จารใจรัก - ตอนที่ 108-1 มั่วสุรานารี
เมื่ออดีตฮ่องเต้สวรรคตจะจัดพิธีศพขึ้น
เซ่นไหว้ต่อฟ้า แผ่นดิน ศาลบรรพบุรุษ และบ้านเมือง
เหล่าราชวงศ์และราชนิกุลเข้าร่วมงานพระราชพิธีพระบรมศพเพื่อไว้ทุกข์ เนื่องด้วยเป็นช่วงฤดูร้อนจึงมิควรวางโลงบรรจุพระบรมศพนานเกินไป ต้องใช้น้ำแข็งแช่ไว้ เจ็ดวันให้หลังค่อยเคลื่อนพระบรมศพไปดำเนินการฝังที่ราชสุสาน
ในเจ็ดวันนี้ เมืองหลวงหนานฉินจมสู่บรรยากาศแห่งความเศร้าโศกอันหนักหน่วง ทั้งในและนอกเมืองมิอนุญาตให้จัดงานรื่นเริง จึงมิได้ยินเสียงบรรเลงใดใดทั้งนั้น
ขุนนางบุ๋นบู๊ โอรสลูกท่านหลานเธอ พระสนมในวังหลัง และครอบครัวขุนนางในราชสำนักต่างพากันโศกเศร้าอาดูร
เซี่ยฟางหวาพำนักในตำหนักของฉินอวี้ตลอดเวลา เจ็ดวันนี้ทุกหนแห่งหลังกำแพงวังหลวงมีแต่เสียงร่ำไห้ บ้างก็ร้องไห้จากใจจริง บ้างก็แสร้งร้องไห้ แผ่นดินยุคใหม่ผลัดเปลี่ยน ของใหม่แทนที่ของเก่า อนาคตของหญิงงามมากน้อยหลังกำแพงวังตกอยู่ในสถานการณ์น่าเป็นห่วง บ้างคนอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น
ไม่มีผู้ใดมารบกวนนางที่ตำหนักของฉินอวี้ ฉินอวี้ยุ่งตลอดเวลา ไม่มีเวลาแม้แต่จะกลับมาที่ตำหนัก
นอกจากพวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อที่อยู่ข้างกาย นางก็มิได้พบผู้ใดทั้งนั้น
แม้แต่เหยียนเฉินเองก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใดแล้ว
สถานที่ที่สงบเพียงแห่งเดียวในวังหลัง ตอนนี้ก็คือตำหนักของอดีตรัชทายาท
ทุกเช้าเที่ยงเย็นซื่อฮว่ากับซื่อม่อจะต้มยามาให้ เมื่อเซี่ยฟางหวาดื่มหมดก็มักนั่งเล่นริมหน้าต่างในห้อง
นั่งไปตลอดทั้งวัน
เจ็ดวันให้หลัง ถึงเวลาที่จะขนย้ายโลงพระบรมศพของฮ่องเต้ไปฝังที่ราชสุสาน
ฉินอวี้กลับมาที่ตำหนักตั้งแต่เช้าตรู่
ตั้งแต่หลังจากที่เซี่ยฟางหวาออกจากตำหนักบรรทมอดีตฮ่องเต้วันนั้นก็มิได้พบฉินอวี้อีกเลย ยามนี้เมื่อได้พบเขาอีกครั้งก็แทบจะจำมิได้แล้ว
เขาสวมอาภรณ์ไว้ทุกข์ ใบหน้าซีดเซียว กลิ่นอายความเสียใจสิ้นหวังอันเข้มข้นแผ่ปกคลุมรอบกาย เขาผอมลงไปมาก อาภรณ์ที่สวมใส่บนร่างเคยขับรูปกายท่วงท่าอันสง่างาม ให้ความรู้สึกอบอุ่นดุจหยก ยามนี้เห็นได้ชัดว่าตัวคนผอมกว่าอาภรณ์ ดูหลวมโคร่ง ผอมซูบอย่างยิ่ง
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อออกไปต้อนรับ พบว่าเป็นฉินอวี้ก็ตกใจโหยง รีบทำความเคารพ “ถวายบังคมฝ่าบาท”
