จารใจรัก - ตอนที่ 102-2 ร่องรอยของเยี่ยนถิง
ทั้งสองยกยาเข้ามา ขณะเซี่ยฟางหวากำลังจะยกยาขึ้นดื่ม เซี่ยอวิ๋นจี้พลันเดินเอ้อระเหยเข้ามาในเรือน
เซี่ยฟางหวาได้กลิ่นหอมจางๆ ของชาดที่สตรีใช้ที่โชยมาพร้อมกับร่างของเขาที่ข้ามธรณีประตูเข้ามา อดมิได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น
เซี่ยอวิ๋นจี้แหวกม่านออกก็พบกับกลิ่นยาฉุนปะทะใบหน้า เขาอุดจมูกแล้วพึมพำขึ้น “กลิ่นยาแรงนัก เหม็นชะมัด”
เซี่ยฟางหวามองเขาด้วยหางตาแวบหนึ่ง ก่อนดื่มยาในถ้วยหมดรวดเดียวแล้วเช็ดริมฝีปาก กล่าวขึ้นว่า “กลิ่นยาขมเฝื่อนของข้าย่อมมิได้หอมเหมือนกลิ่นหญิงงามในหอเยียนจือ พี่อวิ๋นจี้ช่างมีอิสระนัก”
เซี่ยอวิ๋นจี้รีบดมแขนเสื้อของตน หลังจากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมตัวนอกโยนออกไปนอกห้อง ก่อนเดินเข้ามานั่งตรงข้ามเซี่ยฟางหวา ส่งเสียงหัวเราะแหะๆ “ยังเป็นหญิงงามในหนานฉินเพลินตากว่า เป่ยฉีไม่น่ามองเลยสักที่เดียว”
เซี่ยฟางหวามองเขาด้วยรอยยิ้มขำ ไม่ส่งเสียงใดขึ้น
“เจ้าฟื้นแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง ดีขึ้นบ้างหรือยัง” เซี่ยอวิ๋นจี้ถาม
“ฟื้นมาย่อมดีขึ้นแล้ว” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
เซี่ยอวิ๋นจี้รินน้ำชาให้ตัวเอง ดื่มอึกหนึ่งแล้วขยับเข้าใกล้นาง “ในเมื่อเจ้าฟื้นแล้วก็ดี มีแผนการใดหรือไม่”
“แผนอันใด” เซี่ยฟางหวามองเขา
“เป่ยฉีมีการระดมกำลัง เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าสถานการณ์นี้จะพัฒนาไปถึงขั้นไหน อยู่ที่เมืองหลินอันคงมองไม่เห็น ไม่อยากออกไปดูสักหน่อยรึ” เซี่ยอวิ๋นจี้กะพริบตามอง
“ท่านจะให้ข้าไปม่อเป่ย” เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว
เซี่ยอวิ๋นจี้ส่ายหน้า “มิใช่ม่อเป่ย ม่อเป่ยเป็นค่ายทหาร มีอันใดน่าดูกัน ข้าหมายถึงเมืองเสวี่ยเฉิงต่างหาก” เขามองเซี่ยฟางหวา “เจ้าเคยไปเมืองเสวี่ยเฉิงหรือยัง”
“ยังไม่เคย” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“ยังไม่เคยไปก็ดี” เซี่ยอวิ๋นจี้กล่าว
“ถึงไม่เคยไปก็ไม่อยากไป” เซี่ยฟางหวาบอก
เซี่ยอวิ๋นจี้ชะงักแล้วมองนาง “เจ้าไม่สงสัยใคร่รู้ในเมืองเสวี่ยเฉิงหรือ”
“ไม่อยากรู้” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“เจ้าทราบหรือไม่ว่าพี่ชายเจ้าไปขอให้เมืองเสวี่ยเฉิงออกทัพช่วยเหลือ ทราบหรือไม่ว่าเขานำจดหมายลับของฉินอวี้ไปด้วย” เซี่ยอวิ๋นจี้มองนางด้วยความสงสัย
