จารใจรัก - ตอนที่ 102-1 ร่องรอยของเยี่ยนถิง
หลังฉินอวี้กลับออกไป ซื่อฮว่าก็เดินเข้ามาหา ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดสองวันนี้ระหว่างที่นางหมดสติไปให้ฟังโดยละเอียด
เซี่ยฟางหวารับฟังเงียบๆ
เพราะเป่ยฉีระดมกำลัง ทำให้เซี่ยม่อหานออกเดินทางไปม่อเป่ยกลางดึก ฮ่องเต้ทรงออกพระราชโองการให้รัศมีหนึ่งร้อยลี้ภายในม่อเป่ยรอฟังคำสั่งโยกย้ายจากทัพม่อเป่ย พร้อมทั้งทรงรับสั่งให้คนขี่ม้าเร็วเร่งสุดฝีเท้านำพระราชโองการไปเผยแพร่ที่ม่อเป่ยแล้ว ขณะเดียวกันเสนาบดีฝ่ายขวาก็เข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อขอถอนหมั้นระหว่างหลี่หรูปี้กับฉินอวี้ด้วยตัวเอง และฮ่องเต้ก็ทรงอนุญาต
เมื่อเล่าถึงเรื่องสุดท้าย เซี่ยฟางหวาก็เลิกคิ้วขึ้น
“คุณหนู ตั้งแต่ท่านนำสมุนไพรดำม่วงกลับมาและบาดเจ็บสาหัส รัชทายาทก็มิได้ปิดบังคุณูปการของท่านเลยแม้แต่น้อย กลับป่าวประกาศออกไป ยามนี้ประชาชนในเมืองหลินอันล้วนเห็นท่านเป็นนางฟ้านางสวรรค์ที่ลงมาช่วยปลดทุกข์ก็มิปาน บางคนถึงกับบูชาภาพวาดเหมือนของท่าน” ซื่อฮว่ามองเซี่ยฟางหวาพร้อมถามเสียงต่ำ
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” เซี่ยฟางหวาขมวดคิ้ว
ซื่อฮว่าพยักหน้า
“มิใช่เพียงเท่านี้ เพราะท่านกับรัชทายาทช่วยกันแก้ไขวิกฤตการณ์ในเมืองหลินอัน ภายนอกเริ่มมีคนยกย่องสรรเสริญ กล่าวกันว่ารัชทายาทมีพรสวรรค์โดดเด่น ท่านมีรูปลักษณ์งดงามเพียบพร้อมด้วยความสามารถ หากรัชทายาททรงอภิเษกสมรสกับท่าน ก็นับว่าเป็นคู่ที่เหมือนกับสวรรค์สรรสร้างขึ้น จะต้องสร้างความสุขแก่ราษฎรในหนานฉินได้แน่นอน ภายภาคหน้าราษฎรก็จะมีแต่วันเวลาดีๆ” ซื่อฮว่ากล่าวเสียงเบา
เซี่ยฟางหวาพลันหัวเราะขึ้นมา
ซื่อฮว่าเงียบเสียงลงทันที มองนางด้วยความระวัง
เซี่ยฟางหวาเพียงหัวเราะครู่หนึ่งเท่านั้น ใบหน้านอกจากเปื้อนยิ้มก็ไม่เห็นอารมณ์และความรู้สึกอื่นแล้ว นางยกมือสั่งสาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าเตียง “ไปบอกเหยียนเฉินว่าข้าฟื้นแล้ว ไปตามหาพี่อวิ๋นจี้ด้วย ดูว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด ให้เขากลับมา”
“เจ้าค่ะ” ซื่อหลานกับซื่อหว่านรีบหันหลังออกไปทำตามคำสั่ง
“บ่าวสองคนปรนนิบัติท่านล้างหน้าหวีผมดีกว่า” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก้าวขึ้นมาประคองเซี่ยฟางหวาลงจากเตียง
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ทันทีที่ปลายเท้าสัมผัสพื้น เซี่ยฟางหวาก็ทราบดีว่าร่างกายตนเองนั้นใช้งานหนักจนเกินขีดจำกัด รู้สึกอ่อนล้าอย่างหนัก เท้าเหยียบลงบนพื้นอยู่แท้ๆ แต่เหมือนกับเหยียบบนปุยฝ้ายก็มิปาน ทั้งกายหากไม่มีคนคอยประคอง เกรงว่าคงขาแข้งอ่อนแรงจนล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว
“คุณหนู ท่านรู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ มิอย่างนั้นท่านกลับไปพักบนเตียงดีกว่า บ่าวสองคนจะไปยกน้ำสะอาดมาให้ แล้วล้างหน้าหวีผมให้ท่านหน้าเตียงแทน” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเองก็สังเกตได้เช่นกัน รีบถามด้วยความเคร่งเครียด
“ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น ประคองข้าไปก็พอแล้ว” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อประคองนางมายังข้างอ่างใส่น้ำสะอาด คนหนึ่งคอยประคองนาง คนหนึ่งล้างทำความสะอาดใบหน้าให้นาง หลังจากนั้นก็ประคองนางไปนั่งหน้ากระจกทรงกลีบกระจับเพื่อหวีผม
เมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว เหยียนเฉินก็เข้ามาในเรือนด้วยความรีบร้อน ชั่วพริบตาก็มาถึงหน้าประตูแล้วเข้ามาในห้อง
“มาไวถึงเพียงนี้เชียว” เซี่ยฟางหวาหันกลับไปส่งยิ้มบางให้เหยียนเฉิน
เหยียนเฉินเดินเข้ามาหาก่อนคว้ามือนางมาตรวจชีพจร
ผ่านไปพักหนึ่งเหยียนเฉินก็ถอนหายใจอกมา “ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วแต่เจ้าก็ไม่ฟัง วันนั้นกลไกถูกติดตั้งไว้พร้อมแล้ว เจ้าแค่ใช้การกลไกจำนวนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้ทั้งหมดก็ได้ กลับใช้วิชาภูตผีหลายครั้งจนตกอยู่ในสภาพนี้ ครั้งนี้ใช้มากเกินเหตุ เลือดเลี้ยงหัวใจแทบจะถูกสูบจนเกลี้ยง ภายในครึ่งปีห้ามใช้วิชาภูตผีอีก ภายในหนึ่งเดือนห้ามจับกระบี่หรือใช้พลังภายใน ครึ่งนี้ปีข้าจะคอยจับตามองเจ้าไม่ให้คลาดสายตา เจ้าจะได้ไม่ทำตามใจชอบอีก”
“ข้าเกลียดคนพวกนั้นเข้ากระดูกดำ แค่อยากสังหารพวกเขาด้วยตัวเอง ตอนนั้นจึงมิได้คำนึงถึงสิ่งใดเลย” เซี่ยฟางหวามองเหยียนเฉินแล้วยิ้มบาง “เจ้าวางใจเถิด ถึงเจ้าไม่จับตามอง แต่ในครึ่งปีนี้ถ้าไม่มีเหตุการณ์ใดอันตรายถึงชีวิต ข้าก็จะไม่ใช้วิชาภูตผีอีกแล้ว”
“ผู้อยู่เบื้องหลังแม้น่าเกลียดชังเพียงใด เจ้าก็ต้องรักตัวเองให้มาก” เหยียนเฉินมองนางอย่างไม่เห็นด้วย
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้าก่อนหุบรอยยิ้มลง กล่าวเสียงแผ่วเบา “เหยียนเฉิน เจ้าไม่เข้าใจ” หยุดเว้นช่วง พบว่าเหยียนเฉินกำลังมองตน นางเม้มปากก่อนกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ข้ามีความทรงจำสองชาติ ตอนกลับมาเกิดใหม่เคยมีเรื่องที่ไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ในที่สุดก็เข้าใจหมดแล้ว ชาติก่อนตระกูลเซี่ยถูกประหารเก้าชั่วโคตร แน่นอนว่าฮ่องเต้มีใจอยากกำจัดตระกูลเซี่ย แต่ผู้ผลักดันที่แท้จริงกลับเป็นผู้อยู่เบื้องหลังพวกนี้ พวกเขาเป็นคนสนับสนุนที่ชั่วร้าย ผลักตระกูลเซี่ยไปในเหวลึก กระดูกกองเป็นภูเขา โลหิตไหลรวมเป็นธารา ยามนี้ข้าจับตัวพวกเขาได้ มีหรือจะไม่รีบสังหารทิ้ง”