“ตามสบาย” ฉินอวี้โบกพระหัตถ์ “ฟางหวาเล่า กำลังทำอันใดอยู่”
“เจ็ดวันนี้คุณหนูมิได้ออกไปไหน อยู่รักษาตัวเพคะ” ทั้งสองรีบตอบ
ฉินอวี้พยักพระพักตร์ ก่อนเดินมาที่ประตู
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก้าวขึ้นมาเลิกม่านให้ก่อน ฉินอวี้ข้ามธรณีประตูเข้าไป เห็นเซี่ยฟางหวากำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่างพลางมองไปข้างนอก เขาแย้มยิ้มเล็กน้อย ก่อนค่อยๆ ก้าวเข้ามา “ได้ยินว่าเจ็ดวันนี้เจ้าเอาแต่อยู่ในห้อง”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “เหนื่อยมากหรือไม่ ไฉนถึงอยู่ในสภาพนี้”
ฉินอวี้เห็นว่าน้อยครั้งที่นางจะเป็นห่วงตนจึงแย้มยิ้มกว้างกว่าเก่าเล็กน้อย กล่าวด้วยเสียงอบอุ่น “ทุกคนไม่คาดคิดว่าเสด็จพ่อจะด่วนจากไปกะทันหันเช่นนี้ หลายสิ่งจึงมิได้จัดเตรียม ด้วยความคาดไม่ถึงจึงมีเรื่องต้องจัดการมากมาย ผนวกกับพรมแดนเปิดฉากรบขึ้นแล้ว ดังนั้น…” เขานวดคลึงหน้าผาก “จึงอยู่ในสภาพนี้ แย่มากหรือไม่”
“มิได้แย่มากขนาดนั้น เพียงแต่น่าตกใจเล็กน้อย” เซี่ยฟางหวายิ้ม เห็นว่าเขานั่งลงก็เอ่ยถาม “ยังมิได้ทานมื้อเช้ากระมัง”
ฉินอวี้พยักพระพักตร์ “หนึ่งชั่วยามข้างหน้าเป็นฤกษ์ดี ต้องส่งโลงพระบรมศพของเสด็จพ่อไปยังราชสุสาน ข้าจึงมาลองถามเจ้าดูว่าจะไปส่งพระบรมศพกับข้าไหม”
“ไปยกมื้อเช้ามา แล้วก็นำยาที่ข้าดื่มบำรุงร่างกายมาให้ฝ่าบาทด้วยถ้วยหนึ่ง” เซี่ยฟางหวาสั่งงาน
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อ
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อรับคำ แล้วรีบออกไป
เซี่ยฟางหวารินน้ำชาส่งให้เขาด้วยตนเองอีกครั้ง
ฉินอวี้มองนางด้วยแววตาอบอุ่น ความเหนื่อยล้าราวกับมลายหายไปในพริบตา ยกน้ำชาขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง รอให้นางตอบกลับ
“ข้าจะไปราชสุสานกับเจ้าเพื่อฝังพระบรมศพอดีตฮ่องเต้” เซี่ยฟางหวาตอบ
ฉินอวี้วางถ้วยลง รอยยิ้มประดับใบหน้า ก่อนพยักหน้ารับ
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อยกอาหารเช้าเข้ามา หลังฉินอวี้กับเซี่ยฟางหวาทานอาหารร่วมกันแล้ว ฉินอวี้ก็ดื่มยาลงไป ส่วนเซี่ยฟางหวาลุกขึ้นไปเปลี่ยนชุด
การส่งพระบรมศพฮ่องเต้เพื่อประกอบพิธีการฝัง ย่อมต้องสวมอาภรณ์สีเรียบไม่ฉูดฉาด
เซี่ยฟางหวาเปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงสีขาวไร้ลวดลาย ฉินอวี้มิได้แย้งอันใด ทั้งสองออกมาจากตำหนักด้วยกัน
