จารใจรัก - ตอนที่ 100-1 มิถูกควบคุม
ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ มองหลี่หรูปี้ด้วยใบหน้าซีดขาว
“ท่านแม่ ลูกมิออกเรือนไปไกล” หลี่หรูปี้เอ่ยย้ำอย่างแน่วแน่
“ลูกแม่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าพูดอันใดออกมา ฉินเจิงเป็นคนแบบใด ในเมื่อเจ้าชอบเขามาหลายปีเยี่ยงนี้ ยังไม่กระจ่างอีกหรือ เขาเป็นคนที่เอ่ยปากว่าจะทำสิ่งใดแล้วต้องทำตามนั้น” ฮูหยินเอื้อมมือแตะไหล่ของหลี่หรูปี้ มองหน้านางพร้อมเอ่ยขึ้น
“ข้ารู้” หลี่หรูปี้พยักหน้าด้วยตาแดงก่ำ
“แล้วเจ้ายังดื้อรั้นอีกทำไม พ่อเจ้าก็พูดแล้ว ชีวิตคนยาวนานมาก มีวาสนากับผู้ใดเพราะชะตาลิขิตไว้แล้ว หากไร้วาสนาก็บังคับมามิได้เช่นกัน ไฉนเจ้าถึงต้องทรมานตัวเองด้วย” ฮูหยินเตือนแล้วเตือนอีก “เขาไม่ชอบเจ้า หนีไปให้ไกลได้เท่าไรยิ่งดี เราล่วงเกินมิได้ มีหรือจะหนีพ้น ยิ่งไปกว่านั้น อนาคตเป็นเช่นไรใครจะบอกได้ ตอนนี้ยังไม่ทราบที่อยู่ของฉินเจิงแน่ชัด รัชทายาทประทับที่เมืองหลินอันอย่างปลอดภัย วันข้างหน้าเมื่อ
รัชทายาททรงราชาภิเษก ด้วยความที่ทั้งสองไม่ลงรอยกันมาตั้งแต่เด็ก อนาคตเขาไม่แน่ว่าจะไปได้ดี”
“ถึงอย่างนั้นลูกก็มิออกเรือนไปไกล” หลี่หรูปี้ส่ายหน้า “ท่านแม่ ลูกตัดสินใจแล้ว ท่านอย่าพูดอีกเลย”
“เจ้า…” ฮูหยินมองนาง ถอยก้าวหนึ่งพลางเอ่ยขึ้น “เจ้ามิออกเรือนไปไกลก็ย่อมได้ เช่นนั้นก็หาคู่ครองดีๆ ในเมืองเป็นเช่นไร รัชทายาทรับปากพ่อเจ้าแล้วว่าจะคงตำแหน่งเสนาบดีสามรุ่น ต่อไปจวนเสนาบดีของเรายังต้องเกรงกลัวผู้ใดในราชสำนักอีก เจ้ามิได้ล่วงเกินฉินเจิง ข้าก็อยากเห็นนักว่าเขาจะกล้าทำสิ่งใด”
“อย่างที่ท่านบอก ในเมืองแห่งนี้ยังมีใครกล้าแต่งกับข้าอีก” หลี่หรูปี้เม้มปาก
“จะไม่มีใครเลยได้อย่างไร” ฮูหยินกล่าว “อย่างมากก็ต้องหาผู้ที่เหมาะสมที่สุด การถอนหมั้นแม้เสียเกียรติ แต่จวนเสนาบดีของเราเป็นฝ่ายถอนหมั้นก่อน ปู่เจ้าเป็นเสนาบดี พ่อเจ้าก็เป็นเสนาบดีด้วยเช่นกัน อนาคตพี่ชายเจ้าในอีกสามรุ่นก็ยังเป็นเสนาบดี ในหนานฉินแห่งนี้ ภายภาคหน้าตระกูลเสนาบดีที่แท้จริงมิใช่จวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย แต่เป็นจวนเสนาบดีฝ่ายขวาของเรา ศิษย์ในจวนเสนาบดีฝ่ายขวามีอยู่ทั่วใต้หล้า คนที่มีไมตรีกับพ่อเจ้าในเมืองหลวงก็มีอยู่มาก บิดาเจ้าหากมีเจตนาเชื่อมสัมพันธ์ด้วย ผู้ใดจะไม่ริษยาในความรุ่งเรืองแล้วไม่ยอมตอบตกลง”
