จารใจรัก - ตอนที่ 104-1 หนักเกินเยียวยา
วันเดียวกันนั้นเอง พระราชโองการที่ฮ่องเต้ทรงเรียกรัชทายาทเสด็จกลับเมืองโดยด่วนก็ถูกส่งไปยังเมืองหลินอันด้วยความรวดเร็ว
กลางดึกคืนนั้น ฉินอวี้ได้รับพระราชโองการที่ฮ่องเต้ทรงเรียกตนกลับเมืองหลวง เขาซักถามผู้มาถ่ายทอดพระราชโองการ ก่อนคลุมอาภรณ์ลงจากเตียง เมื่อแต่งกายเรียบร้อยแล้วก็รีบสาวเท้าเดินไปยังเรือนของเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวายังมิหลับ ภายในห้องจุดตะเกียงสว่าง
ฉินอวี้เดินมาถึงกลางลาน ซื่อฮว่ากับซื่อม่อได้ยินเสียงเท้าก็รีบออกไปต้อนรับ มองฉินอวี้ด้วยความแปลกใจ “ไฉนรัชทายาทถึงเสด็จมาป่านนี้ มีเรื่องด่วนหรือเพคะ”
“มีเรื่องด่วน ฟางหวาหลับหรือยัง” ฉินอวี้พยักหน้า
“คุณหนูกำลังจะเข้านอนเพคะ” ซื่อฮว่ามองไปในห้องแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยบอกเสียงเบา “บ่าวจะเข้าไปรายงานคุณหนูให้เพคะ”
“ดี” ฉินอวี้พยักหน้า หยุดฝีเท้ารอหน้าประตู
ซื่อฮว่าเดินมายังหน้าเตียงภายในห้องชั้นใน ก่อนเอ่ยเสียงเบา “คุณหนู รัชทายาทเสด็จมาด้วยความรีบร้อน ตรัสว่ามีเรื่องด่วนเจ้าค่ะ”
เซี่ยฟางหวาได้ยินการเคลื่อนไหวภายนอกก่อนแล้ว มองไปข้างนอกแวบหนึ่ง ก่อนสวมเสื้อผ้าคลุมกายให้เรียบร้อยแล้วพยักหน้าตอบ “เชิญเขาเข้ามา”
ซื่อฮว่าเดินออกไป
ไม่นานฉินอวี้ก็เดินเข้ามา ผ่านห้องรับรองมาถึงห้องชั้นใน กล่าวกับเซี่ยฟางหวา “เสด็จพ่อให้คนมาประกาศราชโองการเร่งด่วน บอกให้ข้ารีบกลับเมือง”
“ในเมืองเกิดอันใดขึ้น” เซี่ยฟางหวาขมวดคิ้ว
“เสด็จพ่อทรงประชวรหนัก เกรงว่าไม่ดีแล้ว” ฉินอวี้มีใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย
“เป็นความจริงหรือ” เซี่ยฟางหวามึนงง
“ผู้มาประกาศพระราชโองการเป็นคนสนิทติดตามเสนาบดีฝ่ายซ้าย บอกว่าเสด็จพ่อมิทรงพบผู้ใดทั้งนั้นแม้แต่ขุนนางในราชสำนัก รอเพียงข้ากลับไปพบพระองค์” ฉินอวี้กล่าวด้วยความเคร่งขรึม “มีความเป็นไปได้สูงว่าท่าไม่ดีแล้ว”
เซี่ยฟางหวาเม้มปาก “อาการประชวรของฝ่าบาทประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายตลอดมา เหตุใดถึงทรุดหนักกะทันหันได้ นี่เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วันก็ย่ำแย่แล้ว หรือเพราะทราบข่าวสงครามระหว่างพรมแดนเป่ยฉีกับหนานฉินว่าพ่ายแพ้ย่อยยับ”
“ฟังว่าตั้งแต่ได้รับเอกสารราชการด่วนของข้าที่เสนอให้มีการแก้ไขระบบทหาร จากนั้นก็ได้รับจดหมายลับของข้าเพิ่มอีกจึงลุกจากแท่นบรรทมไม่ไหวอีกเลย” ฉินอวี้เม้มปากกล่าว
“แก้ไขระบบทหารข้าทราบ แต่ยังมีจดหมายลับใดอีก เจ้ากำลังพูดถึงสิ่งใด” เซี่ยฟางหวามองเขา