นอกตำหนักบรรทมอดีตฮ่องเต้ ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว เหลือเพียงรอฤกษ์มาถึงค่อยส่งโลงพระบรมศพอดีตฮ่องเต้ออกจากวังหลวงไปยังราชสุสาน
ขุนนางบุ๋นบู๊ โอรสลูกท่านหลานเธอ ครอบครัวขุนนางในราชสำนัก และพระสนมในวังหลังแบ่งออกเป็นสองแถว ต่างก้มหน้าก้มตาเงียบสงบ รอจนถึงฤกษ์งามยามดี
ราชรถหยกของฮ่องเต้ถูกเตรียมพร้อมแล้ว ขบวนหงส์ของไทเฮาก็เตรียมพร้อมแล้วเช่นกัน
หลังฉินอวี้กับเซี่ยฟางหวามาถึง ทุกคนก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมเพรียง เมื่อเห็นเซี่ยฟางหวาที่อยู่ข้างกายพระองค์ก็รีบก้มหน้าลงอีกครั้ง แล้วเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
นอกจากไทเฮา อิงชินอ๋องและพระชายาแล้ว ทุกคนล้วนคุกเข่าก้มคำนับกับพื้น
“ตามสบาย” ฉินอวี้ยกพระหัตถ์ ก่อนยื่นมือให้เซี่ยฟางหวา บอกให้นางขึ้นราชรถหยก
เซี่ยฟางหวามิได้ลังเลแต่อย่างใด วางมือทับบนมือเขา ก่อนขึ้นไปบนราชรถหยกด้วยกัน
พระชายาเห็นเช่นนี้ก็ก้าวขึ้นมาคิดเอ่ยห้าม ทว่าอิงชินอ๋องรั้งมือนางไว้ สื่อทำนองว่ามิให้นางผลีผลาม พระชายาจึงหยุดเท้าโดยพลัน มองราชรถหยกที่ปิดม่านลงแล้ว ก่อนลอบถอนหายใจออกมา
“ถึงฤกษ์แล้ว เดินขบวน” มีคนตะโกนขึ้นเสียงดัง
ราชรถหยกของฮ่องเต้นำหน้า ตามมาด้วยโลงพระบรมศพ ขุนนางบุ๋นบู๊และคนอื่นๆ ตามหลังโลงพระบรมศพ เคลื่อนตัวออกจากประตูวังหลวง
ประชาชนริมถนนต่างคุกเข่าลงกับพื้นตลอดสองข้างทาง ส่งขบวนขนพระบรมศพออกจากประตูเมืองด้วยความอึกทึกครึกโครม มุ่งหน้าไปยังราชสุสาน
ม่านบนราชรถหยกถูกลมพัดไหว เผยให้เห็นใบหน้าของเซี่ยฟางหวาที่นั่งอยู่ข้างฉินอวี้เลือนราง
ตั้งแต่รัชทายาทพาคุณหนูฟางหวากลับเมือง ทั้งราชสำนักและประชาชนแม้ไม่มีผู้ใดสอดปากกล่าว ทว่าก็พากันแอบคาดเดา ใช่รัชทายาทถอนหมั้นกับคุณหนูจวนเสนาบดีฝ่ายขวาเพื่อคุณหนูฟางหวาหรือไม่ หลังอดีตฮ่องเต้สวรรคต คุณหนูฟางหวาแม้มิเคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน แต่ทราบดีว่านางพักที่ตำหนักของอดีต
รัชทายาท ยามนี้ส่งพระบรมศพอดีตฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์ใหม่เชิญขึ้นราชรถหยกเพื่อไปส่งอดีตฮ่องเต้ด้วยพระองค์เอง แม้มิได้ประกาศต่อใต้หล้า แต่ความหมายแฝงในจุดนี้นั้นชัดแจ้งดั่งได้ประกาศแล้ว
