จารใจรัก - ตอนที่ 119-1 ฉินเจิงกลับมา
เสียงบรรเลงดนตรีในพระราชพิธีราชาภิเษกของฮ่องเต้ดังก้องทั่วทั้งวังหลวง
ซื่อฮว่า ซื่อม่อ ซื่อหลาน ซื่อหว่าน ผิ่นจู๋ ผิ่นชิง ผิ่นเซวียน และผิ่นเหยียนแปดคนมองเสื้อคลุมสีแดงสดลายหงส์ของฮองเฮาที่แม้ชื่นชมความงดงามอันน่าตกตะลึง ทว่าแต่ละคนก็ปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง ในวันมงคลแบบนี้ ท่ามกลางเสียงดนตรีบรรเลงทั่วพระราชวัง กลับไม่เกิดความรู้สึกปีติยินดีขึ้นมาแม้แต่น้อย
หลังฉินอวี้ออกไป ไทเฮาก็เสด็จมายังตำหนักบรรทม
นี่เป็นครั้งแรกที่ไทเฮาเสด็จมาพบเซี่ยฟางหวาหลังนางเข้าวังหลวงมา
ไทเฮาแย้มสรวลอ่อนโยน สวมอาภรณ์ลายมงคลตลอดร่าง หลังข้ามธรณีประตูเข้ามาในตำหนักชั้นในก็เห็นชุดพิธีการของฮองเฮาวางอยู่บนโต๊ะ เซี่ยฟางหวายืนอยู่ริมหน้าต่างพลางมองออกไปข้างนอก ร่างกายบอบบางอรชรจึงแย้มสรวลตรัสขึ้น “ด้านหน้าฝ่าบาทกำลังร่วมพระราชพิธีสำคัญ ไฉนคุณหนูฟางหวาถึงยังมิเปลี่ยนมาสวมชุดฮองเฮาอีก”
เซี่ยฟางหวาหันกลับมามองไทเฮา ก่อนแย้มยิ้มบาง “ฝ่าบาทบอกกับหม่อมฉันว่ามิต้องรีบร้อนเพคะ”
ไทเฮาเดินเข้ามากุมมือนาง แสดงท่าทางอ่อนโยน พระพักตร์แลดูยินดีอย่างยิ่ง “วันนี้เป็นวันมงคลที่
ฝ่าบาทจะราชาภิเษกและแต่งตั้งฮองเฮา แม้เขาบอกว่าไม่รีบ แต่ก็มิควรยืดเวลาออกไป เตรียมพร้อมไว้ก่อนก็ดี เมื่อพิธีราชาภิเษกเสร็จสิ้นก็จะเริ่มแต่งตั้งฮองเฮาแล้ว ตอนนั้นข้าตื่นเต้นอย่างกับอะไรดี รีบมาสวมชุดพิธีการฮองเฮาตั้งแต่เช้า”
“ไม่ล่าช้าหรอกเพคะ ไทเฮาวางพระทัยเถิด” เซี่ยฟางหวายิ้มกล่าว
ไทเฮามองนาง “แม้พิธีราชาภิเษกมิให้เหล่าสตรีเข้าไปร่วมชมด้วย แต่ก็มิควรอุดอู้อยู่ในตำหนัก” ตรัสจบก็แย้มสรวล “เปลี่ยนชุดเถิด ข้าจะพาเจ้าไปยังหอเฟิ่งหวงในราชอุทยานต้องห้ามด้านใน จากตรงนั้นมองเห็นบรรยากาศทั่ววังหลวงได้ และชมพิธีราชาภิเษกของฝ่าบาทได้ด้วยเช่นกัน”
“หอเฟิ่งหวง?” เซี่ยฟางหวามองไทเฮา
“หอเฟิ่งหวง อยู่ที่ราชอุทยานต้องห้ามด้านในของวังหลวง” ไทเฮาเม้มพระโอษฐ์แย้มสรวล “ราชสุสานค่อนข้างไกลจากเมืองหลวง ดังนั้นจึงสร้างส่วนตั้งป้ายวิญญาณในเขตราชอุทยานต้องห้ามด้านในวังหลวงเพื่อทำเป็นศาลบรรพชน ในเวลาปกติจะถูกปิดไว้ มิอนุญาตให้เข้าไปโดยพลการ ตอนนั้นข้าแอบเข้าไปข้างใน แต่ตอนนี้ไม่ต้องระวังแล้ว ในวังหลวงแห่งนี้ นอกจากฝ่าบาทก็ไม่มีใครห้ามเราได้”
เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “ในเมื่อเป็นศาลบรรพชนในวังหลวง มิควรไปรบกวนความสงบดีกว่า”