เหยียนเฉินได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจแผ่วเบา “ที่แท้เป็นเช่นนี้ ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าถึงยืนหยัดที่จะปกป้องตระกูลเซี่ยมาโดยตลอด เจ้าเกิดมาในตระกูลเซี่ยแห่งหนานฉิน ข้าเกิดมาในตระกูลอวี้แห่งเป่ยฉี พวกเราล้วนไปอยู่ที่เขาไร้นามตั้งแต่เด็ก ตระกูลอวี้สำหรับข้าแล้วมิได้มีความผูกพันมากเท่าไรนัก แต่ตระกูลเซี่ยสำหรับเจ้านั้นไม่เหมือนกัน”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “พวกเขาทำลายชีวิตที่เคยล้ำค่าที่สุดของข้า ทำลายสิ่งสำคัญที่สุด ข้าย่อมทำลายพวกเขาทิ้งโดยไม่ปรานี” พูดจบ นางก็เผยสีหน้าเยือกเย็น “เพียงแต่น่าเสียดาย เหตุสังหารที่ช่องแคบมีคนหนีไปได้หนึ่งคน”
“ข้าได้ยินรัชทายาทกับอวิ๋นจี้เอ่ยถึงคนที่หนีรอดไปได้ว่าน่าจะบาดเจ็บสาหัส ระยะนี้คงมิอาจก่อเหตุได้อีก” เหยียนเฉินกล่าว “เนื่องจากเจ้าหาสมุนไพรดำม่วงมาได้ แก้ไขวิกฤตการณ์ในเมืองหลินอัน ช่วยประชาชนแสนกว่าชีวิตที่นี่ เมื่อข่าวในเมืองหลินอันเผยแพร่ออกไป ใต้หล้าก็ให้การสรรเสริญ ส่วนจื่อกุยไปที่กองทัพม่อเป่ยเพื่อรับช่วงต่ออำนาจการทหาร หากเป่ยฉีมีการระดมกำลัง เขาเป็นผู้บัญชาการจึงสำคัญอย่างยิ่ง จากสถานการณ์ในตอนนี้ ราชสำนักหนานฉินมิอาจทำอันใดตระกูลเซี่ยได้อีกแล้ว ภาระบนบ่าเจ้าก็ควรวางลงบ้างเช่นกัน”
“ไม่ง่ายขนาดนั้น” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“ไฉนถึงกล่าวเช่นนี้” เหยียนเฉินมองนาง
เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดก่อนเอ่ยขึ้น “ไฟป่ายังมิมอด ลมวสันต์พัดผ่านก็ปะทุขึ้นใหม่ เราสังหารตัวการในช่องแคบไปเพียงไม่กี่คนเท่านั้น คนตายไปเป็นใคร เหตุใดถึงต้องการตัวข้า เบื้องหลังเหล่านี้จำต้องสืบให้กระจ่าง” พูดจบนางก็กล่าวอีก “ยิ่งไปกว่านั้น ของใหม่แทนที่ของเก่า ตอนนี้ตระกูลเซี่ยยังไม่ถือว่าสงบมั่นคงอย่างแท้จริง”
“ก็จริง” เหยียนเฉินพยักหน้าก่อนคาดการณ์ “ตามความเห็นข้า ผู้อยู่เบื้องหลังเหล่านั้นเกรงว่าจะต้องการวิชาภูตผีในตัวเจ้า”
“ข้าเองก็อยากรู้ว่าคนพวกนี้ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งเคล็ดวิชาเผ่าภูตผีไปเพื่อสิ่งใดกันแน่”
เซี่ยฟางหวายิ้มเยาะ
เหยียนเฉินไม่เอ่ยคำใดอีก ไตร่ตรองเงียบๆ
“ฉีเหยียนชิงออกทัพโจมตีหนานฉิน ฮ่องเต้เป่ยฉีกับท่านป้าน่าจะอนุญาตโดยนัยกระมัง” เซี่ยฟางหวาพิจารณาพักหนึ่งก็เอ่ยขึ้นอีก
เหยียนเฉินชะงักไปเล็กน้อย
“ท่านป้าแม้ออกเรือนไปถึงเป่ยฉี หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยได้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดอีก แต่การที่บุตรีแห่งจวนจงหย่งโหวออกเรือนไป ไฉนเลยจะไม่คิดถึงญาติพี่น้องในครอบครัวเลย หลายปีมานี้ฮ่องเต้มีความคิดอยากกำจัดตระกูลเซี่ยมากเพียงใดใต้หล้าย่อมทราบดี ตระกูลเซี่ยยอมถอยแล้วถอยอีก ท่านป้ามีหรือจะมิทราบ ท่านป้าเองก็น่าจะเกิดความไม่พอใจต่อหนานฉินเช่นกัน มิฉะนั้นด้วยฐานะที่นางเป็นถึงฮองเฮาแห่งเป่ยฉีมาหลายปี ย่อมหาวิธีหยุดยั้งฉีเหยียนชิงแน่นอน” เซี่ยฟางหวากล่าวอีก