คุณหนูฟางหวาเดิมเป็นพระชายาน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋อง หลังป่าวประกาศทั่วใต้หล้าว่าหย่าร้างแล้วนั้น ยามนี้ก็นั่งราชรถหยกคันเดียวกับจักรพรรดิองค์ใหม่
เรื่องแบบนี้ เรียกได้ว่ามิเคยปรากฏขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์หนานฉิน
นับแต่โบราณมามีเพียงฮองเฮาเท่านั้นที่จะนั่งราชรถไปด้วยกันได้
ทว่าขุนนางที่เคร่งครัดจริยธรรมในราชสำนัก กลับไม่มีผู้ใดสอดปากวิจารณ์เรื่องนี้เลยแม้แต่คนเดียว หาได้ยากอย่างยิ่ง
เนื่องด้วยรัชทายาทฉินอวี้คนนี้เป็นที่รักของราษฎรเสมอมา ผนวกกับคลี่คลายวิกฤตการณ์ในเมืองหลินอันได้ จึงได้รับการเทิดทูนสูงที่สุดในหมู่ประชาชน ราษฎรริมทางพากันตะโกนเสียงดังขึ้น “อดีตฮ่องเต้ไปสู่สุขคติ จักรพรรดิองค์ใหม่อายุยืนหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
เสียงตะโกนทยอยดังขึ้นไม่ขาดสายตลอดทางออกจากเมือง
ขบวนเคลื่อนตัวออกจากเมือง มุ่งหน้าไปยังราชสุสานฮ่องเต้ในภูเขาประจิมซึ่งเป็นทางทอดยาวคดเคี้ยวสิบกว่าลี้
ราชสุสานห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลนัก แต่ก็มิได้ใกล้เช่นกัน เดินทางกว่าครึ่งวันกว่าจะมาถึง
เมื่อขบวนหยุดลง ฉินอวี้กับเซี่ยฟางหวาก็ลงจากราชรถหยก คนเฝ้าราชสุสานเปิดประตูให้ ฤกษ์งามยามดีมาถึงพอดี
ฉินอวี้ออกคำสั่งเริ่มพระราชพิธีเฟิ่งอัน*[1]ทันที
เมื่อพระราชพิธีเฟิ่งอันจบลง ฉินอวี้พร้อมด้วยฉินชิงและองค์ชายคนอื่นๆ ก็นำโลงพระบรมศพไปวางบนแท่นบรรทมในตำหนักใต้ดินของราชสุสาน จากนั้นก็ปิดประตูศิลา ก่ออิฐปิดผนึกอย่างว่องไว อุดทางออกตำหนักให้สนิท
หลังจากนั้นก็พักผ่อนครู่หนึ่ง ก่อนเริ่มพระราชพิธีอวี๋จี้**[2]
หลังพระราชพิธีอวี๋จี้จบลง ฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว
“ฝ่าบาท พระราชพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว จะรีบเดินทางกลับเมืองเลย หรือว่าจะพักที่ตำหนักราชนิเวศน์นอกราชสุสานคืนหนึ่ง แล้วพรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับพ่ะย่ะย่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายก้าวขึ้นมาเอ่ยถาม
“ทุกคนต่างเหนื่อยล้ากันแล้วกระมัง คืนนี้พักที่นี่หนึ่งคืน พรุ่งนี้ค่อยกลับเมืองแล้วกัน” ฉินอวี้ตอบ
เสนาบดีฝ่ายซ้ายผงกศีรษะ ก่อนถอยกลับออกไป
[1] *พระราชพิธีเฟิ่งอัน ชื่อเรียกพิธีฝั่งพระบรมศพฮ่องเต้
[2] **พระราชพิธีอวี๋จี้ ชื่อเรียกพิธีเซ่นไหว้หลังฝังพระบรมศพเสร็จแล้ว