จารใจรัก - ตอนที่ 117-2 ล่องทะเลสาบสนทนา
ทั้งหมดสนทนาเรื่อยเปื่อยอีกพักหนึ่ง กระทั่งเรือแล่นมาถึงใจกลางทะเลสาบ นกยวนยางหลายตัวกำลังหยอกล้อกันอยู่ตรงนั้น เมื่อเรือแล่นมามันก็ตกใจจนแยกกันหนี
เยี่ยนถิงหันไปมองด้านนอก เห็นเช่นนี้ก็เอ่ยขึ้น “กล่าวกันว่านกยวนยางอาศัยอยู่กันเป็นคู่ บินเคียงข้างคู่กัน ทว่าแค่การเคลื่อนไหวเล็กน้อยขนาดนี้ต่างก็แยกย้ายกันหนีไปแล้ว บ่งบอกว่านกยวนยางมิใช่สัตว์นำโชคที่อยู่กันเป็นคู่”
“เจ้าไปเป่ยฉีกลับมารอบหนึ่ง เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาได้มากเสียจริง เมื่อก่อนเหยียดหยามความคิดเช่นนี้ที่สุด ยามนี้กลับละเอียดอ่อนขึ้นมาแล้ว” หลี่มู่ชิงหลุดยิ้ม
เยี่ยนถิงถอนหายใจออกมา “ดอกบัวนี้มิได้น่าดูนัก” พูดจบก็กล่าวกับฉินอวี้ “ฝ่าบาท พวกท่านชมแวบหนึ่งก็พอแล้ว ท้องกระหม่อมหิวจะแย่ หากพระองค์ยังอยากให้กระหม่อมเป็นกำลังให้ราชสำนักในอนาคตก็มิควรปล่อยให้ขุนนางของพระองค์หิวโซนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอวี้ยิ้มเล็กน้อย มิตอบรับเขา แต่มองไปยังเซี่ยฟางหวาแล้วถามเสียงอบอุ่น “หากเจ้ายังอยากชมอีกพักหนึ่ง ข้าจะให้คนนำเรืออีกลำส่งพวกเขากลับไปทานมื้อกลางวัน”
“ไม่ต้องแล้ว กลับกันเถิด” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “บัวเหล่านี้บานเต็มที่แล้ว แต่ก็ใกล้จะหุบแล้วเช่นกัน”
“อีกสองเดือนข้างหน้าก็ชมดอกกุ้ยฮวาได้แล้ว” ฉินอวี้พูด “ดอกไม้แต่ละพันธุ์ล้วนผลิบานคนละฤดู แต่ละฤดูก็มีทิศทัศน์ให้ชมต่างกัน หุบแล้วปีหน้าก็ค่อยมาดูใหม่”
“ก็จริง” เซี่ยฟางหวายิ้มแล้วพยักหน้า
ฉินอวี้สั่งกลับเรือ
เมื่อมาถึงริมทะเลสาบพร้อมลงจากเรือแล้ว ฉินอวี้ก็มีคำสั่งให้จัดมื้อกลางวันที่ศาลาชมทิวทัศน์ในอุทยานหลวง เชิญหลี่มู่ชิง เยี่ยนถิง และชุยอี้จือทานอาหารร่วมกัน ซึ่งทั้งสามก็มิได้ปฏิเสธ
ระหว่างมื้อกลางวัน ทุกคนก็คุยกันเรื่องเตรียมสวัสดิการเสบียงทหารกับการเกณฑ์ทหาร รวมถึงหลังราชาภิเษกแล้วจะบริหารบ้านเมืองและสร้างความสุขให้ราษฎรอย่างไร
หลังมื้อกลางวันจบลง หลี่มู่ชิง เยี่ยนถิง และชุยอี้จือก็ขอตัวกลับ
ฉินอวี้ส่งเซี่ยฟางหวากลับไปพักผ่อนที่ตำหนัก ส่วนตนเองก็เริ่มจัดการสาส์นกราบทูลข้อราชการต่อ
เยี่ยนถิงออกมาจากวังหลวง พบฮูหยินหย่งคังโหวกับเยี่ยนหลันรออยู่หน้าประตูวัง เขาเห็นมารดาครรภ์โตก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนเร่งฝีเท้าเข้ามาหาแล้วส่งเสียงเรียก “ท่านแม่”