“ทราบ ฉินอวี้บอกข้าแล้ว” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“ไม่จริงน่า” เซี่ยอวิ๋นจี้แปลกใจ “ข้าเพิ่งกลับจากข้างนอก ได้ยินว่ารัชทายาทโยกย้ายทหารในเขตปกครองโจว จวิ้น และเซี่ยนใกล้ๆ เพื่อไปสนับสนุนทัพม่อเป่ย และทราบข่าวว่าเจ้าฟื้นแล้ว เดาว่าน่าจะเป็นความคิดของเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าให้คำแนะนำกับเขา มิคล้ายว่าจะไม่เป็นห่วงคนในเมืองเสวี่ยเฉิง”
“ข้าไม่เป็นห่วงเมืองเสวี่ยเฉิงแล้วมีอันใดน่าแปลก เมืองเสวี่ยเฉิงตั้งอยู่ระหว่างเป่ยฉีกับหนานฉิน ไม่มีส่วนร่วมในสองแผ่นดินมาตลอดหลายปี ท่านพี่ไปขอให้ออกทัพมีความสำเร็จเพียงห้าส่วน พึ่งคนอื่นมิสู้พึ่งตัวเอง” เซี่ยฟางหวายิ้ม
เซี่ยอวิ๋นจี้ยังรู้สึกว่าสิ่งที่นางกล่าวนั้นผิดปกติ ทว่าบอกไม่ถูกว่าผิดปกติอย่างไร จึงหันไปมอง
เหยียนเฉิน “เจ้าไม่รู้สึกว่าทัศนคตินางผิดปกติหรือ”
“ร่างกายนางได้รับความเสียหายหนัก ช่วงนี้จำต้องพักรักษาตัว ไปที่ใดมิได้ทั้งนั้น ตอนนี้เมืองหลินอันสงบแล้ว เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการพักผ่อนที่สุด เจ้าไม่ต้องยุให้นางวิ่งเต้นไปม่อเป่ยเลย และไปเมืองเสวี่ยเฉิงด้วยมิได้เช่นกัน ร่างกายนางยังทนรับความทรมานมิได้” เหยียนเฉินส่ายหน้า
“ลืมไปเลยว่าร่างกายเจ้าอ่อนแอนัก น่าเบื่อ” เซี่ยอวิ๋นจี้ได้ยินเช่นนั้นก็วางธงลั่นกลองรบ
“ถ้าท่านสนใจก็ไปคนเดียว” เซี่ยฟางหวาบอก
เซี่ยอวิ๋นจี้ส่ายหน้า “ไม่มีใครไปด้วย ไปคนเดียวจะสนุกอันใด ระหว่างทางคงเหงาแย่” พูดจบ เขาก็พลันนึกบางสิ่งขึ้นได้จึงขมวดคิ้วกล่าว “เจ้าได้พบเยี่ยนถิงหรือยัง”
“เยี่ยนถิง?” เซี่ยฟางหวามองเขา “เขามิใช่ว่าอยู่เป่ยฉีในที่ที่เหยียนเฉินจัดไว้ให้หรือ”
เซี่ยอวิ๋นจี้ได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้า ก่อนเล่าเรื่องที่เยี่ยนถิงได้ยินพระราชโองการหย่าร้างป่าวประกาศทั่วใต้หล้าก็รีบขี่ม้าเร็วออกจากเป่ยฉีกลับมาหนานฉินทันทีให้ฟัง ทั้งเล่าอีกว่าเขาไล่ตามเท่าไรก็ตามอีกฝ่ายไม่ทัน กระทั่งป่านนี้ยังไม่เห็นเงาของอีกฝ่ายเลย
เซี่ยฟางหวาฟังจบก็หันไปมองเหยียนเฉิน
“มิได้ยินว่าเขามาเมืองหลินอัน” เหยียนฉินส่ายหน้า
“แล้วเขาไปที่ใด” เซี่ยฟางหวาขมวดคิ้ว “คงไม่เกิดเรื่องใดขึ้นหรอกกระมัง”
“เขากลับมาเพราะเจ้า หากได้ยินว่าเจ้าอยู่ที่เมืองหลินอันก็น่าจะรีบมาที่นี่ถึงจะถูก แต่เจ้าอยู่ที่นี่มาหลายคืนแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวของเขาเลย” เซี่ยอวิ๋นจี้เกาศีรษะ “คงมิได้แวะเสพสุขอยู่ที่ใดกระมัง”