“แต่งกับข้าเพื่อความรุ่งเรือง ท่านแม่คิดว่าอนาคตลูกจะยังมีความสุขอีกหรือ” หลี่หรูปี้ถามเสียงต่ำ
“ปี๋เอ๋อร์เอ๋ย ชีวิตของสตรีจะมีความสุขหรือไม่นั้นให้คนอื่นบอกได้อย่างไร จำต้องดิ้นรนด้วยตนเอง สมัยนั้นคนที่บิดาเจ้าชื่นชมมิใช่แม่ แต่แล้วอย่างไรเล่า หลายปีที่ผ่านมาพวกเรามิใช่ว่าเคารพซึ่งกันและกัน ยกถาดเสมอคิ้ว*[1]หรือ นายหญิงแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวาหลังนี้ก็คือข้า มิใช่คนอื่น” ฮูหยินถอนหายใจออกมา
“แต่ท่านพ่อก็ยังมีอนุภรรยาอีกเป็นกอง” หลี่หรูปี้กล่าวอีก
“อนุภรรยาเป็นเพียงของเล่นของบุรุษเท่านั้น ภรรยาที่ถูกต้องของเขาตลอดกาลก็คือข้า บุรุษคนใดจะไร้อนุภรรยาบ้างเล่า พ่อเจ้าไม่เคยสอดมือเรื่องภายในเรือนของจวนเสนาบดี อนุภรรยาอยู่ในกำมือแม่ก็ไม่อาจเชิดคอขึ้นมาได้” ฮูหยินไม่ยี่หระ
“ท่านแม่ ท่านมีความสุขมากหรือไม่ ชีวิตของสตรีปรารถนาเพียงการเคารพซึ่งกันและกันเท่านั้นหรือ หากมิใช่บุรุษที่ตนชื่นชอบ ออกเรือนไปแล้วจะมีความหมายใด” หลี่หรูปี้มองฮูหยิน
“พ่อเจ้าพูดถูก เจ้าเอาแต่มุ่งเข้าหาทางตัน เจ้ายอมรับแค่ฉินเจิงใช่หรือไม่” ฮูหยินตีหน้านิ่ง
หลี่หรูปี้เม้มปาก
“หมั้นหมายกับรัชทายาทเจ้าก็ยังไม่ดีใจ ตอนนี้ถอนหมั้นกับรัชทายาทแล้ว เจ้ากลับมิอยากออกเรือนกับผู้อื่น เจ้าคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ อยากไปเกาะแกะฉินเจิง ให้เขาสังหารเจ้าจริงๆ ใช่หรือไม่” ฮูหยินมองนางด้วยความไม่พอใจ
หลี่หรูปี้ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
ฮูหยินเห็นนางร้องไห้ ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรสาวของตน เฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่เด็กย่อมรักมากเป็นธรรมดา ทันใดนั้นก็เอ่ยด้วยความอาวรณ์ ปรับน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น “เจ้าดูหลูเสวี่ยอิ๋งกับหลูเสวี่ยเหยียนสิ สตรีที่เข้าหาฉินเจิงคนใดมีจุดจบที่ดีบ้าง หรือแม้แต่เซี่ยฟางหวาที่ออกเรือนกับเขา ตอนนี้มิใช่หย่าร้างกันแล้วหรือ แม่คิดว่านั่นเป็นดาวหายนะ ออกห่างได้ไกลเท่าไรก็ยิ่งดี”
หลี่หรูปี้ก้มหน้า ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ
“ถึงแม้เจ้าชอบฉินเจิงแต่เขาก็ไม่ชอบเจ้า ต่อให้ทำทุกวิถีทางเพื่อออกเรือนกับเขา ไหนเลยจะมีสิ่งที่เรียกว่าความสุขอีก มิสู้ทำเอาแม่เป็นเยี่ยงอย่าง พ่อเจ้าแม้ตอนนั้นมิได้ชอบข้า แต่อย่างน้อยก็ให้การเคารพข้า ทว่าเขาเล่า จะเคารพเจ้าหรือไม่” ฮูหยินจนใจ