ฮูหยินหย่งคังโหวน้ำตาไหลพลางพยักหน้ารับ มองเยี่ยนถิงเขม็งราวกับมิได้พบหลายปีแล้ว
“ไฉนถึงไม่รอข้าในจวน อากาศร้อนถึงเพียงนี้ ระวังเป็นไข้แดด” เยี่ยนถิงก้าวขึ้นมาประคองนาง ก่อนมองเยี่ยนหลันด้วยสายตาตำหนิ “เจ้าก็ไม่โน้มน้าวบ้าง”
“ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้ว ในสายตาท่านแม่ข้าก็มิได้เป็นลูกรักแล้ว พอทราบว่าท่านเข้าเมืองมาแล้ว นางไหนเลยยังนั่งรออยู่ในจวน ข้าโน้มน้าวก็ไม่ยอมฟังจึงได้แต่ตามนางมารออยู่ตรงนี้ด้วย” เยี่ยนหลันมอง
เยี่ยนถิงด้วยแววตาไม่พอใจ
“ไปกันเถอะ กลับจวนกันก่อน” เยี่ยนถิงบอก
ฮูหยินหย่งคังโหวเห็นบุตรชายแล้วก็คิดว่าเมื่อก่อนตนทำผิดไปจริงๆ บุตรชายหนีไปครั้งนั้นแล้วกลับมา ยามนี้เมื่อได้พบเขาก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เมื่อยืนอยู่กับหลี่มู่ชิงแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวากับคุณชายรองตระกูลชุยแห่งชิงเหอก็ยังสู้ได้ นางพยักหน้าด้วยความดีใจ “อย่าตำหนิน้องสาวเจ้าเลย”
เยี่ยนถิงเดิมทีมิได้ตำหนิเยี่ยนหลันเอาจริงเอาจัง หันกลับไปบอกลาหลี่มู่ชิงกับชุยอี้จือ
ทั้งสองยิ้มแล้วก้าวขึ้นมาทำความเคารพฮูหยินหย่งคังโหว ประสานมือคำนับ ก่อนมองส่งเยี่ยนถิง เยี่ยนหลัน และฮูหยินหย่งคังโหวขึ้นรถม้าไป
หลังทั้งสามกลับไปแล้ว หลี่มู่ชิงก็เอ่ยถามชุยอี้จือ “รองราชเลขาชุยจะกลับจวนหรือไปยังจวนอิงชินอ๋องก่อนหรือ”
“ข้าจะไปจวนอิงชินอ๋องก่อน ท่านป้าคงอยากรู้ความเป็นอยู่ของท่านพี่ตลอดหลายวันนี้” ชุยอี้จือตอบ
“ดีเหมือนกัน ข้าเองก็จะไปจวนอิงชินอ๋องก่อนแล้วค่อยกลับจวน ไปด้วยกันเถิด” หลี่มู่ชิงกล่าว
ชุยอี้จือพยักหน้า
ทั้งสองเดินไปยังจวนอิงชินอ๋อง
ภายในจวนอิงชินอ๋อง อิงชินอ๋องกับพระชายาทราบว่าหลี่มู่ชิง เยี่ยนถิง และชุยอี้จือเข้าเมืองมาแล้วจึงส่งคนไปสืบข่าวที่วังหลวง ทราบว่าทั้งสามทานอาหารเสร็จแล้วก็ออกจากวัง กำลังจะส่งคนไปเชิญ หลี่มู่ชิงกับชุยอี้จือก็มาถึงพอดี
พระชายาอิงชินอ๋องเห็นทั้งสองก็รีบถาม “เจ้าหลี่ อี้จือ เจิงเอ๋อร์ไปไหนเล่า ไฉนถึงไม่กลับมาพร้อมพวกเจ้าด้วย”
หลี่มู่ชิงกับชุยอี้จือทำความเคารพพระชายาอิงชินอ๋อง
ชุยอี้จือเล่าเรื่องหลังออกจากลำน้ำสวินสุ่ยแล้วฉินเจิงก็แยกกับพวกตนไปเพียงลำพังให้ฟังรอบหนึ่ง
พระชายาอิงชินอ๋องฟังจบก็ขมวดคิ้ว “เขาคนเดียวแยกไปเพียงลำพัง จะไปที่ไหนได้ เขามิได้บอกพวกเจ้าจริงหรือว่าไปที่ไหน”