“ท่านคิดว่าเขาเป็นท่านหรือ” เซี่ยฟางหวาถลึงตามองเซี่ยอวิ๋นจี้ ก่อนกล่าวกับเหยียนเฉิน “ประเดี๋ยวให้ชิงเกอไปตรวจสอบดูเถอะ ชิงเกอยังอยู่ที่นี่ใช่ไหม”
“อยู่ เขาคุ้มครองนำสมุนไพรดำม่วงมาส่ง ยังมิได้ไปไหน” เหยียนเฉินลุกขึ้น “ข้าจะไปบอกให้เขาตรวจสอบดู”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
เหยียนเฉินออกไปจากห้อง
เซี่ยอวิ๋นจี้เห็นเหยียนเฉินออกไปแล้วก็นั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ ดื่มน้ำชาพลางกล่าวเสียงกระซิบ “ฉินอวี้บอกว่าเจ้ารับปากว่าจะออกเรือนกับเขาแล้ว เป็นความจริงหรือ”
เซี่ยฟางหวาหลุบตาลงก่อนพยักหน้ายืนยัน
“จริงๆ ด้วย” เซี่ยอวิ๋นจี้รีบวางถ้วยน้ำชาลง เบิกตากว้างมองนาง “เพราะเหตุใด”
เซี่ยฟางหวาเงยหน้าขึ้น หัวเราะเสียงเรียบครู่หนึ่ง “พี่อวิ๋นจี้ ข้าเพิ่งฟื้นมาท่านก็เป็นคนแรกที่ถามข้าเรื่องนี้ ต่อไปคนอื่นคงถามข้าว่าเพราะเหตุใดแบบท่านกันหมดกระมัง”
เซี่ยอวิ๋นจี้ชะงัก
“ทุกสิ่งบนโลกมิใช่อธิบายเหตุผลกับคนอื่นได้ทุกเรื่อง” เซี่ยฟางหวากล่าวเสียงเบา “หากข้าตอบว่าไม่มีเหตุผล ไม่ใช่แค่ท่านที่ไม่เชื่อ ผู้คนมากน้อยล้วนไม่เชื่อเช่นกัน แต่ถึงแม้มีเหตุผล แล้วเหตุใดข้าต้องอธิบายกับคนอื่นด้วย”
เซี่ยอวิ๋นจี้เกาศีรษะ “ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล” พูดจบ เขาก็วางมือลงแล้วขยับเข้าใกล้นาง “แต่พี่ก็มิใช่คนอื่น ถึงอย่างไรก็เป็นลูกพี่ลูกน้องแท้ๆ ของเจ้ามิใช่หรือ เจ้าบอกข้ามาเถอะ ข้าไม่บอกใครหรอก” พูดจบก็กล่าวอีก “ข้าแค่ไม่เข้าใจ เจ้ายังดีๆ กับฉินเจิงอยู่เลยไม่ใช่หรือ ไฉนจู่ๆ ถึง…หากบอกว่ามิใช่ฉินอวี้ขู่บังคับเจ้า ทุบข้าจนตายก็ไม่เชื่อ”
“เขามิได้ขู่บังคับข้า” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
เซี่ยอวิ๋นจี้มองนางด้วยความไม่เข้าใจ “แล้ว…”
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า ไม่เอ่ยคำใดอีก และไม่คิดจะพูดแล้วเช่นกัน
เซี่ยอวิ๋นจี้อึดอัดเพราะอยากรู้อย่างยิ่ง แต่เห็นว่าเซี่ยฟางหวามีสีหน้าเย็นชา แสดงท่าทางราวกับตั้งใจแล้วว่าจะไม่พูดอันใดทั้งนั้นจึงได้แต่ยอมเลิกรา “ก็ได้ ข้ายอมแพ้ ไม่พูดก็ไม่พูด บอกตามตรงฉินอวี้คนนี้ก็ไม่เลว”
เซี่ยฟางหวายิ้ม ไม่เอ่ยคำใด
หนึ่งชั่วยามให้หลัง เหยียนเฉินกลับมาแล้วบอกกับเซี่ยฟางหวา “ชิงเกอไปตรวจสอบแล้ว ก่อนหน้านี้เราได้วางกำลังสอดแนมไว้รอบรัศมีหนึ่งร้อยลี้ภายในเมืองหลินอัน หากมีผู้ใดผ่านมาย่อมทิ้งร่องรอยไว้ หาก
