จารใจรัก - ตอนที่ 118-1 วันราชาภิเษก
วันเดียวกันกับที่เยี่ยนถิงกลับจวนนั้นเอง หย่งคังโหวก็ทำงานที่ฉินอวี้มอบหมายให้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน และเดินทางกลับจากราชสุสาน
หลังหย่งคังโหวเข้าเมืองมา แม้อยากรีบไปหาเยี่ยนถิงแต่ก็อดทนไว้ แล้วเข้าวังไปรายงานฉินอวี้ก่อน
ผลของการจัดการคือ ลดขั้นองค์ชายสามกับองค์ชายห้าเป็นสามัญชน ส่วนหลิ่วไท่เฟยกับเฉินไท่เฟย
อยู่ที่ราชสุสานเพื่อเฝ้าวิญญาณของบรรพบุรุษและอดีตฮ่องเต้
ฉินอวี้พยักหน้าพึงพอใจต่อการจัดการเรื่องนี้ ก่อนเอ่ยกับหย่งคังโหวด้วยความนุ่มนวล “ท่านโหวลำบากแล้ว รีบกลับจวนไปเถิด เยี่ยนถิงกลับมาแล้ว”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” หย่งคังโหวเห็นฝ่าบาททรงพึงพอใจก็โล่งอก รีบออกมาจากวังหลวง
หลังกลับถึงจวน หย่งคังโหวได้พบเยี่ยนถิงแล้ว แม้มิได้สะอื้นไห้ด้วยความดีใจอย่างฮูหยินหย่งคังโหว แต่เห็นการเปลี่ยนแปลงของเขาก็ปลื้มอกปลื้มใจอย่างยิ่ง
วันที่สอง ฉินอวี้กับเหล่าขุนนางหารือราชการกัน ทรงมีคำสั่งให้ยืดเวลาเรื่องกองกำลังเสริมที่พรมแดนม่อเป่ยไปก่อน และมอบหมายหน้าที่สำคัญให้หลี่มู่ชิงกับเยี่ยนถิงที่เพิ่งกลับมา
เหล่าขุนนางย่อมมิได้โต้แย้ง
หลังเลิกว่าราชการยามเช้า เสี่ยวเฉวียนจื่อนำพระราชโองการของฉินอวี้ไปยังจวนเสนาบดีฝ่ายขวาและจวนหย่งคังโหวตามลำดับ
หลี่มู่ชิงเข้าสำนักฮั่นหลิน เยี่ยนถิงเข้ากรมขุนนาง
แม้ฉินอวี้มิได้มอบตำแหน่งขุนนางอย่างเป็นทางการให้แก่ทั้งสอง แต่กลับมีคำสั่งว่านับจากวันนี้เป็นต้นไป เรื่องใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมสวัสดิการเสบียงทหาร หรือการคัดเลือกผู้มีพรสวรรค์เข้ารับตำแหน่ง จะมอบอำนาจการตัดสินใจทั้งหมดให้กับทั้งสอง
หลังพระราชโองการเช่นนี้ประกาศลงมา ขุนนางในราชสำนักต่างแอบกลั้นหายใจ
หลังหลี่มู่ชิงกับเยี่ยนถิงลับมาก็ได้รับหน้าที่นี้ บ่งบอกว่าภายภาคหน้าฝ่าบาทจะทรงมอบตำแหน่งสำคัญให้แก่ทั้งสอง แม้มิได้บอกว่าเป็นขุนนางตรงๆ แต่ก็ทำงานแทนโอรสสวรรค์ บอกขุนนางในสำนักฮั่นหลินกับกรมขุนนางว่าให้สนับสนุนทั้งสองคนอย่างเต็มที่
นับจากนี้ในราชสำนักจะมีขุนนางซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญเพิ่มอีกสองท่าน ท่านหนึ่งคือใต้เท้าหลี่ อีกท่านหนึ่งคือใต้เท้าเยี่ยน
ขุนนางเกินครึ่งในราชสำนักล้วนประหลาดใจ สมัยฝ่าบาทยังทรงมีฐานะเป็นรัชทายาท หลี่มู่ชิงกับพระองค์มิได้สนิทสนมกันมากนัก ในทางกลับกัน เขากลับสนิทสนมกับฉินเจิงมากกว่า ส่วนเยี่ยนถิงก็เป็นคนฝ่ายฉินเจิง ไม่ถูกชะตากับฉินอวี้เหมือนฉินเจิงทุกประการ ไม่นึกเลยว่ายามนี้กลับมอบหน้าที่สำคัญให้ และทั้งสองก็เต็มใจที่จะทำหน้าที่นี้
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเจิงยังไร้ซึ่งข่าวคราว มิทราบว่าไปที่ใด มิได้กลับเมืองมาพร้อมกัน
