จารใจรัก - ตอนที่ 100-2 มิถูกควบคุม
วันเดียวกันนั้น ฮ่องเต้มิทรงอนุญาตให้แก้ไขระบบทหาร กลับออกพระราชโองการให้รัศมีหนึ่งร้อยลี้รอบม่อเป่ยรอฟังคำสั่งโยกย้ายทหารในกองทัพม่อเป่ย พร้อมทั้งทรงรับสั่งให้คนขี่ม้าเร็วออกจากเมืองนำพระราชโองการไปเผยแพร่
นอกเหนือจากนี้ จวนเสนาบดีฝ่ายขวาถอนหมั้น พระราชโองการที่อนุญาตให้รัชทายาทกับคุณหนูจวนเสนาบดีฝ่ายขวาต่างมีคู่ครองใหม่ได้ก็เผยแพร่ออกไป
ทันทีที่พระชายาอิงชินอ๋องทราบข่าวก็ตกใจอย่างยิ่ง ผุดลุกขึ้นยืนทันที “ฝ่าบาททรงทำสิ่งใด หรือจะเป็นอย่างที่เราคาดเดาไว้เช่นนั้นจริงๆ รัชทายาทจะแต่งกับหวาเอ๋อร์”
“เจ้าอย่าเพิ่งลนลาน ฟังว่าเสนาบดีฝ่ายขวาเข้าวังไปขอพระประสงค์เอง ฝ่าบาทจึงทรงอนุญาต”
อิงชินอ๋องกล่าว
“ข้าจะไม่ลนลานได้อย่างไร ตอนนี้ยามใดแล้ว เสนาบดีฝ่ายขวามีฐานะเป็นนายท่านเสนาบดี ตอนนี้รัชทายาทมิอยู่ในราชสำนัก เขากับเสนาบดีฝ่ายซ้ายต้องช่วยองค์ชายแปดดูแลราชสำนัก มิหนำซ้ำเป่ยฉียังมีการระดมกำลังอีก เขาจะนำเรื่องส่วนตัวไปกวนพระทัยฝ่าบาทในเวลาแบบนี้ได้อย่างไรกัน ต้องมีเรื่องใดเป็นแน่เขาถึงรีบเข้าวังไปขนาดนั้น ฝ่าบาททรงไม่มีทางเลือกจึงอนุญาต” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวด้วยโทสะ
“เจ้าพูดแบบนี้ก็มีเหตุผลเช่นกัน เสนาบดีฝ่ายขวาปลิ้นปล้อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร วันนี้ที่อุทยานหลวง เหล่าขุนนางต่างเห็นด้วยกับคำขอของรัชทายาท ฝ่าบาททรงกริ้ว เขามักจะคำนึงถึงความปรองดองระหว่าง
ฝ่าบาทกับขุนนาง มิยอมเข้าเฝ้าตอนที่ฝ่าบาทกำลังทรงกริ้วอยู่ง่ายๆ วันนี้ผิดปกติไปจริงๆ” อิงชินอ๋องกล่าว
“ผิดปกติย่อมมีเบื้องหลังแน่” พระชายาอิงชินอ๋องเดินไปเดินมาหลายรอบ “มิได้การ ข้าจะเข้าวัง”
“ไหนบอกว่าจะไม่กังวล ไฉนเจ้าถึงยังกังวลอีก” อิงชินอ๋องคว้าแขนนาง
“ข้าจะไม่กังวลได้หรือ หากเป็นจริงดังที่เราเดากัน เจิงเอ๋อร์จะทำเช่นไร” พระชายาอิงชินอ๋องร้อนใจ
“เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ควรทำเช่นไรย่อมรู้แจ้งดี” อิงชินอ๋องโน้มน้าว
“ถึงอย่างนั้นก็มิได้ หากไม่ถามให้ชัดเจน ข้าคงกินมิได้นอนมิหลับ” พระชายาอิงชินอ๋องส่ายหน้าก่อนจะเดินออกไปข้างนอก
“เจ้าอย่าเพิ่งลนลาน เช่นนี้แล้วกัน ฟ้ายังสว่างอยู่ ข้าจะนัดเสนาบดีฝ่ายขวาออกมาถาม” อิงชินอ๋องจับแขนนางไว้มิยอมปล่อย เอ่ยห้ามขึ้น
พระชายาได้ยินเช่นนั้นก็มองอิงชินอ๋อง
“วางใจเถอะ ข้าต้องถามจนกระจ่างแน่” อิงชินอ๋องรับปาก