ชุยอี้จือส่ายหน้า หลี่มู่ชิงก็ส่ายหน้าเช่นกัน
พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา “เด็กคนนี้ชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงเสียจริง” ก่อนถามอีกว่า “หลายวันนั้นพวกเจ้าอยู่ที่ลำน้ำสวินสุ่ย คงยังมิทราบเรื่องอดีตฮ่องเต้สวรรคต”
“ทราบแล้ว ข่าวภายนอกล้วนมีคนมารายงานที่ลำน้ำสวินสุ่ยทุกวัน เซี่ยอวิ๋นหลานมิได้ปิดบังพวกเรา” ชุยอี้จือตอบ “ท่านพี่ทราบว่าอดีตฮ่องเต้จากไปแล้ว บอกว่าแผ่นดินหนานฉินในตอนนี้ พระองค์จากไปก็สบายตัว ถึงรีบกลับมาคงไม่ทัน จึงมิได้รีบกลับมา”
พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า
“เหตุใดพวกเจ้าถึงอยู่ที่ลำน้ำสวินสุ่ยนานนัก” อิงชินอ๋องไม่เข้าใจ
“ข้าเองก็มิทราบ ท่านพี่ไปถึงลำน้ำสวินสุ่ยก็มิยอมจากไปไหน กระทั่งเซี่ยอวิ๋นจี้กับพี่มู่ชิงตามไปพบ พวกเราถึงได้ออกจากลำน้ำสวินสุ่ย” ชุยอี้จือส่ายหน้า
“เมืองหลินอันตกอยู่ในวิกฤต เป่ยฉีระดมกำลัง เขากลับอยู่ที่ลำน้ำสวินสุ่ยมิไปไหน เข้าใจยากโดยแท้ ดูท่าคงต้องรอพบเขาถึงจะทราบ” อิงชินอ๋องถามอีก “เขาบอกหรือไม่ว่าจัดการธุระเสร็จเมื่อไรถึงจะกลับมา”
ชุยอี้จือส่ายหน้า
“แล้วเขาทราบหรือยังว่าฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งฮองเฮาวันราชาภิเษก” อิงชินอ๋องถามอีก
ชุยอี้จือพยักหน้า “หลังออกจากลำน้ำสวินสุ่ยก็ทราบข่าวแล้ว ตอนนี้เผยแพร่ไปทั่วใต้หล้า ต่างเอ่ยถึงเรื่องฮ่องเต้องค์ใหม่กับคุณหนูฟางหวา”
“ราษฎรพวกนี้ชอบพูดสนุกปากเสียจริง แค่ลมพัดใบหญ้าก็เคลื่อนไหวกันแล้ว เรื่องที่ยังมิได้รับการยืนยัน กลับลือกันเสมือนไฟโหมไหม้” พระชายาอิงชินอ๋องมีโทสะ
“ฮ่องเต้องค์ใหม่ราชาภิเษกเป็นเรื่องใหญ่ การแต่งตั้งฮองเฮาก็เป็นเรื่องใหญ่ เหล่าราษฎรจะลือกันก็เป็นเรื่องปกติ” อิงชินอ๋องบอก
พระชายาอิงชินอ๋องถามอีก “ตอนเจิงเอ๋อร์ได้ยินเรื่องฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งฮองเฮาวันราชาภิเษก เขาแสดงออกอย่างไรบ้าง”
ชุยอี้จือครุ่นคิด ก่อนหันไปมองหลี่มู่ชิง
หลี่มู่ชิงถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยขึ้น “คล้ายกับหัวเราะ”
“อะไรนะ” พระชายาอิงชินอ๋องชะงัก
หลี่มู่ชิงหันไปมองชุยอี้จืออีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
ชุยอี้จือพยักหน้ายืนยันอีกเสียง “เหมือนว่าตอนนั้นหัวเราะจริงๆ”