หลี่หรูปี้ไม่ตอบ หยดน้ำตากลิ้งหล่นจากใบหน้าตกลงสู่อิฐสีดำ
“หากเจ้ามิอยากออกเรือนไปไกล แม่เองก็อาวรณ์เจ้า ไม่บังคับเจ้าก็ย่อมได้ ทั้งในและนอกเมืองหลวงแห่งนี้นอกจากฉินเจิง ขอเพียงเจ้าถูกใจ แม่จะขอให้พ่อเจ้าเตรียมการให้ คุณชายตระกูลใดบ้างจะมิชอบบุตรีที่มีคุณธรรม อ่อนโยน และรูปโฉมงดงาม เจ้ารักษาประเพณี มีอากัปกิริยาเพียบพร้อม อยู่ต่อหน้าผู้ใดมิอาจหาข้อตำหนิหรือข้อเสียได้ ขอเพียงเจ้าตกลง บ้านสามีในอนาคตของเจ้าจะมีพ่อกับพี่ชายเจ้าคอยดูแล ไม่มีผู้ใดกล้ารังแกหยามเกียรติเจ้าแน่นอน” ฮูหยินกล่าวอีก
หลี่หรูปี้ยังคงเงียบ ไม่แม้แต่พยักหน้า
“ทางเลือกดีๆ ตั้งมากมายเจ้าไม่ยอมเดิน หรืออยากเดินเข้าหาความตายจริงๆ เจ้าไม่ละอายใจต่อข้ากับพ่อเจ้าที่เลี้ยงดูมาตลอดหลายปีเลยรึ” ฮูหยินอดร้อนใจขึ้นมามิได้
“ท่านแม่ ลูกมิกตัญญู” หลี่หรูปี้เงยหน้าขึ้น “ข้าเข้าใจเหตุผลดี แต่ว่า…”
“แต่ว่าอันใด” ฮูหยินจ้องนาง หว่างคิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความโกรธ
หลี่หรูปี้เม้มปากแล้วก้มหน้าลงอีกครั้ง ผ่านไปเนิ่นนานถึงกล่าวเสียงต่ำ “ท่านแม่ ท่านอย่ากดดันข้าเลย ขอเวลาข้าคิดหน่อย”
ฮูหยินเองก็จนใจแล้วเช่นกัน นางโบกมือปัดอย่างหมดเรี่ยวแรง “หลายปีที่ผ่านมาเจ้าเกิดมาในจวนเสนาบดี มีฐานะสูงศักดิ์ กล่าวกันว่าบุตรีมักได้รับการตามใจเกินไป ข้าเองก็ให้ท้ายเจ้ามากเกินควรเช่นกันถึงทำให้เจ้าโตมามีนิสัยเช่นนี้ รู้จักแต่ความรักของชายหญิง ไม่รู้ว่าโลกภายนอกไม่ง่าย ช่างเถอะ เจ้าทบทวนเองก็แล้วกัน แม่คลอดและเลี้ยงดูเจ้ามา อบรมสั่งสอนอย่างที่คนเป็นแม่ควรจะทำไปอย่างเต็มที่แล้ว แต่หากเจ้ายังดื้อรั้นแก้ไม่หาย ยินยอมเข้าหาทางตันเอง อนาคตมานึกเสียใจทีหลัง ถึงตอนนั้นก็โทษใครมิได้เช่นกัน”
พูดจบ ฮูหยินก็หันหลังเดินออกไป
หลี่หรูปี้ยืนนิ่งตรงที่เดิม เงยหน้าขึ้นเชื่องช้าพลางมองไปยังฮูหยิน พบว่าแผ่นหลังของผู้เป็นมารดาเริ่มแก่ตัวลงแล้ว นางละสายตากลับมาแล้วเลือกที่จะหลับตาลง
เสนาบดีฝ่ายขวาหารือราชการกับกุนซือในห้องหนังสือจบลงก็ออกมาถามพ่อบ้านข้างหน้าห้อง “ฮูหยินกับคุณหนูเล่า”
“เรียนนายท่านเสนาบดี ฮูหยินกับคุณหนูคล้ายทะเลาะกัน ฮูหยินกลับไปเรือนหลักแล้ว ส่วนคุณหนูร้องไห้แล้วกลับไปที่เรือนของตนเองแล้วขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยตอบอย่างระวัง