“ศาลบรรพชนอยู่ด้านในของราชอุทานต้องห้าม หอเฟิ่งหวงเป็นศาลาชมทิวทัศน์ที่อยู่รอบนอก พวกเรามิได้รบกวนความสงบของบรรพบุรุษแต่อย่างใด” ไทเฮาแย้มสรวลตรัส
เซี่ยฟางหวาเห็นไทเฮาทรงสนพระทัยอย่างยิ่งจึงพยักหน้ารับ “ก็ได้เพคะ”
ไทเฮาเห็นนางตอบตกลงก็ดีใจมาก รีบบอกพวกซื่อฮว่าแต่งชุดพิธีการฮองเฮาให้เซี่ยฟางหวา
พวกซื่อฮว่าช่วยเซี่ยฟางหวาอาบน้ำแต่งตัวให้เซี่ยฟางหวาด้วยความระวัง
หลังแต่งกายเรียบร้อยแล้ว ยังมิทันออกจากตำหนัก เสี่ยวเฉวียนจื่อก็กุลีกุจอมาหา เมื่อพบไทเฮาก็ดีใจโดยพลัน “ฝ่าบาททรงคาดการณ์ได้แม่นยำ ตรัสว่าไทเฮาจะต้องมาชวนคุณหนูฟางหวาไปชมพระราชพิธีที่หอเฟิ่งหวงในราชอุทยานต้องห้ามเป็นแน่จึงให้บ่าวมาถามดู ยามนี้คงมิต้องถามแล้ว”
ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็หลุดแย้มสรวล “พระองค์ยุ่งกับพระราชพิธีใหญ่ตั้งแต่รุ่งสาง ยังคิดได้ว่าข้าจะชวนคุณหนูฟางหวาไปหอเฟิ่งหวงอีกหรือ” ตรัสจบก็แย้มสรวล “มิผิด พวกเรากำลังจะไปที่นั่น ฝ่าบาทมีคำสั่งใดหรือไม่”
“ฝ่าบาทกำชับบ่าวว่า หากท่านทั้งสองจะไปชมพระราชพิธีที่หอเฟิ่งหวงก็ให้บ่าวนำคนไปเก็บกวาดหอเฟิ่งหวงก่อน พระราชพิธีกินเวลานาน ทั้งสองพระองค์จะได้มิรู้สึกไม่สบาย” เสี่ยวเฉวียนจื่อยิ้มกล่าว
“คิดได้รอบคอบนัก” ไทเฮาแย้มสรวลแล้วโบกพระหัตถ์ “เอาล่ะ รีบไปเตรียมที่ทางเถิด ประเดี๋ยวพวกเราจะตามไป”
เสี่ยวเฉวียนจื่อรับคำ ก่อนรีบวิ่งออกไป
“ในราชอุทยานต้องห้ามแม้มีคนคอยทำความสะอาดเป็นประจำ แต่เมื่อสะสมเวลานาน ถูกลมฝนกัดกร่อน แค่ชมทิวทัศน์คงมิต้องเอ่ยถึงความไม่สบาย เป็นฝ่าบาทที่เอาใจใส่เจ้า จัดเตรียมก่อนล่วงหน้า ตอนนี้พวกเราจะได้ชมพระราชพิธีราชาภิเษกของฝ่าบาทอย่างสบายใจแล้ว” ไทเฮาแย้มสรวลตรัสกับเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวายิ้ม มิเอ่ยคำใด
ไทเฮากุมมือเซี่ยฟางหวาออกจากห้อง เหล่านางข้าหลวง ขันที และคนติดตามเดินไปยังราชอุทานต้องห้าม
เมื่อทั้งสองมาถึงราชอุทยานต้องห้ามในวัง เสี่ยวเฉวียนจื่อก็นำพระประสงค์ของฉินอวี้มาก่อนแล้วก้าวหนึ่ง สั่งเปิดประตูราชอุทยานต้องห้าม ให้คนเข้าไปทำความสะอาดด้านใน พร้อมเตรียมข้าวของให้เรียบร้อย
โดยเฉพาะบนหอเฟิ่งหวง ม่านพับลายหางหงส์ เก้าอี้หญิงงาม ชุดโต๊ะเก้าอี้ ชุดน้ำชา และถาดผลไม้ถูกจัดวางเอาไว้ครบครัน