“เด็กคนนี้ ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่” พระชายาอิงชินอ๋องเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
อิงชินอ๋องยิ่งไม่เข้าใจ
ทั้งคู่ซักถามเช่นนี้ไปอีกเป็นนาน ทราบเพียงฉินเจิงปลอดภัยและอยู่ที่ลำน้ำสวินสุ่ยตลอดเวลา ส่วนเหตุใดเขาถึงมิรีบกลับเมืองหลวง หากแต่ไปทำธุระอื่นนั้นยังมิทราบแน่ชัด ส่วนเรื่องฉินอวี้จะแต่งตั้งเซี่ยฟางหวาเป็นฮองเฮาในวันราชาภิเษกนั้นก็ยิ่งเข้าใจยาก มิได้ทราบข่าวที่เป็นประโยชน์เลย
แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่สบายใจก็คือ ฉินเจิงทราบเรื่องฉินอวี้จะทรงแต่งตั้งฮองเฮาวันราชาภิเษกแล้ว ในเมื่อทราบแล้ว ลำดับต่อไปก็ต้องขึ้นอยู่กับเขาแล้ว เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็มิอาจช่วยเหลือได้
หลังทั้งสี่คนสนทนากันได้พักหนึ่ง พระชายาอิงชินอ๋องก็ถามหลี่มู่ชิง “เจ้าหลี่ ถึงอย่างไรเจ้ากับฟางหวาก็สนิทสนมกัน เจ้ากลับเมืองมาครั้งนี้ได้พบนางแล้วกระมัง”
“ได้พบแล้ว” หลี่มู่ชิงพยักหน้า
“เจ้ารู้สึกว่านางมีบางสิ่งเปลี่ยนไปหรือไม่” พระชายาอิงชินอ๋องถาม
หลี่มู่ชิงครุ่นคิดก่อนพยักหน้าตอบ “เปลี่ยนไปจริงๆ หลักๆ คือทัศนคติที่มีต่อฝ่าบาท เมื่อก่อนนางมิชอบฝ่าบาท เข้าขั้นรังเกียจเลยด้วยซ้ำ เวลาพบฝ่าบาทก็มักพูดจาด้วยความแข็งกระด้างยิ่ง ทว่ายามนี้กลับพูดจานุ่มนวล นิสัยอ่อนโยน บางครั้งที่ทั้งสองพูดคุยกันยังมีหยอกล้อกันบ้าง หากเป็นเมื่อก่อนคงเป็นไปมิได้”
พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็กลุ้มใจ “หรือว่านางค้นพบแล้วว่าตัวเองกับฉินเจิงเข้ากันมิได้ จึงชอบฝ่าบาทเข้าแล้ว” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “อีกอย่างหวาเอ๋อร์มีนิสัยอ่อนโยน ฝ่าบาทก็มีนิสัยอ่อนโยน พวกเขามีจุดที่เหมือนกันจริงๆ แต่เจิงเอ๋อร์…เฮ้อ”
“อาจเป็นเพราะอดีตฮ่องเต้จากไปแล้ว ฝ่าบาทก็ทรงแสดงออกชัดเจนว่ามิได้จะลงมือกับตระกูลเซี่ย ดังนั้นทั้งสองจึงปรองดองกันกระมัง” หลี่มู่ชิงกล่าว “ถึงอย่างไรจุดอ่อนของฟางหวาคือตระกูลเซี่ย”
“หวังว่ากระมัง” พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา
หลี่มู่ชิงกับชุยอี้จือตอบข้อสงสัยกับพระชายาอิงชินอ๋องหนึ่งชั่วยาม ก่อนแยกย้ายกันกลับจวน
หลังทั้งสองกลับไปแล้ว พระชายาอิงชินอ๋องก็เอ่ยขึ้น “เจิงเอ๋อร์ของเรามิใช่คนที่จะยอมอยู่ว่างๆ ในสถานที่แห่งหนึ่งนานๆ หลายวันนี้เขามิยอมไปจากลำน้ำสวินสุ่ยแห่งนั้น ต้องมีสาเหตุเป็นแน่”
อิงชินอ๋องพยักหน้าเห็นด้วย