หากไม่เร่งด่วนจริงพระชายาอิงชินอ๋องก็มิอยากเข้าวังหลวงเช่นกัน จึงได้แต่พยักหน้าแล้วเอ่ยเร่ง “เช่นนั้นท่านรีบไปเชิญเสนาบดีฝ่ายขวาเถิด รีบถามเขา ต้องถามสาเหตุให้กระจ่าง แล้วรีบกลับมาบอกข้า”
อิงชินอ๋องผงกศีรษะ ออกจากเรือนหลักแล้วให้คนไปเชิญเสนาบดีฝ่ายขวาออกมาดื่มน้ำชาที่โรงน้ำชา
เสนาบดีฝ่ายขวาได้ยินว่าอิงชินอ๋องเชิญออกไปดื่มน้ำชา ด้วยความฉลาดของเขาจึงเดาออกได้ทันทีว่าอิงชินอ๋องอยากพบตนด้วยเรื่องใด เขาเอ่ยบอกพ่อบ้าน “ตอบกลับว่าข้าจะรีบไป”
พ่อบ้านรีบออกไปทันที
เสนาบดีฝ่ายขวาเปลี่ยนมาสวมชุดลำลองก่อนออกมาจากจวน
ทั้งสองนัดพบกันที่โรงน้ำชา อิงชินอ๋องถามเข้าประเด็นทันที เสนาบดีฝ่ายขวาเองก็มิได้ปิดบัง เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังคร่าวๆ ด้วยเสียงทุ้มต่ำ
หลังอิงชินอ๋องฟังจบก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออกเป็นนาน
เขาเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเพื่อแต่งกับเซี่ยฟางหวา ฉินอวี้แม้แต่ตำแหน่งรัชทายาทก็มิอยากเป็นแล้ว นำเรื่องนี้มาขู่ฝ่าบาทในตอนนี้ ฝ่าบาทมีหรือจะไม่ยอมตกลง หนานฉินมิอาจไร้รัชทายาทได้
และสิ่งที่ทำให้เขาตกใจก็คือความจริงใจที่ฉินอวี้มีต่อจวนเสนาบดีฝ่ายขวา เบื้องหลังการคงตำแหน่งเสนาบดีสามรุ่น บางทีเซี่ยฟางหวาอาจตอบตกลงแล้ว
เขาไม่เข้าใจอย่างยิ่งว่าเหตุใดเซี่ยฟางหวาถึงตอบตกลงกับฉินอวี้ เหมือนกับที่เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใด
เซี่ยฟางหวาถึงนำชีพจรเศรษฐกิจในหนานฉินมาขู่ฝ่าบาทให้ทรงออกพระราชโองการหย่าร้าง ทั้งยังป่าวประกาศต่อใต้หล้าโดยไม่คำนึงถึงชื่อเสียงในฐานะบุตรีของตระกูลของตนเองแม้แต่น้อย
เสนาบดีฝ่ายขวาเห็นท่าทางตกใจของอิงชินอ๋องก็รู้สึกสบายใจขึ้น ตอนที่เขาได้ยินครั้งแรกก็ตกใจเช่นนี้เหมือนกัน ต้องเผชิญกับแรงกดดันของฝ่าบาทในวังหลวง เหงื่ออาบแผ่นหลังขณะถวายจดหมายสองฉบับให้พระองค์ เห็นอิงชินอ๋องยังตกตะลึงเช่นนี้ในยามนี้จึงคิดปลงแล้ว
ใจเขากระจ่างแจ้งดี เทียบกับจวนเสนาบดีฝ่ายขวาแล้ว ยามนี้จวนอิงชินอ๋องยิ่งตกที่นั่งลำบาก
“เป็นเช่นนี้จริงหรือ” หลังอิงชินอ๋องเรียกสติกลับมาก็ถามเสนาบดีฝ่ายขวาย้ำ
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ มิกล้าโกหกท่านอ๋องหรอก” เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้ายืนยัน
อิงชินอ๋องได้รับคำยืนยันจากเสนาบดีฝ่ายขวาก็ทราบดีว่าเรื่องนี้เป็นความจริง เขาย่อมนั่งในโรงน้ำชาไม่ติด รีบอำลาเสนาบดีฝ่ายขวาแล้วออกมาจากโรงน้ำชา ก่อนรีบย้อนกลับไปที่จวน
