำอย่างไร”
ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเนิบนาบว่า “ข้าคิดจะไปตำหนักบรรทมของพระพันปีสักครั้งตามพระเสาวนีย์”
ซวงไป๋แค่นยิ้มคราหนึ่ง “ใต้เท้าชิว อย่าทำตัวเป็นคนได้คืบจะเอาศอกนะ”
ถึงกับย่ำยีเจตนาดีของฝ่าบาทชูถึงเพียงนี้เชียวหรือ!
ชิวเยี่ยไป๋เหลือบมองแวบหนึ่ง ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ใช่แล้ว ข้าเป็นคนได้คืบจะเอาศอก ใต้เท้าซวงไป๋จะว่าอย่างไร”
“…” ซวงไป๋หมดคำจะโต้ตอบ
เขาไม่เคยพบคนไม่รู้จักกาลเทศะเช่นชิวเยี่ยไป๋มาก่อน ท่าทางที่เหมือนกับว่า ‘เจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก’ ทำเอาเขาโกรธจนแทบจะลมจับ แต่สุดท้ายยังคงหลุบตาลง กล่าวสีหน้าเย็นชาว่า “เรื่องนี้ข้าน้อยต้องกราบทูลฝ่าบาทชูก่อนจึงจะตอบท่านได้”