“เจ้าพูดมีเหตุผล” เหยียนเฉินผงกศีรษะ “ฮ่องเต้เป่ยฉีกับฮ่องเต้หนานฉินมีความละโมบต่างกัน ทั้งฉลาดและมีสายตาเฉียบแหลม ฉีเหยียนชิงกับฉินอวี้เองก็ต่างกัน ฉีเหยียนชิงแม้ได้รับการสั่งสอนจากฮ่องเต้เป่ยฉีและมีตระกูลอวี้คอยสนับสนุนตลอดหลายปี แต่สุดท้ายก็ยังมิกล้ากระโดดออกจากพระหัตถ์ฮ่องเต้เป่ยฉี การระดมกำลังโดยพลการเป็นเรื่องใหญ่ หากไม่มีการอนุญาต เขาย่อมไม่กล้าทำอยู่แล้ว เขามิใช่ฉินอวี้”
“เจ้าเป็นพระมาตุลาแห่งเป่ยฉี อำนาจส่วนใหญ่ของตระกูลอวี้ตกอยู่ในกำมือเจ้า ตอนที่ท่านพี่กับฉินอวี้ทราบว่าเป่ยฉีมีการระดมกำลังคงอยากพบเจ้าก่อน แต่ใจเจ้าทราบดีว่าฮ่องเต้เป่ยฉีกับท่านป้าลอบอนุญาตโดยนัย ดังนั้นเจ้าที่ไม่เคยสนใจจึงไม่ตามท่านพี่ไปยังค่ายทหารม่อเป่ยด้วย แต่อยู่ดูแลข้าระหว่างพักรักษาตัว” เซี่ยฟางหวากล่าว
เหยียนเฉินหลุดยิ้ม “ปิดบังเจ้ามิได้ทั้งนั้น เป็นเช่นนี้ ตอนที่รัชทายาทกับพี่ชายเจ้ามาหาข้า ข้าไม่มีอำนาจการทหารในเป่ยฉีจึงปฏิเสธ” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “ความจริงรัชทายาทกับพี่ชายเจ้าไม่แน่ว่าในใจอาจมิทราบ ระดมกำลังเป็นเรื่องใหญ่ ครั้งนี้ฉีเหยียนชิงตัดสินใจเด็ดขาดที่จะระดมกำลัง ด้วยการอนุญาตโดยนัยของฮ่องเต้เป่ยฉีกับฮองเฮา คงอยากทำให้หนานฉินรู้จักที่ต่ำที่สูง เพียงแต่ถึงแม้ทราบแล้วก็มิอาจยับยั้งการระดมกำลังได้เช่นกัน ทำได้เพียงหาวิธีการรับมือ”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“เมื่อครู่ข้าได้ยินว่ารัชทายาทขอรับสมัครทหารในเขตปกครองโจวและจวิ้นละแวกใกล้ๆ เป็นความคิดของเจ้าหรือ” เหยียนเฉินถาม
เซี่ยฟางหวาพยักหน้าตอบ
เหยียนเฉินมองนาง กดเสียงลดต่ำลง “เรื่องเมืองเสวี่ยเฉิงข้าพอจะทราบข่าวมาบ้างแล้ว แต่ดูเหมือนว่ารัชทายาทจะมิทราบ เจ้าคงทราบกระมัง แต่ไม่เคยบอกกับเขา”
“ไม่เคยบอก” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“พี่ชายเจ้าก็มิทราบหรือ” เหยียนเฉินถามอีก
“ไม่ทราบ” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้าอีก
เหยียนเฉินถอนหายใจ “แม้แต่ข้าที่รู้จักเจ้ามาหลายปี อวดอ้างว่ารู้จักรหัสลับของกันและกัน ยามนี้ก็ไม่เข้าใจเจ้าแล้ว” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอีก “แต่ข้ามิได้สนใจเรื่องอื่น ขอเพียงข้ายังเห็นเจ้าปลอดภัยดีก็พอแล้ว”
“เหยียนเฉิน ขอบคุณเจ้ามาก” เซี่ยฟางหวาส่งยิ้มให้เขา
เหยียนเฉิงเองก็ยิ้มตอบเช่นกัน มองท้องฟ้าแวบหนึ่งแล้วเอ่ยบอกนาง “ทุกวันยามนี้เป็นเวลาที่เจ้าควรดื่มยาแล้ว” พูดจบก็สั่งงานซื่อฮว่ากับซื่อม่อที่ถอยหลบไปเฝ้าข้างนอกเพราะมิกล้ารบกวนระหว่างทั้งสองคุยกัน “ยกยาเข้ามา”
“เจ้าค่ะ” ทั้งสองรีบออกไป