พระชายาอิงชินอ๋องกำลังรอฟังข่าวอยู่ในจวนด้วยความร้อนใจ เห็นอิงชินอ๋องกลับมาก็รีบเข้ามาหา “เป็นเช่นไรบ้าง เกิดอันใดขึ้นกันแน่”
“เกรงว่าจะเป็นจริงดังที่เจ้าเดาไว้” อิงชินอ๋องปิดประตูห้อง ถอนหายใจออกมา กล่าวด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจ
“หมายความว่าอย่างไร” พระชายาอิงชินอ๋องมีสีหน้าเปลี่ยนไป
อิงชินอ๋องเล่าสิ่งที่เสนาบดีฝ่ายขวาบอกกับตนให้ฟังคร่าวๆ รอบหนึ่ง
พระชายาอิงชินอ๋องตกใจจนเบิกตากว้าง เวลานั้นนางไม่อยากเชื่อ ทว่าด้วยความชื่นชอบที่รัชทายาทมีต่อเซี่ยฟางหวาแล้ว เรื่องกลายเป็นเช่นนี้นับว่ายังอยู่ในการคาดเดา เพียงแต่สิ่งที่นางไม่คาดคิดก็คือเจตนาเบื้องหลัง เซี่ยฟางหวาตอบตกลงได้อย่างไรกัน
ไฉนนางถึงตอบตกลง
หากกล่าวว่าผู้ที่เข้าใจสตรีที่สุดคือสตรีด้วยกันเอง นางวิเคราะห์ในมุมมองของสตรีด้วยกัน เซี่ยฟางหวาชอบฉินเจิงลูกชายของตนจริงๆ สตรีหากมิชอบบุรุษผู้หนึ่งแล้วย่อมไม่ยอมแบกรับความไม่เป็นธรรมเพื่อออกเรือนกับเขา ไม่ยอมเย็บปักเสื้อผ้าให้เขา ไม่ยอมละทิ้งชีวิตอันสุขสบายเพื่อเขา และยิ่งไม่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความรักเมื่อมองหน้าเขาเป็นแน่
ทว่าเมื่อชอบถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงนึกจะทอดทิ้งก็ทอดทิ้ง นึกจะจากไปก็จากไป บอกจะออกเรือนกับฉินอวี้ก็ออกเรือนกับฉินอวี้จริงๆ เล่า
นางหาคำตอบมิได้เช่นเดียวกัน
พระชายาตกตะลึงพักหนึ่ง ก่อนคว้าแขนอิงชินอ๋อง “ตอนนี้จะทำเช่นไรดี หรือว่าเจ้ายังไม่ยอมให้ข้าไปเมืองหลินอันอีก ข้าจะต้องไปพบหวาเอ๋อร์ ขอเพียงพบนาง ข้าถึงจะเข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่”
“รออีกหน่อยเถิด” อิงชินอ๋องครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น
“ยังรออันใดอีก หากรอต่อไปรัชทายาทคงแต่งกับหวาเอ๋อร์จริงๆ แล้ว เขากล้าทำให้จวนเสนาบดีฝ่ายขวาถอนหมั้นในยามนี้ รับปากคงตำแหน่งเสนาบดีในสามรุ่น กล้าส่งจดหมายลับขู่ฝ่าบาทให้ทรงยินยอมกับการถอนหมั้น แล้วยังมีสิ่งใดที่ไม่กล้าทำอีก” พระชายาอิงชินอ๋องร้อนใจ “มิได้การ ครั้งนี้ท่านพูดสิ่งใดข้าก็ไม่ฟังแล้ว ข้าจะไปเมืองหลินอัน ถึงท่านจะห้ามข้าก็ห้ามมิได้”
พระชายาอิงชินอ๋องพูดพลางก็จะไปเก็บเสื้อผ้า
“เป็นมารดาเหมือนกันแท้ๆ แต่เจ้าดูฮองเฮาสิ ยังประทับในวังหลวงอย่างสงบนิ่ง ลูกโตแล้วย่อมต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง จะต้องสยายปีกบินสูงออกไป คนเป็นพ่อแม่ควบคุมได้เวลาหนึ่งก็จริง แต่มีหรือจะควบคุมไปได้ตลอดชาติ จื่อจิง เจ้าฟังข้านะ อย่าสนใจอีกเลย หากรัชทายาทแต่งกับหวาเอ๋อร์จริงก็ปล่อยให้เขาแต่งไป หากเจิงเอ๋อร์ของเราไม่อยากให้เขาแต่งย่อมมีวิธีการอยู่แล้ว แม้แต่ฝ่าบาทยังทรงห้ามมิได้ พวกเราเองก็อย่าก้าวก่ายอีกเลย ถึงอย่างไรบ้านเมืองหนานฉินในอนาคตล้วนเป็นพวกเขารุ่นนี้ที่ต้องลำบากดิ้นรนกันเอง” อิงชินอ๋องรั้งแขนนาง
พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็คลายสีหน้าร้อนใจ หย่อนกายนั่งลงเชื่องช้า เงียบไปพักใหญ่ก่อนถอนหายใจออกมา “ท่านอ๋องพูดถูกแล้ว ควบคุมได้เวลาหนึ่ง มีหรือจะควบคุมไปได้ตลอดชาติ ไม่สนก็ไม่สน แต่งก็แต่ง ออกเรือนก็ออกเรือนเถอะ หากเป็นวาสนาย่อมแยกจากกันมิได้ แต่หากมิใช่วาสนา ถึงบีบบังคับมาก็เปล่าประโยชน์”
“มิผิด เป็นเช่นนี้” อิงชินอ๋องผงกศีรษะ ลูบหลังมือนางเป็นการปลอบใจ
เสนาบดีฝ่ายขวาเดิมคิดว่าเมื่อทราบเรื่องนี้ ต่อให้อิงชินอ๋องมิเข้าไปวังไปพบฝ่าบาท พระชายาก็ต้องเข้าวังหลวงเป็นแน่ แต่ถึงแม้มิเข้าวังหลวง จวนอิงชินอ๋องก็ต้องมีการเคลื่อนไหว ทว่าหลังเขากลับมาถึงจวน รออยู่ครึ่งวัน กระทั่งถึงพลบค่ำ จวนอิงชินอ๋องก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดเลย
เขาแปลกใจยิ่งนัก หรือว่าจวนอิงชินอ๋องก็ไม่สนใจแล้วเช่นกัน
เขามิเข้าใจอย่างยิ่ง ต้องไตร่ตรองถี่ถ้วนเป็นนานกว่าจะเข้าใจ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มิใช่สิ่งที่คนอื่นจะยื่นมือเข้าแทรกได้เลย ฝ่าบาททรงควบคุมมิได้ ฮองเฮาทรงควบคุมมิได้ อิงชินอ๋องควบคุมมิได้ พระชายาก็ควบคุมมิได้เช่นกัน
ไม่ว่ารัชทายาทสู่ขอ เซี่ยฟางหวาออกเรือน หรือเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นอีก ล้วนมิใช่สิ่งที่พวกเขาเหล่านี้สามารถควบคุมได้แล้วเช่นกัน
เว้นเสียแต่ฉินเจิง
ฉินเจิงกับฉินอวี้ต่อสู้กันมาตั้งแต่เด็กมิยอมเลิกรา ผู้ที่ก้าวก่ายเรื่องนี้ได้ย่อมมีแต่เขาแล้ว ต้องดูว่าเขาจะทำเช่นไร จะขัดขวางหรือไม่ขัดขวาง แล้วจะขัดขวางได้หรือว่าขัดขวางมิได้ เขากับรัชทายาท ในเมื่อเป็นเรื่องของตนเอง ท้ายสุดแล้วก็ต้องจัดการกันเอง
หลังเสนาบดีฝ่ายขวาเข้าใจแล้วก็คิดว่าการมีชีวิตอยู่มาครึ่งชีวิตนั้นช่างเปล่าประโยชน์ สมัยพวกเขายังอยู่ในวัยเยาว์นั้นมิได้ลำบากดิ้นรนเหมือนอนุชนรุ่นนี้ ชีวิตส่วนใหญ่ล้วนขึ้นอยู่กับบิดามารดาและวาจาของแม่สื่อ หากตอนที่เขาสนใจชุยอวี้หวั่นจากตระกูลชุยแห่งปั๋วหลิงแล้วไม่รอให้ผู้ใหญ่ในจวนเสนาบดีไปสู่ขอ แต่ตัดสินใจด้วยตัวเอง บางทีชุยอวี้หวั่นอาจมิได้ออกเรือนกับเซี่ยอิง
เขาคิดแล้วก็หลุดยิ้มออกมา คนจากไปหลายปีแล้วยังปล่อยวางมิได้อันใดอีกเล่า