ฉินอวี้ถอนหายใจออกมา มองตานางแล้วกล่าวด้วยความสงบนิ่ง “ข้าบอกกับเสด็จพ่อว่า หากมิทรงอนุญาตให้ข้าถอนหมั้นกับหลี่หรูปี้ มิทรงอนุญาตให้แต่งกับเจ้า ข้าก็จะไม่เป็นรัชทายาทอีก”
เซี่ยฟางหวากระจ่าง
“การกำจัดตระกูลเซี่ยเป็นสิ่งที่เสด็จพ่อทรงอยากทำตลอดมา หลังพระองค์ได้ครองราชบัลลังก์ก็ทรงอยากเสริมความแข็งแกร่งให้กับหนานฉินมาโดยตลอด อยากให้หนานฉินถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ว่ามีความโปร่งใส พระองค์ทรงอยากก้าวข้ามอยู่เหนือกว่าปฐมจักรพรรดิของหนานฉิน คิดว่าตระกูลเซี่ยรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน มีรากฐานหยั่งลึก เกรงว่าวันหนึ่งบ้านเมืองหนานฉินจะล่มสลายลงแทบเท้าตระกูลเซี่ย ตลอดเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา การถ่วงความก้าวหน้าทุกรูปแบบ มิหนำซ้ำยังคิดหาหนทางควบคุมอำนาจการทหาร กลายเป็นอุดมการณ์ของพระองค์ ยามนี้ข้าขอให้ทรงแก้ไขระบบทหาร ยกพรมแดนม่อเป่ยทั้งหมดให้พี่จื่อกุยดูแล สิ่งเหล่านี้เป็นการซ้ำเติมความเจ็บปวดพระองค์” ฉินอวี้กล่าวเชื่องช้า “พระองค์ทรงเป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว ไม่เหลือแรงประคับประคอง ตำแหน่งของพระองค์กลับควบคุมสถานการณ์ในหนานฉินมิได้ เพลิงโทสะโจมตีพระราชหฤทัยทำให้อาการประชวรทรุดหนักลง”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“เจ้าจะกลับเมืองไปพร้อมข้าหรือไม่” ฉินอวี้มองนางแล้วถามเสียงทุ้มต่ำ
เซี่ยฟางหวาเงียบไม่เอ่ยคำใด
ฉินอวี้เองก็มิเร่งรัดนาง นิ่งรอคำตอบอยู่ที่เดิม
ผ่านไปพักหนึ่งเซี่ยฟางหวาก็เงยหน้าขึ้น ให้คำตอบกับฉินอวี้ “ข้าจะกลับเมืองไปพร้อมเจ้าด้วย”
“จริงหรือ” ฉินอวี้ดีใจยกใหญ่
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“เช่นนั้นข้าจะออกไปเตรียมตัว เราจะได้รีบเดินทาง ดีหรือไม่” ฉินอวี้ถาม
“ดี” เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ
ฉินอวี้หันหลังเดินสาวเท้าออกไป ชายอาภรณ์ดุจสายลม ม่านมุกไหวกระเพื่อมเพราะการเคลื่อนไหวของเขา
ซื่อฮว่าเดินเข้ามาพร้อมกล่าวเสียงเบา “คุณหนู ท่านจะกลับเมืองไปพร้อมรัชทายาทจริงหรือเจ้าคะ”
“อืม” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“แล้วร่างกายท่านจะรับไหวหรือ” ซื่อฮว่ามองนางด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นปัญหา” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “เจ้าไปตามเหยียนเฉินมา บอกผิ่นจู๋ให้รีบเก็บสัมภาระด้วย”
“เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ารับคำแล้วรีบออกไป
ไม่นานเหยียนเฉินก็มาถึง พบว่าเซี่ยฟางหวาเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วจึงขมวดคิ้วมอง “เจ้าจะกลับเมืองไปพร้อมรัชทายาทหรือ”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการด่วน เรียกฉินอวี้กลับเมือง เกรงว่าจะทรุดหนักแล้ว”
“ฝ่าบาททรงเรียกรัชทายาทกลับ เจ้ามิจำเป็นต้องกลับไปด้วยก็ได้” เหยียนเฉินบอก
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “ข้ามิจำเป็นต้องกลับไปพร้อมเขาด้วยก็จริง แต่ลองคิดดูแล้วก็กลับไปด้วยดีกว่า ตั้งแต่ข้าไปอยู่เขาไร้นาม เป็นเวลากี่ปี กี่วัน กี่คืน สิ่งที่ข้าอยากทำคือการปกป้องตระกูลเซี่ย ไม่ยอมให้ราชสำนักประหารตระกูลเซี่ยเก้าชั่วโคตร ว่ากันตามตรงแล้วดาบของฮ่องเต้ก็คือดาบที่แขวนอยู่เหนือศีรษะข้า ดาบเล่มนั้นคมอย่างยิ่ง ทำให้ข้ามิกล้าผ่อนคลายแม้สักคืนเดียว กินมิได้นอนมิหลับ หวั่นว่าจะตกลงมาเมื่อไร ด้วยความพยายามหลายปี หลังกลับเมืองหลวงมา แผนการกว่าครึ่งปีก็ทำให้ดาบเล่มนั้นหดตัวลง สึกหรอจนทื่อ ข้ามีหรือจะมิกลับไปเชยชม” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “อย่างน้อยข้าก็อยากเห็นพระองค์เข้าสู่ห้วงนิทราตลอดกาลกับตาตัวเอง”
เหยียนเฉินพยักหน้า “แล้วเจ้าจะกลับไปด้วยฐานะใด”
“ข้าคือคุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหว” เซี่ยฟางหวากล่าว “ฐานะนี้มิใช่ฐานะที่น่าอับอายอันใด ส่วนอย่างอื่น…” นางยิ้มออกมา “ควรเป็นฐานะใดก็เป็นฐานะนั้น”
เหยียนเฉินครุ่นคิด “ข้ายังไม่สบายใจเรื่องร่างกายเจ้า กลับเมืองไปพร้อมเจ้าด้วยดีกว่า”
“ข้าก็คิดเช่นนี้ มีเจ้าไปด้วยย่อมดีมาก” เซี่ยฟางหวายิ้มกล่าว
เหยียนเฉินเองก็ยิ้มตอบ ก่อนบีบไหล่นาง “ข้าจะไปเก็บของก่อน”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
เหยียนเฉินออกจากห้อง รีบกลับไปที่ห้องพักของตนเอง
ครึ่งชั่วยามต่อมา ฉินอวี้ก็เก็บข้าวของและเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เรื่องอื่นที่ยังมิได้สะสางในเมืองหลินอันล้วนฝากฝังให้จัดการแทนแล้ว รถม้าและขบวนข้าราชบริพารหยุดรอหน้าประตูจวน เตรียมพร้อมออกเดินทาง
เมื่อเซี่ยฟางหวากับเหยียนเฉินเก็บของเรียบร้อยแล้วก็ออกมาที่หน้าประตูจวน
ฉินอวี้รออยู่ข้างหน้าก่อนแล้ว เห็นทั้งสองเดินมาก็กล่าวกับเซี่ยฟางหวา “ข้าเตรียมรถม้าไว้สองคัน ข้ากับเหยียนเฉินจะนั่งคันหนึ่ง เจ้ากับเหล่าสาวใช้นั่งอีกคันหนึ่ง ต่างเป็นม้าที่เร็วที่สุด อย่างช้าคงถึงเมืองหลวงก่อนหัวค่ำวันพรุ่งนี้”