ส่วนอดีตพระชายาน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋อง ยามนี้ยังพำนักอยู่ในวังหลวง หากกำหนดวันราชาภิเษกไม่มีการเปลี่ยนแปลง ฝ่าบาทก็จะทรงแต่งตั้งฮองเฮาพร้อมกันด้วย
ขุนนางในราชสำนักลอบคาดเดา ต่างรู้สึกแบบเดียวกันว่าแก่แล้ว ไม่เข้าใจราชสำนักภายในการปกครองของอนุชนรุ่นเยาว์อีกต่อไป
เจ็ดวันให้หลัง เทียบยาที่เซี่ยฟางหวาเขียนให้ฉินหวนก็ครบกำหนดพอดี
เซี่ยฟางหวาบอกซื่อฮว่าให้ไปพาฉินหวนมาหาตน เมื่อถึงยามเที่ยงตรงก็ดูเขาดื่มยาชุดสุดท้าย
หลังดื่มยาชุดสุดท้ายลงท้องแล้วเซี่ยฟางหวาก็ตรวจชีพจรให้ฉินหวน พักใหญ่ต่อมาก็บอกซื่อฮว่า “ไปปิดประตูตำหนัก นำบาตรใส่หนอนจงที่หาพบบนตัวปรมาจารย์มาด้วย”
ซื่อฮว่าพยักหน้าแล้วเดินไปปิดประตูตำหนัก ก่อนหยิบบาตรมาให้เซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวากวักมือเรียกฉินหวนมายืนตรงหน้าตนแล้วเอ่ยขึ้น “ยื่นมือออกมา ส่งนิ้วชี้มาให้ข้าแล้วหลับตาลง ประเดี๋ยวไม่ว่ารู้สึกถึงสิ่งใดก็ไม่ต้องกลัว”
ฉินหวนอยู่ในวังหลวงมาเจ็ดวันจึงเลิกหวาดกลัวเซี่ยฟางหวาแล้ว ทั้งยังรู้สึกว่านางดีมาก ด้วยเหตุนี้จึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ทำตามที่นางบอกด้วยการยื่นมือออกไปหา ส่งนิ้วชี้ให้นาง แล้วหลับตาลง
เซี่ยฟางหวาจับมือเขาไว้หลวมๆ กลางฝ่ามือปรากฏพลังสีดำจางๆ ออกมาพันรอบนิ้วชี้ของเขา
“คุณหนู คุณชายเหยียนเฉินบอกไว้แล้วว่าภายในครึ่งปี ห้ามท่านบุ่มบ่ามใช้วิชาภูต…” ซื่อฮว่าเห็นแล้วก็รีบเอ่ยเตือน
เซี่ยฟางหวายกมือปรามมิให้นางพูดต่อ แล้วกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “มิได้ใช้พลังจากต้นกำเนิด เพียงแค่ล่อหนอนจงในตัวเขาออกมาเท่านั้น มิได้อันตรายเลยแม้แต่น้อย ไม่ต้องกังวลหรอก”
ซื่อฮว่าได้ยินเช่นนั้นก็เงียบเสียงลง
ผ่านไปพักหนึ่งก็มีเส้นด้ายโลหิตไต่ขึ้นมายังนิ้วชี้ของฉินหวน ต่อมาบริเวณท้องนิ้วก็ถูกเจาะเป็นรูเล็กๆ ชั่วพริบตามันก็เลื้อยออกมาจากนิ้วชี้ของเขาอย่างเชื่องช้า ก่อนดูดซึมพลังสีดำที่พันรอบนิ้วชี้เขาอย่างรวดเร็ว
นี่คือหนอนจงเลือดขนาดเล็กยิ่ง ท้องมันค่อนข้างกลมอ้วน ดูแล้วน่ารักไม่หยอก
ซื่อฮว่าเบิกตากว้าง มิกล้าแม้แต่จะหายใจแรง
เซี่ยฟางหวาเปิดฝาบาตร ม้วนปลายนิ้วแผ่วเบา พลังสีดำเข้าพันรอบหนอนตัวเล็กสีเลือดตัวนั้น แล้วนำมันใส่ลงไปในบาตร
ทันทีที่ปิดฝาบาตรแล้วถอนพลังสีดำกลับมา คลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินการเคลื่อนไหวประท้วงด้วยความไม่พอใจดังแว่วมาจากด้านใน
เซี่ยฟางหวาปิดฝาบาตรให้เรียบร้อย ก่อนลูบศีรษะฉินหวน “เอาล่ะ ลืมตาได้แล้ว”
ฉินหวนลืมตาขึ้นเชื่องช้า มองบาตรในมือเซี่ยฟางหวาอย่างใคร่รู้
“ตอนนี้เจ้าหายดีแล้ว กลับไปแม่เจ้าได้ ข้าจะให้คนพาเจ้ากลับไปหาท่านแม่ดีหรือไม่” เซี่ยฟางหวาส่งยิ้มให้เขา
ฉินหวนพยักหน้า เผยความอาวรณ์เล็กน้อย กล่าวเสียงเบา “แต่ข้าอาวรณ์ท่านนี่นา”