เสี่ยวเฉวียนจื่อเห็นทั้งสองมาถึงแล้วก็ทำความเคารพ “ทุกสิ่งเตรียมพร้อมแล้ว ฝ่าบาทตรัสว่ามิต้องให้บ่าวไปรับใช้ด้านหน้า แต่ให้อยู่รับใช้ไทเฮากับคุณหนูฟางหวาที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“ตรงนี้ไม่ต้องถึงมือเจ้า ไปด้านหน้าเถิด หากข้างพระวรกายฝ่าบาทไม่มีคนคอยปรนนิบัติ แพร่ออกไปอาจถูกกล่าวหาว่าจัดงานได้มิดี ใช้งานได้มิราบรื่น” ไทเฮายกพระหัตถ์ไล่
เสี่ยวเฉวียนจื่อพยักหน้า ก่อนออกไปตำหนักด้านหน้าตามบัญชา
ไทเฮากับเซี่ยฟางหวาขึ้นไปบนหอเฟิ่งหวงด้วยกัน
หอเฟิ่งหวงมีบันไดหนึ่งร้อยขั้น สูงกว่าแท่นหลิงเชวี่ยส่วนหนึ่ง
ไทเฮาเดินขึ้นมาได้ครึ่งทางก็มองลงไปด้านล่าง ร่างกายพลันโอนเอน เซี่ยฟางหวารีบยื่นมือมาประคองนาง พบว่าอีกฝ่ายมีเหงื่อชุ่ม สีพระพักตร์ค่อนข้างซีดเซียว จึงถามด้วยความเป็นห่วง “ทรงเป็นอันใดไปหรือเพคะ”
“คงแก่แล้ว ตอนนั้นข้าขึ้นมาเองเพียงลำพังในอึดใจเดียวเพราะกลัวว่าจะถูกจับได้ มาดูเพียงครู่หนึ่งก็รีบลงไป และรอให้ฝ่าบาททรงแต่งตั้งฮองเฮาอย่างเรียบร้อย ตอนนี้ผ่านมายี่สิบปีแล้ว ไม่ไหวแล้วจริงๆ แค่เดินขึ้นมาได้ครึ่งทางก็นึกไม่ถึงว่าจะเวียนหัว” ไทเฮาส่ายพระพักตร์
“ถ้ามิอย่างนั้นก็อย่าขึ้นไปเลย ค่อนข้างสูงจริงๆ” เซี่ยฟางหวาบอก
“มิได้ อวี้เอ๋อร์ราชาภิเษกเป็นเรื่องสำคัญ ข้าต้องเห็นกับตาให้ได้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราสองแม่ถูกขัดขวางในวังหลวง แม้ข้าทราบดีว่าองค์ชายที่เหลือต่างมิได้มีพรสวรรค์ ฉลาด เจ้าแผนการเช่นเขา อย่างไรตำแหน่งจักรพรรดิต้องเป็นของเขาแน่ แต่ก็ยังอกสั่นขวัญหาย กลัวว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น ตอนนี้ในที่สุดความหวังก็เป็นรูปเป็นร่างแล้ว จะไม่ดูกับตาตัวเองได้อย่างไรกัน” ไทเฮาส่ายพระพักตร์
“เช่นนั้นข้าประคองพระองค์เอง พระองค์ก็ทรงระวังหน่อย” เซี่ยฟางหวาบอก
ไทเฮาพยักพระพักตร์ ก้าวขึ้นไปบนหอเฟิ่งหวงทีละขั้นโดยมีเซี่ยฟางหวาประคอง
หอเฟิ่งหวงมิเพียงแต่มีความสูงหลายสิบจั้ง หากแต่ยังมีตำแหน่งที่ตั้งอันได้เปรียบ เมื่อขึ้นมายืนข้างบนแล้วสามารถมองเห็นวังหลวงได้ทั่ว
พระราชพิธีราชาภิเษกกำลังดำเนินต่อไป นักดนตรีบรรเลงเพลง ขุนนางทยอยเข้าไปแสดงความยินดีในตำหนักตามลำดับ
นอกตำหนักจินหลวนมีทิวทัศน์อันยิ่งใหญ่มาก
ฮ่องเต้ราชาภิเษกเป็นเรื่องสำคัญ สถานที่ที่กรมพิธีการจัดเตรียมนั้นย่อมโอ่อ่ายิ่งใหญ่เป็นธรรมดา
ไทเฮาซับเหงื่อก่อนมองไปยังตำหนักจินหลวน พระพักตร์ปรากฏรอยยิ้มอันปลื้มอกปลื้มใจ
ครึ่งชั่วยามให้หลัง เหล่าขุนนางก็ตามฮ่องเต้องค์ใหม่เข้าไปในตำหนักจินหลวน