เยี่ยนถิงเคยเข้ามาในอาณาเขตเมืองหลินอันก็น่าจะหาเจอได้อย่างรวดเร็ว”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเข้ามาเก็บถ้วยยา ขณะเดียวกันก็ถามเซี่ยฟางหวาว่าหิวหรือยัง เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับ ทั้งสองจึงออกไปยกสำรับมื้อกลางวันมาให้
เหยียนเฉินกับเซี่ยอวิ๋นจี้อยู่ทานมื้อกลางวันกับเซี่ยฟางหวา หลังทานอาหารเสร็จก็ได้รับข่าวจากชิงเกอ
เหยียนเฉินเปิดจดหมายอ่าน ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้ว
“เป็นเช่นไร” เซี่ยฟางหวาถาม
เหยียนเฉินผงกศีรษะ “สองวันก่อนเยี่ยนถิงมาถึงอาณาเขตเมืองหลินอันจริง แต่มิได้เข้ามาในเมือง กลับไปที่ภูผาวกวน เลือกเดินในเส้นทางภูเขาที่อันตรายที่สุด ซึ่งก็คืออีกฟากหนึ่งของภูผาวกวนอันเป็นป่าวงกต เขาเข้าไปในป่าผืนนั้น หลังจากนั้นก็ไม่พบร่องรอยอีกเลย”
“ป่าวงกต” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง
“ที่นี่ยังมีป่าวงกตอีกหรือ มิใช่มีแค่ภูผาวกวนกับธาราคดเคี้ยวรึ” เซี่ยอวิ๋นจี้สงสัย
“มีป่าวงกตด้วย” เหยียนเฉินพยักหน้า แล้วมองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง “เพียงแต่ป่าวงกตมิใช่ป่าธรรมดา มันเชื่อมต่อกับผาไน่เหอ เมื่อเข้าไปในป่าก็ลึกดั่งมหาสมุทร จากตรงนั้นมิอาจย้อนกลับมาได้อีก”
“ป่าวงกตคือป่ามรณะที่ร่ำลือกันใช่หรือไม่ เยี่ยนถิงไปทำอันใดที่นั่น” เซี่ยอวิ๋นจี้ตกใจ
เหยียนเฉินเงียบ
เซี่ยฟางหวาเงียบไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “เขาน่าจะไปตามหาคน”
“เขามิใช่กลับมาหนานฉินเพราะเจ้าหรือ หากจะหาก็ต้องเป็นเจ้า ยังตามหาใครอีก” เซี่ยอวิ๋นจี้ถาม
เซี่ยฟางหวามองเขาแวบหนึ่ง มิได้ตอบคำถามเขาหากแต่กล่าวเสียงเรียบ “หากเขาไปยังป่าวงกตก็ไม่ต้องกังวลแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะส่งจดหมายให้พี่อวิ๋นหลาน มิให้เขาสร้างความลำบากใจให้เยี่ยนถิง”
“อวิ๋นหลานอยู่ที่ป่าวงกตหรือ” เซี่ยอวิ๋นจี้กะพริบตามอง
“แม้เขามิได้อยู่ที่ป่าวงกต แต่ป่าวงกตก็เป็นอาณาเขตของเขา” เซี่ยฟางหวาทั้งส่ายหน้าและพยักหน้า
เซี่ยอวิ๋นจี้มองนาง พิจารณาครู่หนึ่งก็เข้าใจทุกสิ่ง “ฉินเจิงอยู่ที่ป่าวงกตใช่หรือไม่ เยี่ยนถิงรีบกลับหนานฉิน เขามิได้ติดต่อกับเหยียนเฉินดังที่ข้าคาดการณ์ไว้ และมิได้ตามหาเจ้า แต่เขากับฉินเจิงเติบโตมาด้วยกัน เขาย่อมมีวิธีตามหาฉินเจิง”