“แม่เจ้าอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ มิได้อยู่ไกลนัก พอกลับจวนไปหาแม่เจ้าแล้ว ถ้าคิดถึงข้าก็ยังมาหาข้าได้ทุกเมื่อ” เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม
ฉินหวนดีใจขึ้นมาทันที พยักหน้าพัลวัน ใบหน้าเล็กกลับมาเปล่งประกายดังเดิม
“พาเขาไปหาฉินอวี้ก่อน จากนั้นเขาจะให้คนพาไปส่งที่จวนอวี้เชียนอ๋องเอง” เซี่ยฟางหวาบอกซื่อฮว่า
ซื่อฮว่าพยักหน้า ก่อนจูงมือฉินหวนออกไป
ฉินอวี้กำลังหารือกับหลี่มู่ชิง เยี่ยนถิง และชุยอี้จือในห้องทรงอักษร หลายวันนี้ทั้งสามคนพอจะคิดหาทางเตรียมสวัสดิการเสบียงทหารได้เป็นรูปเป็นร่างแล้ว จึงนำมาหารือร่วมกับฉินอวี้
หลังซื่อฮว่ามารายงาน ฉินอวี้ก็แสดงอาการแปลกใจเล็กน้อย “ฉินหวนหายแล้วหรือ หนอนจงในตัวเขาออกมาแล้ว”
“คุณหนูนำมันออกมาแล้วเพคะ” ซื่อฮว่าพยักหน้า
ฉินอวี้เห็นว่าใบหน้าฉินหวนมีเลือดฝาด ดูท่าทางแข็งแรงอย่างยิ่ง จึงเอ่ยถาม “หลังดื่มยาแล้วมันออกมาเองหรือว่านางเป็นคนดึงออกมา”
“คุณหนูดึงออกมาเพคะ” ซื่อฮว่าตอบ
“โดยใช้วิชาภูตผี?” ฉินอวี้ขมวดคิ้วโดยพลัน
ซื่อฮว่าพยักหน้าตอบ
“เหยียนเฉินบอกไว้แล้วมิใช่หรือ ภายในครึ่งปีห้ามนางใช้วิชาภูตผี ไฉนนางถึงยังใช้มันอีก เหตุใดเจ้าถึงไม่ห้ามนาง” ฉินอวี้ผุดลุกขึ้นยืน
ซื่อฮว่าตอบเสียงเบา “คุณหนูบอกว่าแค่ล่อหนอนออกมาเท่านั้น มิได้สะเทือนแม้แต่น้อย ดังนั้น…”
“ถึงแบบนั้นก็มิได้” ฉินอวี้เอ่ยพลางก็เดินออกไปด้วยความว่องไว “ข้าจะไปดูนาง” เมื่อเดินไปไม่กี่ก้าวก็หันกลับมาสั่งงาน “เสี่ยวเฉวียนจื่อ เจ้ารีบพาฉินหวนกลับไปส่งที่จวนอวี้เชียนอ๋อง” เอ่ยจบ พบว่าหลี่มู่ชิง
เยี่ยนถิง และชุยอี้จือล้วนกำลังมองตน เขาจึงโบกมือ “วันนี้ไว้เท่านี้ก่อน” เอ่ยจบก็ออกจากห้องทรงอักษร
เสี่ยวเฉวียนจื่อรีบพาฉินหวนออกจากวัง
ซื่อฮว่ารีบตามฉินอวี้ไป
หลี่มู่ชิง เยี่ยนถิง และชุยอี้จือมองหน้ากัน แม้มิค่อยเข้าใจนักว่าเกิดอันใดขึ้น แต่ก็ทราบดีว่าเกี่ยวกับการที่เซี่ยฟางหวาใช้วิชาภูตผี แต่ว่าสถานที่ที่นางพำนักคือวังหลัง พวกเขาสามคนเป็นคนนอก หากฉินอวี้มิได้เป็นคนนำทางไปเองก็ไม่สะดวกเข้าไปโดยพลการ
ทั้งสามออกจากห้องทรงอักษร มองไปยังทางวังหลัง
อาคารตำหนักทับซ้อน ระเบียงทอดตัวลึก เพียงมองดูไม่เห็นถึงข้างใน และยิ่งมองไม่เห็นปลายทาง
ทั้งสามทำได้เพียงพักเรื่องที่ต้องหารือกับฉินอวี้ไว้ก่อน แล้วออกจากวังหลวงไป
เมื่อออกมานอกประตูวัง เยี่ยนถิงหันกลับไปมองแวบหนึ่งแล้วพึมพำขึ้น “มิทราบจริงๆ ว่าราชอุทยานชั้นในของวังหลวงมีดีตรงไหน ลึกจนมองไม่เห็นปลายทาง ไหนเลยจะมีอิสระเท่าอยู่นอกวัง”
“บางทีอาจมีเหตุผลจำเป็น” หลี่มู่ชิงถอนหายใจ
เยี่ยนถิงมิแสดงความเห็น เสนอแนะขึ้น “ตั้งแต่กลับมาก็ยังมิได้ไปเยือนไหลฝูโหลวสักครา ไปกันเถิด ในเมื่อวันนี้เสร็จธุระแล้ว ไปดื่มกันสักหน่อยดีกว่า”
“ก็ดีเหมือนกัน” หลี่มู่ชิงพยักหน้า
ชุยอี้จือมิได้เห็นต่าง
ทั้งสามไปยังไหลฝูโหลวด้วยกัน