เสนาบดีฝ่ายขวาได้ยินเช่นนั้นก็ย่นหัวคิ้ว ก่อนเดินไปยังเรือนหลัก
เมื่อกลับมาที่เรือนหลัก พบฮูหยินแล้วซักถามสาเหตุจนกระจ่าง เสนาบดีฝ่ายขวาก็ขมวดคิ้วเป็นปม
“นายท่าน ท่านบอกว่าปี้เอ๋อร์เอาแต่มุ่งเข้าหาทางตัน นี่จะทำเช่นไรดีเล่า เราจะปล่อยให้ฉินเจิงสังหารนางจริงๆ มิได้” น้อยครั้งที่ฮูหยินจะร้องไห้ต่อหน้าเสนาบดีฝ่ายขวา พูดพลางก็ร้องไห้
“สิ่งที่เจ้าพูดในวันนี้ก็หนักหนาไม่เบา ให้นางทบทวนตัวเองก่อนเถอะ หากเข้าใจแล้วก็ดียิ่ง แต่หากไม่เข้าใจ…” เสนาบดีฝ่ายขวาถอนหายใจ
“ไม่เข้าใจจะทำเช่นไรเล่านายท่าน” ฮูหยินจับแขนเสื้อเสนาบดีฝ่ายขวา “นางเป็นบุตรีหัวแก้วหัวแหวนของเรา เมื่อก่อนข้าคิดว่าการมีบุตรีเช่นนี้ช่างน่าสบายใจนัก แต่ไหนแต่ไรข้ามิต้องกังวลใจเลย เทียบกับ
หลูเสวี่ยอิ๋งและเยี่ยนหลันแล้วเข้มแข็งกว่ามาก ทว่าตอนนี้น่าเป็นห่วงเหลือเกิน”
“หากไม่เข้าใจ รอชิงเอ๋อร์กลับมาก่อน ให้ชิงเอ๋อร์คิดหาวิธีโน้มน้าวใจนาง ถึงอย่างไรนางก็สนิทกับชิงเอ๋อร์ผู้เป็นพี่ชายตลอดมา” เสนาบดีฝ่ายขวาลูบหลังมือฮูหยิน “อย่าร้องไห้เลย”
ฮูหยินพยักหน้า กล่าวด้วยความกังวล “ข้ามิทราบว่าเคยก่อกรรมอันใดไว้ ลูกชายชอบเซี่ยฟางหวา ลูกสาวชอบฉินเจิง คนหนึ่งตามเซี่ยฟางหวาออกจากเมืองไป อีกคนหนึ่งชอบฉินเจิงจนแม้แต่จะถูกสังหารยังมิเกรงกลัว ยามนี้ไม่รู้ว่าชิงเอ๋อร์อยู่ที่ใด ออกไปหลายวันแล้วยังไม่ส่งจดหมายกลับมาเลยสักฉบับ”
“วันนี้ส่งคนมาถ่ายทอดข้อความแล้ว บอกว่าทุกอย่างราบรื่นดี ขอให้เราไม่ต้องเป็นห่วง คาดว่าอีกหลายวันถึงจะกลับมา” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว “เพียงแต่มาบอกพร้อมกับจดหมายของรัชทายาท ข้าเลยลืมบอกเจ้า”
“แค่ประโยคเดียว ไม่มีสิ่งอื่นแล้วหรือ” ฮูหยินรีบถาม
“คนถ่ายทอดข้อความพูดจาคลุมเครือ เพียงบอกว่าปลอดภัยดี มิได้บอกเรื่องอื่นแล้ว ผนวกกับตอนนั้นรัชทายาทส่งจดหมายมาพอดี ข้าจึงมิทันได้ซักถามละเอียด” เสนาบดีฝ่ายขวาส่ายหน้า
“ขอแค่ปลอดภัย ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ฮูหยินโล่งใจ “ชิงเอ๋อร์เทียบกับปี้เอ๋อร์แล้วยังน่าสบายใจกว่า ถึงอย่างไรก็เป็นบุรุษ ใจเปิดกว้าง อยู่ข้างนอกมานาน พบเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ในโลกมากมาย เข้มแข็งกว่าปี้เอ๋อร์ที่อยู่แต่ในจวนนัก เขาชอบเซี่ยฟางหวาแต่ก็ไม่เคยเรียกร้อง สิ่งนี้ทำให้ข้าเบาใจลงไม่น้อย”
“คุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหวไม่ธรรมดาจริงๆ” เสนาบดีฝ่ายขวาทอดถอนใจ
“เซี่ยฟางหวาคนนี้ป่วยติดเตียงมาหลายปี ทุกคนแทบจะลืมการมีอยู่ของนางไปแล้ว ทว่านี่เพิ่งผ่านมาเท่าไรเอง ใต้หล้ายังมีผู้ใดไม่รู้จักคุณหนูฟางหวาแห่งจวนจงหย่งโหวของตระกูลเซี่ยอีกบ้าง” ฮูหยินกล่าว “มิทราบว่าเหตุใดช่วงนี้ถึงโอ้อวดถึงเพียงนี้ สตรีที่โอ้อวดมากเกินไปไหนเลยจะเป็นเรื่องดี คนเป็นสตรีควรช่วยสามีเลี้ยงบุตรอย่างสงบสิจึงจะดี”
“ตระกูลเซี่ยมีรากฐานยิ่งใหญ่ ภายในมีการพลิกแพลงสถานการณ์ หลายปีที่ผ่านมาฝ่าบาทล้วนทรงเดามิถูกอ่านมิออก เซี่ยฟางหวาน่าจะมิใช่คนป่วยที่โรคภัยรุมเร้าหลายปี การเห็นโลกและความสามารถของนางห่างจากหอนอนยิ่งนัก เพียงแต่จวนจงหย่งโหวอ้างอาการป่วยมาปิดบังสายตาผู้คน ทำให้ทุกคนมองข้ามสตรีในหอนอนผู้นี้ตลอดมาเท่านั้น โอ้อวดนั้นแค่เล็กน้อย แต่ดีหรือร้ายไหนเลยจะแยกแยะได้ชัดเจน” เสนาบดีฝ่ายขวาได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้า
“ข้าคิดว่าไม่มีข้อดี มีแต่ข้อเสียมากกว่า ยั่วยวนฉินเจิงกับรัชทายาท ยังยั่วยวนชิงเอ๋อร์ของเรา เยี่ยนถิงแห่งจวนหย่งคังโหวเองก็หนีออกจากจวนเพราะนางเช่นกัน เป็นตัวก่อหายนะ โฉมสะคราญเป็นบ่อเกิดแห่งหายนะโดยแท้” ฮูหยินกล่าว
“นั่นเป็นสิ่งที่ฮูหยินเห็น” เสนาบดีฝ่ายขวาโบกมือปัด
“ไฉนนายท่านเสนาบดีถึงชื่นชมเซี่ยฟางหวาเช่นนี้ นางเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง โผล่หน้าไปหาสมุนไพรดำม่วงอันใดนั่น มิใช่เพื่อชื่อเสียงหรือ โอ้อวดเช่นนี้ไหนเลยเป็นเรื่องดี” ฮูหยินมองเสนาบดีฝ่ายขวาด้วยความไม่พอใจ
“กล่าวเช่นนี้ไม่ดีเลย” เสนาบดีฝ่ายขวาถอนหายใจ “ตลอดเวลาที่ผ่านมาตระกูลเซี่ยกับราชสำนักมีความสัมพันธ์ดั่งชั้นน้ำแข็งบาง ตระกูลเซี่ยถอยแล้วถอยอีก ราชสำนักเอาแต่กดดันทุกย่างก้าว แม้แต่เรา
ขุนนางในราชสำนักมองดูด้านข้างยังคิดว่า ช้าเร็วตระกูลเซี่ยต้องถูกราชสำนักกลืนกินในวันหนึ่งเป็นแน่ เสือหมอบข้างเตียงมีหรือจะทำให้พระองค์บรรทมอย่างสงบ ทว่าตั้งแต่เซี่ยฟางหวาโผล่หน้าออกมา หลังนางกับฉินเจิงสมรสกัน สถานการณ์ตระกูลเซี่ยกับราชสำนักกลับมีสมดุล กลับกลายเป็นว่าราชสำนักอยู่ใต้ลม ตระกูลเซี่ยอยู่ต้นลม ตอนนี้เล่า หนานฉินปั่นป่วนภายนอกถูกรุกราน ราชสำนักจำต้องพึ่งพาตระกูลเซี่ย”
“สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคุณงามความดีของเซี่ยฟางหวาอย่างนั้นหรือ ข้ามิเชื่อหรอก นางไหนเลยจะมีความสามารถมากขนาดนั้น” ฮูหยินส่ายหน้า
เสนาบดีฝ่ายขวามองนางอย่างจนใจ “คุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหวท่านนี้มิใช่สตรีธรรมดา หลายวันนี้ข้าลองไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว เหตุการณ์มากมายล้วนเกี่ยวข้องกับนาง” หยุดชั่วครู่ก่อนกล่าวอย่างใจจริง
“ฮูหยิน หลายปีที่ผ่านมาข้าเคารพเจ้า เรื่องภายในเรือนล้วนให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินใจ ทว่าไม่เคยคุยเรื่องสถานการณ์ภายนอกกับเจ้ามากนัก ทำให้เจ้าค่อยๆ มีสายตาคับแคบ การอบรมสั่งสอนปี้เอ๋อร์นั้นก็เป็นความรับผิดชอบของเจ้าเช่นกัน”
“นายท่าน ข้ามิเคยคิดว่าปี้เอ๋อร์จะมีนิสัยมุ่งเข้าหาทางตันเช่นนี้ได้อย่างไร เมื่อก่อนท่านมิใช่เคยชม
ปี้เอ๋อร์ว่ารอบรู้มีเหตุผล อากัปกิริยาเพียบพร้อมหรือ” ฮูหยินได้ยินเช่นนั้นก็น้อยใจ
“ย่อมโทษเจ้ามิได้ ต้องโทษข้าที่เอาแต่สั่งสอนชิงเอ๋อร์ กลับลืมไปว่าสตรีก็มิควรรู้จักโลกภายนอกน้อยเกินไปเช่นกัน” เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้า
“ข้าคิดว่าต้องโทษเซี่ยฟางหวาคนนั้นมากกว่า ตอนที่ยังไม่มีนางออกมาปลุกปั่นเรื่องประโลมโลกในเมืองหลวง ทุกสิ่งยังเรียบร้อยดี ไม่แน่ว่าฉินเจิงอาจชอบปี้เอ๋อร์และแต่งกับนางก็เป็นได้” ฮูหยินกล่าว
“ไฉนถึงโทษนางเล่า” เสนาบดีฝ่ายขวาถลึงตามองฮูหยิน “ฉินเจิงไม่เคยชอบปี้เอ๋อร์ เรื่องนี้ข้าทราบดี” พูดจบเขาก็โบกมือปัด “ช่างเถอะ พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ รอดูไปก่อนเถิด ตอนนี้รัชทายาทถอนหมั้นแล้ว
ฝ่าบาทเองก็ทรงยินยอมแล้ว บางทีอาจมีเรื่องที่เหนือความคาดหมายยิ่งกว่านี้อีก”
ฮูหยินพยักหน้าแล้วเงียบเสียงลง
[1] *ยกถาดเสมอคิ้ว อุปมาว่าสามีภรรยารักใคร่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน มีที่มาจากเมิ่งกวง สตรีรูปร่างอ้วนท้วม มีผิวคล้ำ นางได้ให้ปฏิญาณว่าจะไม่ออกเรือนกับผู้ใด เว้นเสียแต่ เหลียงหง ชายหนุ่มรูปงามซึ่งเป็นที่หมายปองของสตรีทุกคนในเมือง สุดท้ายแล้วเหลียงหงก็เห็นความดีในตัวเมิ่งกวง ทั้งคู่จึงได้แต่งงานกัน ตลอดชีวิตแต่งงานมักเคารพซึ่งกันและกัน เมิ่งกวงจะยกถาดน้ำชาเสมอคิ้วมาให้สามีด้วยความถ่อมตนทุกวัน จึงเกิดเป็นสำนวนนี้