ไทเฮาละสายตากลับมาแล้วแย้มสรวลตรัส “พิธีการด้านในคงมองไม่เห็นแล้ว แต่อย่างมากสุดคงใช้เวลาอีกหนึ่งชั่วยามกว่าจะเสร็จสิ้นพิธี แล้วค่อยแต่งตั้งฮองเฮา”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“เราลงไปกันเถิด กลับไปแล้วเจ้าก็พักผ่อนสักพักแล้วค่อยไปตำหนักด้านหน้า” ไทเฮาตรัส
เซี่ยฟางหวาละสายตากลับมาจากด้านหน้า แล้วบอกกับไทเฮา “หม่อมฉันว่าทรงเหนื่อยแล้ว ให้คนประคองกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักก่อนเถิดเพคะ ตรงนี้ทิวทัศน์ดีมาก หม่อมฉันขอนั่งต่ออีกสักพัก ถึงอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือ ประเดี๋ยวค่อยไปตำหนักด้านหน้าเอง”
ไทเฮาครุ่นคิด “ก็ได้ ข้าเป็นคนแก่ไร้ประโยชน์แล้ว เจ้าจะอยู่ตรงนี้ต่ออีกสักครู่ก็ย่อมได้ แต่อย่าให้คลาดฤกษ์เล่า”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ไทเฮาให้หรูอี้เข้ามาประคอง ก่อนลงจากหอเฟิ่งหวงไปทีละก้าว
หลังไทเฮาเสด็จออกไปแล้ว เซี่ยฟางหวาก็กวักมือเรียกซื่อฮว่า “ไปนำหมากล้อมมา”
“คุณหนู ตรงนี้ลมแรง ระวังร่างกายท่านด้วย” ซื่อฮว่าแนะเสียงเบา
“อากาศอย่างในวันนี้ อยู่ที่สูงลมย่อมแรงบ้างเป็นธรรมดา แต่มิได้หนาวอันใด” เซี่ยฟางหวาโบกมือปัด “ไปนำมาเถิด”
ซื่อฮว่าพยักหน้าแล้วหมุนตัวเดินออกไป
หลังซื่อฮว่าเดินออกไป เซี่ยฟางหวาก็ถามซื่อม่อ “ในราชอุทยานต้องห้ามวางกำลังทหารองครักษ์ไว้กี่นาย”
“เรียนคุณหนู เดิมนอกตำหนักบรรทมของเราวางกำลังไว้หนึ่งหมื่นนาย เมื่อครู่เพิ่งโยกย้ายมารอบนอกราชอุทยานต้องห้าม กำลังทหารองครักษ์ทั้งในและนอกรวมกันไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันนายเจ้าค่ะ” ซื่อม่อ
ตอบเสียงเบา
“ทั้งวังหลวงเล่า มีทหารองครักษ์เท่าไร” เซี่ยฟางหวาถามอีก
“ไม่น้อยกว่าห้าหมื่นนายเจ้าค่ะ” ซื่อม่อตอบด้วยเสียงทุ้มค่ำ
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ซื่อม่อมองใบหน้าเรียบสงบของเซี่ยฟางหวา ตึงเครียดเล็กน้อย “คุณหนู หากวันนี้ท่านอ๋องน้อยเจิงกลับเมืองมาจริงๆ แล้วบุกเข้ามาในวังหลวงล่ะก็ ลำพังแค่ทหารองครักษ์เท่านี้ เขา…”
เซี่ยฟางหวาเงียบ
ซื่อม่อเงียบเสียงลง มิกล้าพูดจาเหลวไหลอีก แล้วถอยกลับไปยืนด้านข้าง
ไม่นานซื่อม่อก็นำหมากล้อมมาให้เซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวาเรียงหมากบนกระดาน ก่อนเริ่มแข่งหมากล้อมกับตนเอง
พวกซื่อฮว่าและซื่อม่อยืนอยู่ด้านข้าง