“ได้” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ทราบดีว่าฉินอวี้คำนึงถึงร่างกายของนางจึงเตรียมรถม้าไว้เช่นนี้
เหยียนเฉินมิได้เห็นต่าง
เมื่อทุกคนขึ้นรถม้าแล้ว ฉินอวี้ก็ออกคำสั่ง ทั้งหมดออกจากเมืองหลินอันกลางดึก เร่งสุดฝีเท้าเดินทางกลับเมืองหลวง
ตลอดทางมิได้มีการแวะพักที่ใด ทั้งเช้า กลางวัน เย็นล้วนทานอาหารที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว
ช่วงหัวค่ำก็มาถึงเมืองหลวงดังที่ฉินอวี้คาดการณ์ไว้
ในเมืองหลวงทราบข่าวว่าฉินอวี้จะเสด็จกลับเมืองก่อนแล้ว อิงชินอ๋องกับเสนาบดีฝ่ายขวารอหน้าประตูตำหนัก ส่วนเสนาบดีฝ่ายซ้ายด้วยความร้อนใจจึงออกมารอรับที่หน้าประตูเมืองกับหย่งคังโหว
เมื่อเห็นขบวนเสด็จกลับเมืองของรัชทายาท เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ก้าวขึ้นมา มิรอให้ฉินอวี้ลงจากรถม้าก็ส่งเสียงดังขึ้น “รัชทายาท ในที่สุดพระองค์ก็ทรงกลับมาแล้ว”
“กระหม่อมถวายบังคมรัชทายาท” หย่งคังโหวคารวะผ่านม่านกั้น
ฉินอวี้เลิกม่านบนรถมองไปข้างนอกแวบหนึ่ง ยกมือปรามเสนาบดีฝ่ายซ้ายและหย่งคังโหว ก่อนถามขึ้น “เสด็จพ่อเป็นเช่นไรบ้าง”
“กระหม่อมมิได้พบฝ่าบาทเลย ฝ่าบาทเพียงรอรัชทายาทเสด็จกลับพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายตอบ
ฉินอวี้พยักหน้า ปล่อยม่านลงแล้วออกคำสั่ง “เข้าวัง”
รถม้าเคลื่อนตัวต่อไป
เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับหย่งคังโหวรีบหลีกทางให้ รอจนรถม้าของฉินอวี้เคลื่อนผ่านไปก็มีกลิ่นยาจางๆ โชยออกมาจากรถม้าคันข้างหลัง เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยยิ่ง เสนาบดีฝ่ายซ้ายจึงหันไปถามหย่งคังโหว “เจ้าได้กลิ่นหรือไม่”
หย่งคังโหวตกใจเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าตอบ
“คล้ายกับเป็น…” เสนาบดีฝ่ายซ้ายมองหย่งคังโหวอย่างมิกล้ามั่นใจนัก
หย่งคังโหวมองไปยังที่ตั้งจวนจงหย่งโหว ทั้งมองไปยังที่ตั้งจวนอิงชินอ๋อง
“ไปกันเถอะ เราตามเข้าวังไปด้วย” เสนาบดีฝ่ายซ้ายระงับความตกใจปนสงสัย ก่อนเอ่ยเร่งหย่งคังโหว
หย่งคังโหวพยักหน้า ทั้งสองรีบขึ้นรถม้าประจำตระกูลตนเอง ตามหลังขบวนไปยังวังหลวงด้วยกัน
เมื่อมาถึงทางแยกระหว่างวังหลวงกับจวนจงหย่งโหว ฉินอวี้ส่งสัญญาณให้หยุดรถลงข้างทาง รอจนรถม้าที่เซี่ยฟางหวานั่งเคลื่อนเทียบมาถึง เขาเลิกม่านออกแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าจะเข้าวังไปกับข้าหรือว่า…”
“เข้าวังไปกับเจ้า” เซี่ยฟางหวาตอบ
“ได้” ฉินอวี้ปล่อยม่านลง ออกคำสั่งให้รถม้าเคลื่อนตัวต่อไป